WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1845
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1845
ตอนที่ 1,845 : แท่นเมฆาคราม
“มิเป็นไร แค่ปีหรือปีกว่าข้ารอเจ้าได้ อันที่จริงข้าก็สามารถใช้ช่วงเวลานี้ปรับพลังของข้าให้มั่นคง กระทั่งยกระดับพลังฝึกปรืออีกสักเล็กน้อย…แต่คราวนี้ข้าต้องรบกวนเจ้าที่มีฐานะนายน้อยตำหนักเมฆาครามสักเรื่อง เจ้าต้องหาสถานที่บ่มเพาะดีๆให้ข้าด้วยเล่า!”
กู่ลี่พยักหน้ารับฟัง ยังกล่าวออกมาด้วยท่าทางสนุกสนาน
ฟุ่บ!
แทบจะทันทีที่กู่ลี่กล่าวจบคำ บังเกิดเสียงแหวกฝ่าสายลมของวัตถุหนึ่ง ที่ราวจะผุดโผล่จากความว่างพุ่งตรงไปทางกู่ลี่
อย่างไรก็ตามความเร็วในการพุ่งนี้ไม่นับเป็นอะไรสำหรับกู่ลี่
เพียงกู่ลี่พลิกฝ่ามือ ก็สามารถรับวัตถุดังกล่าวไว้ได้อย่างง่ายดาย พอชมมองก็รู้ว่ามันเป็นป้ายที่คล้ายจะสร้างจากไม้เนื้ออ่อนที่พิเศษชนิดหนึ่ง ด้านหน้าสลักเลข 9 เอาไว้
ส่วนด้านหลังป้ายเป็นรูปภาพที่มองไปคล้าย แท่นๆหนึ่งที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ และบนแท่นแท่นคล้ายจะมีบ้านศิลาส่วนตัวตั้งอยู่ ฉากหลังเป็นหมู่เมฆสวยงาม…
มุมขวาล่างของป้ายยังมีอักขระจารึกไว้อีก 3 ตัว
แท่นเมฆาคราม
“นี่คือ…กุญแจที่ใช้สำหรับขึ้นแท่นเมฆาคราม แท่นที่ 9?”
กู่ลี่ถึงกับอ้าปากหวอ เพราะมันนึกถึงเรื่องบางประการได้ออก
แท่นเมฆาครามนั้นนับเป็นสถานที่บ่มเพาะอันประเสริฐนัก ยังเป็นสิ่งขึ้นชื่อของตำหนักเมฆาคราม! บนแท่นเต็มไปด้วยค่ายกลรวมพลังวิญญาณฟ้าดิน อีกทั้งค่ายกลยังดูดพลังจากสายแร่หินเซียนกึ่งระดับ 3 ของตำหนักเมฆาคราม! ทำให้พลังวิญญาณฟ้าดินพร้อมพรั่งบริบูรณ์เอื้อต่อการฝึกฝนบ่มเพาะนัก!!
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงศิษย์ที่เป็นชนชั้นสุดยอดหัวกะทิของตำหนักเมฆาครามเท่านั้นที่จะได้รับอุญาตให้ใช้แท่นเมฆาครามในการบ่มเพาะฝึกฝน
เนื่องเพราะ เมื่อคิดครองแท่นเมฆาคราม…ต้องมีพลังฝีมือสูงพอ!
แท่นเมฆาครามมีทั้งสิ้น 81 แท่น ทั้งหมดลอยล่องอยู่ในเขตน่านฟ้าของตำหนักหลัก นอกจากนั้นพวกมันยังถูกแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ
มีแท่นเมฆาครามระดับสูงสุดอยู่ 9 แท่น พวกมันคือแท่นเมฆาครามหมายเลข 1 ถึง 9
กล่าวกันว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของแท่นเมฆาครามแท่นที่ 1 ถึง 9 นั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าสถานที่สำหรับบ่มเพาะของอาวุโสระดับสูงของตำหนักเมฆาครามเลย!
ทว่าตอนนี้ป้ายอันเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าใช้งานแท่นหมายเลข 9 กลับอยู่ในมือของกู่ลี่ และมีเพียงผู้ถือกุญแจเท่านั้นที่จะเข้าใช้แท่นเมฆาครามได้!
รองจากแท่นทั้ง 9 นั้น ยังมีแท่นเมฆาครามอีก 18 แท่น อันเป็นระดับกลาง
สภาพแวดล้อมของแท่นเมฆาครามอีก 18 แท่น เพียงด้อยกว่า 9 แท่นก่อนหน้าเล็กน้อย
ลดหลั่นลงมาจากนั้นก็จะเป็น 54 แท่น ซึ่งมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะด้อยกว่า แท่นเมฆาครามด้านบนทั้ง 2 ระดับ แต่แน่นอนว่ามันก็ยังเหมาะสมแก่การบ่มเพาะกว่าสถานที่ทั่วไปมาก!
เรียกว่าทั้ง 81 แทน่เมฆาคราม ศิษย์ในตำหนักเมฆาครามล้วนอยากเข้าใช้งานทั้งสิ้น!
อย่างไรก็ตามหากคิดใช้งานแท่นเมฆาคราม จำต้องเอาชนะผู้ถือกุญแจเข้าแท่นให้ได้เสียก่อน…
หากมีพลังฝึกปรืออ่อนด้อย แม้จะได้กุญแจแท่นมาครอง แต่ก็ไม่วายต้องถูกแย่งชิงไปอยู่ดี
“สมแล้วที่เป็นบุตรชายของผู้พักษ์กู่ซืออวิ๋นแห่งตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรู้จักแท่นเมฆาครามของพวกเราด้วย นั่นคือป้ายอันเป็นกุญแจเปิดใช้งานค่ายกลของแท่นหมายเลข 9! ข้าได้แจ้งผู้ดูแลไว้แล้ว…ว่าเจ้าจะเข้าใช้แท่นเมฆาครามหมายเลข 9 และศิษย์ตำหนักเมฆาครามจะไม่ไปท้าประลองเพื่อช่วงชิงแย่งป้ายอะไร เจ้าสามารถเข้าพักและบ่มเพาะพลังได้อย่างสบายใจ”
เสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมร่างชายวัยกลางคนที่หน้าตายังแลดูหนุ่มก้าวอาดๆเข้ามาในห้องโถงหลัก
ผู้ที่พึ่งมาถึงนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน จ้าวตำหