WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1842
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1842
ตอนที่ 1,842 : เจ้าไม่คู่ควร!
ในตำหนักเมฆาครามนั้น มีชนชั้นผู้นำบางคนที่มีพลังฝีมืออันแข็งแกร่งโดดเด่นจนเป็นที่เลื่องลือของผู้คนในตำหนัก!
ในบรรดาคนเหล่านั้น รวมถึง ถงจ้ง ไป่ฟูฉางแห่งหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬคนนี้ด้วย!
ถงจ้งนั้น นอกจากจะเป็นไป่ฟูฉางที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว มันยังเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเซียนมนุษย์ของตำหนักเมฆาคราม! แม้กระทั่งในภูมิภาคเบื้องล่างมันยังเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเซียนมนุษย์เช่นกัน!!
และถงจ้งก็ยอมรับสมญานามนี้ด้วย…เซียนมนุษย์อันดับหนึ่ง!!
กระทั่งมันยังเคยประกาศออกมาว่า
ในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ หากมีขอบเขตเซียนมนุษย์คนใดไม่ยอมรับ สามารถมาท้าประลองมันได้ทุกเมื่อ!
และไม่ว่าจะเป็นผู้ใดหากเอาชนะมันได้ทั้งๆที่ยังมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ ก็รับสมญานาม ‘เซียนมนุษย์อันดับหนึ่ง’ ของมันไปได้เลย!
อย่างไรก็ตามแม้จะมีผู้ฝึกตนที่พลังฝึกปรือต่ำกว่าเซียนปฐพีข้ามน้ำข้ามทะเลมาท้าประลองมันกี่คนต่อกี่คน ก็จำต้องแพ้พ่ายปราชัยกลับไปทุกคน!
เรียกว่าในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ ถงจ้งเสมือน ‘ตำนาน’ ที่ยังเดินได้! ตำนานเซียนมนุษย์อันดับหนึ่งตัวเป็นๆ!!
การที่ถูกยอมรับนับถือไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าว่าเป็นตัวตนระดับ ตำนาน ก็บ่งบอกให้รู้ว่าพลังฝีมือมันร้ายกาจปานใด
“คารวะใต้เท้าไป่ฟูฉาง!”
เมื่อถงจ้งปรากฏตัวออกมา สือฟูฉางนำหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬที่เหลือคารวะทักทายอีกฝ่ายทันที
หากมองให้ชัดจะพบว่าทั้ง 9 คนที่นำโดยหลิวฉวนนั้น ยามมองถงจ้งในแววตายังเผยความคลั่งไคล้เลื่อมไสไม่น้อย!
ในหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬนั้นโดยมากแล้วหัวหน้ากอง หรือไป่ฟูฉางนั้นจะเป็นยอดฝีมือที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคนกระทั่งค่อนไปทางชราแล้วรับตำแหน่ง
ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนเหล่านั้นพวกมันจึงรู้สึกยำเกรงและหวาดกลัว
แต่ทว่าต่อหน้าไป่ฟูฉางที่เป็นชายฉกรรจ์อย่าง ถงจ้ง นอกจากความยำเกรงแล้ว พวกมันยังเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมไส!
เรียกว่าในรอบหลายร้อยปีมานี้ พรสวรรค์ของถงจ้งนั้นเพียงเป็นรองก็แต่จ้าวตำหนักเมฆาครามคนปัจจุบันของพวกมันเท่านั้น!
และปีนี้ถงจ้งพึ่งมีอายุได้ 50 ต้นๆเท่านั้น!
“ใต้เท้าไป่ฟูฉางถงจ้ง…มิทราบท่านคิดจะทำอะไรหรือ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด จ้าวเติงไม่กล้าที่จะไม่สุภาพ
ยังจะนับประสาอะไรกับถงจ้ง ที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งขอบเขตเซียนมนุษย์!
เอาตรงๆแค่เซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดอ่อนด้อยคนไหนสักคน จ้าวเติงก็ไม่มีปัญญาสู้แล้ว!
พลังฝึกปรือของมันยังแค่ เซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญเท่านั้น..
สีหน้าถงจ้งชืดชาไร้แยแสนัก กลิ่นอายรอบกายยังไม่รับแขก
“ข้าคิดจะทำอะไร?”
ได้ยินคำถามของจ้าวเติง ถงจ้งพลันย้อนถามออกมาเสียงเย็น พาลให้จ้าวเติงหนาวสันหลังทันที
“ท่านจ้าวตำหนักอุตส่าห์คิดต้อนรับเจ้าด้วยตัวเอง นับเป็นพรอันประเสริฐถึงเพียงใด!? ยามนี้ข้ามีทางเลือกให้เจ้า 2 ทางเท่านั้น…ตามข้าไปโถงหลักหรือตาย!!”
น้ำเสียงของถงจ้งยังเย็นยะเยือกนัก ราวกับจะผุดแทรกขึ้นมาจากหล่มน้ำแข็ง บรรยากาศโดยรอบเหมือนจะเย็นลงถนัดตา
จ้าวเติงที่ยังหนาวสันหลังไม่หายพอได้ยินคำนี้หน้ายิ่งซีดไปกันใหญ่ “ถงจ้ง ข้าคือรองจ้าวตำหนักของตำหนักฟ้าลี้ลับ หากเจ้าบีบคั้นข้า ตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ย่อมปล่อยผ่านเรื่องนี้ง่ายๆแน่!”
จังหวะนี้จ้าวเติงทำได้แค่ยกตำหนักฟ้าลี้ลับขึ้นมาเป็น ‘โล่’ เท่านั้น
น่าเสียดายที่ตำหนักฟ้าลี้ลับในสายตาถงจ้งไม่อาจนับเป็นอะไรได้ แววตาเผยความชืดชากล่าวออกเสียงเย็นว่า “ข้าจะให้เจ้า 3 ลมหายใจ หากเจ้ายังไม่ตัดสินเลือกภายใน 3 ลมหายใจ ข้าจะถือว่าเจ้าเลือกอย่างหลัง! ตอนนี้ผ่านไป 1 ลมหายใจแล้ว!”
เมื่อเห็นว่าการยกตำหนักฟ้าลี้ลับมากล่าวอ้างกลับไร้ผล สีสันบนใบหน้าจ้าวเติงคล้ายมีขางอกเงยวิ่งหนี เร่งกล่าวออกมาราวกับจะไขว่คว้าฟางเส้นสุดท้ายทันที “บิดาข้าคืออาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับจ้าวจิน…พลังฝึกปรือของท่านพ่อข้าบรรลุเซียนปฐพีแล้ว!!”
อ้างตำหนักฟ้าลี้ลับไม่ได้ผล จ้าวเติงลองยกบิดามากล่าวอ้างสักครา
“อีกลมหายใจสุดท้าย…”
อย่างไรก็ตามถงจ้งคล้ายไม่ได้ยินคำพูดของมัน ยังคงนับเวลาต่ออย่างเฉยเมย
เมื่อเห็นสีหน้าแววตาของถงจ้งยามกล่าวว่าเหลือลมหายใจเดียว หน้าจ้าวเติงยิ่งซีดคล้ายไก่ต้มเข้าไปทุกที ได้แต่ยอมแพ้ด้วยสีหน้าสลด “ข้าเลือกจะตามเจ้าไปโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม..”
สุดท้ายจ้าวเติงก็เลือก
ต่อหน้าถงจ้งมันไร้ซึ่งหนทางต่อต้านอันใด
หากอยากรอด ทำได้แค่ยินยอมสยบเท่านั้น
เมื่อเห็นจ้าวเติงยอมแพ้ต่อถงจ้งในเวลาแค่ไม่ถึง 3 ลมหายใจ องครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ที่นำโดยหลิวฉวนพลันมองไปที่จ้าวเติงอีกครั้ง หากแต่แววตาคราวนี้กลับเผยความเหยียดหยามดูแคลนออกมาแจ่มชัด “นี่น่ะหรือรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ จ้าวเติง…ชนชั้นรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับช่างไก่อ่อนเสียจริง ต่อหน้าใต้เท้าไป่ฟูฉางยังยืนหยัดได้มิถึง 3 ลมหายใจด้วยซ้ำ!”
“ข้าล่ะไม่รู้จริงๆว่าจ้าวเติงผู้นี้มันเป็นรองจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับได้อย่างไร…หรือตำหนักฟ้าลี้ลับไร้ใครอื่นแล้วจริงๆ?”
“ข้าได้ยินมาว่าบิดาของจ้าวเติงเป็นหนึ่งในสองอาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ…ที่มันได้เป็นรองจ้าวตำหนักไม่พ้นเส้นสาย เลือกที่รักมักที่ชัง!”
“อย่างนี้นี่เอง”
……
ตอนนี้จ้าวเติงเองก็ยังไม่ได้ไปไหนไกล เสียงกล่าวขององครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 9 ย่อมเสมือนแหลนพุ่งแทงเข้ารูหูมันอย่างจัง!
หน่วยองครักษ์เกราะทมิฬของตำหนักเมฆาครามมิใช่ขึ้นชื่อเรื่องระเบียบวินัยเคร่งครัดและเงียบขรึมหรอกหรือ?
ไฉนวาจาร้ายกาจบาดหูผู้คนนักเล่า?
จังหวะนี้จ้าวเติงคล้ายจะลืมเลือนไปหมดสิ้นแล้ว ว่ายามปรากฏตัวครั้งแรก มันเลือกที่จะอวดเบ่งวางท่าต่อผู้อื่นเค้าก่อน…
ณ ห้องโถงหลักตำหนักเมฆาคราม…
“เข้าไปข้างใน!”
ถงจ้งมองจ้าวเติงด้วยสายตาเยียบเย็น และหลังจากที่จ้าวเติงเข้าไปด้านในห้องโถงอย่างเชื่อฟังแล้ว ถงจ้งก็เลือกที่จะไปยืนประจำที่บริเวณด้านข้างทางเข้าห้องโถงหลักราวกับยักษ์ปักหลั่น
ถึงกับให้ถงจ้งไป่ฟูฉางที่แข็งแกร่งที่สุดมาเฝ้าประตูโถงเช่นนี้…มิทราบว่าผู้ใดจะอยู่ในโถงกันแน่!
หลังจากที่จ้าวเติงเข้ามาด้านใน มันก็สังเกตเห็นร่างหนึ่ง ทั้งยังเป็นร่างคนที่มันรู้จัก!
“กู่ลี่!”
นอกจากจ้าวเติงที่เพิ่งเดินเข้ามาแล้ว ในโถงหลักก็มีแค่กู่ลี่เท่านั้น…
“รองจ้าวตำหนักจ้าว ไฉนเจ้ามาได้?”
กู่ลี่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นจ้าวเติง
จากสีหน้าท่าทางของกู่ลี่ เผยให้รู้ว่ามันคาดไม่ถึงที่เห็นจ้าวเติงอยู่ที่นี่
จ้าวเติงไม่กล่าวอะไร
มันยังจะพูดอะไรได้?
หรือจะให้มันบอกว่า ‘ข้าลอบสะกดรอยตามเจ้ามา’?
อย่างไรก็ตามแม้จ้าวเติงไม่ตอบ แต่กู่ลี่ก็ไม่ใช่ตัวโง่งมไร้หัวคิด “เจ้า…เจ้าลอบตามข้ามา!”
“ข้าแค่อยากรู้ว่าหลิงเทียนอยู่ที่ใด…หลังจากที่เจ้าออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เจ้าก็มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันกับหลิงเทียนวันนั้น…หรือเจ้ากล้าสาบานต่อฟ้าว่าเจ้ามิได้มาหามันที่นี่?”
พอคิดถึงหลิงเทียน อดไม่ได้ที่จ้าวเติงจะมีโมโหขึ้นมา
หากไม่ใช่เพราะหลิงเทียน ลูกมันจะตายเช่นนี้หรือ?
และหากไม่ใช่เพราะหลิงเทียน ไหนเลยจ้าวเติงต้องลอบตามกู่ลี่มา จนจับพลัดจับผลูเหมือนติดกับตำหนักเมฆาครามเช่นนี้…
นอกจากนั้นจนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่รู้จริงๆว่าจ้าวตำหนักเมฆาครามคิดทำอะไรกับมันกันแน่…
แล้วไฉนอีกฝ่ายถึงล่วงรู้ได้ว่ามันจะมาตำหนักเมฆาคราม?
ทำไมต้องมาต้อนรับมันเป็นการส่วนตัว?
“ก็ถูกของเจ้า…ข้ามาที่นี่เพื่อหาน้องหลิงเทียนนั่นล่ะ”
เมื่อเห็นว่าจ้าวเติงกลับหาญกล้าตามมาถึงตำหนักเมฆาคราม กระทั่งยังทำท่าเอาเรื่องเอาราวน้องหลิงเทียนของมันไม่เลิก กู่ลี่ก็กล่าวตอบออกมาตรงๆด้วยน้ำเสียงสบายๆอย่างไม่คิดจะปิดบัง มุมปากยังอมยิ้มกรุ้มกริ่มคล้ายกำลังสนุกสนานนัก
“เช่นนั้นไฉนข้าจะติดตามเจ้ามาไม่ได้?!”
จ้าวเติงกล่าวเย้ยเยาะออกมา
“อย่างไรก็ตามข้าไม่คิดจริงๆว่ากู่ซืออวิ๋นบิดาเจ้ากลับรู้จักคนของตำหนักเมฆาครามด้วย และข้าคิดว่าคนผู้นั้นสมควรมีระดับสูงไม่น้อย ถึงขั้นที่มันคิดซ่อนตัวหลิงเทียนให้บิดาของเจ้าเช่นนี้!”
จ้าวเติงยังคงกล่าววาจาร่ายออกมาไม่หยุด สีหน้าท่าทางทำราวกับ ‘ข้าพเจ้ารู้แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งแล้ว’
เมื่อเห็นว่ากู่ลี่ถึงกับนิ่งไปไม่ตอบคำใด จ้าวเติงก็คิดว่ามันคาดเดาเรื่องราวได้ถูกต้องตรงเผงแล้วจริงๆ “อะไร? ไฉนเจ้ากลายเป็นไร้วาจาแล้วเล่า หรือพอถูกข้ามองทุกสิ่งออกเจ้าเลยรู้สึกอับจนถึงขั้นไร้คำจะกล่าว?”
จังหวะนี้จ้าวเติงคล้ายจะลืมเลือนไปสิ้นแล้ว ว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง…
หาไม่แล้วมันคงไม่กล่าวออกมาด้วยท่าทางเป็นต่อขนาดนี้
ระดับสูงของตำหนักเมฆาครามคนไหนยังจะกล้าพาคนนอกเข้ามาห้องโถงหลักสุ่มสี่สุ่มห้า?
เพราะห้องโถงหลักของตำหนักเมฆาคราม มีเพียงแขกกิตติมศักดิ์ที่จ้าวตำหนักเมฆาครามจะออกมารับรองด้วยตัวเองเท่านั้น!
เหตุผลที่กู่ลี่ไม่ตอบคำจ้าวเติงนั้น เพราะกำลัง ตะลึง กับคำพูดของจ้าวเติงจริงๆ
อย่างไรก็ตามพอนึกขึ้นได้ มันก็เข้าใจว่าไฉนอีกฝ่ายถึงได้จ้อเอาๆแบบนี้
เพราะสุดท้ายแล้ว จ้าวเติง ก็ยังไม่ควรล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของน้องหลิงเทียนมันจริงๆ
“อ่า…เจ้าพูดถูก ข้าหมดคำจะพูดจริงๆ…”
เผชิญหน้ากับท่าทางยะโสวางตัวเหนือกว่าของจ้าวเติง กู่ลี่ที่แม้ปากกล่าวตอบ ‘เจ้าพูดถูก’ ทว่าในใจลอบปรามาสจ้าวเติงว่าตัวโง่งมไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อจ้าวเติงแลเห็นทีท่ายอมรับโดยสดุดีนี้ของกู่ลี่ มันก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดท่าขึ้นมาทันที!
เพราะกู่ลี่ที่ยอมรับออกมาเช่นนี้คล้ายจะเป็นคนละคนกับกู่ลี่ที่มันรู้จัก!
กู่ลี่ไหนเลยเคยยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆเช่นนี้!?
ไม่เคย!!
มาตอนนี้จ้าวเติงจึงได้สงบสติอารมณ์ลงอีกครั้ง และตระหนักได้ว่าตอนนี้มันอยู่ในสถานที่แห่งใด
“โถงหลักของตำหนักเมฆาคราม…เป็นสถานที่ๆจ้าวตำหนักเมฆาครามรวมถึงอาวุโสระดับสูงใช้เพื่อประชุมหารือเรื่องใหญ่ นอกจากนี้จ้าวตำหนักเมฆาครามยังใช้เป็นสถานที่รับรองแขกด้วยตัวเอง…”
“กู่ลี่ เจ้าคงมิใช่ว่า…”
ในขณะที่จ้าวเติงกำลังจะกล่าวถามกู่ลี่ว่า ใช่ถูกจ้าวตำหนักเมฆาคามกล่าวเชิญมาด้วยหรือไม่ พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดคำของมันพอดี
และเสียงนี้ไม่ใช่เสียงแปลกหูสำหรับจ้าวเติงแต่อย่างไร
“รองจ้าวตำหนักจ้าว นานแล้วไม่พบกัน!”
เสียงนี้ดังขึ้นจากนอกโถงหลัก สิ้นคำก็ปรากฏร่างหนึ่งก้าวอาดๆเข้ามา
ผู้ที่ก้าวอาดๆเข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นต้วนหลิงเทียนที่ใช้รูปโฉมหลิงเทียน
“น้องหลิงเทียน!”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามาสีหน้ากู่ลี่ก็เผยความสุขความยินดีออกมาทันใด เร่งเข้าไปทักทายอย่างกระตือรือร้น
“ฮ่าๆๆ…พี่กู่ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”
เมื่อเห็นกู่ลี่มาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะทักทายด้วยความยินดี
“หลิง เทียน!!”
ในขณะที่กุ่ลี่กับหลิงเทียนคิดถามไถ่เรื่องราวตามประสา เสียงเย็นเยียบด้วยโทสะของจ้าวเติงก็ดังแทกขึ้นมาเสียก่อน
“ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะยังไม่ตาย! คายออกมาเสีย! ว่าวันนั้นเป็นผู้ใดที่สังหารบุตรชายของข้า!?!”
น้ำเสียงจ้าวเติงเต็มไปด้วยความคาดคั้นอยากได้คำตอบ
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้กู่ลี่รอบหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปมองจ้าวเติง กล่าวถามออกมาพร้อมคลี่ยิ้มเฉยเมยว่า “รองจ้าวตำหนักจ้าว เรื่องนี้เจ้ายังต้องลำบากถามอีกรึไง? แน่นอนว่าคนที่ฆ่าลูกชายของเจ้าก็คือข้าเอง!”
“เจ้า? อาศัยเจ้าน่ะรึ!? ไม่คู่ควร!!”
ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงแต่จ้าวเติงจะไม่โมโห กลับรู้สึกดูแคลนอย่างถึงที่สุด
จ้าวจี้ลูกมัน คือตัวตนที่ทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นแล้ว!
หลิงเทียนยังมีปัญญาฆ่าได้หรือ?
“ทำไม? รองจ้าวตำหนักจ้าว…นี่ท่านคงไม่ได้กำลังคิดอยู่หรอกนะ ว่าอริยะเซียนขั้นสูงสุดอย่างข้าให้ตายก็ไม่มีทางฆ่าผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้นอย่างจ้าวจี้ได้?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตากล่าวถามออกมาด้วยรอยยิ้ม ยังเป็นรอยยิ้มที่แลดูสนุกสนานนัก
ผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น!!
ก่อนที่จ้าวเติงจะตอบสนองอะไร สีหน้ากู่ลี่ก็ถึงกับซีดลงทันทีคิ้วยังขมวดยู่ย่นเป็นปม จ้าวจี้น่ะหรือผู้ฝึกมารขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น!?
เท่าที่มันจำได้ เมื่อ 2 ปีที่แล้วจ้าวจี้ยังย่ำต๊อกอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลางอยู่เลย!
ต่อให้จ้าวจี้จะประสบความสำเร็จบังเกิดความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเพียงใด แต่เต็มที่ก็ควรเป็นได้แค่เซียนขัดเกลาชั้นเชี่ยวชาญ!!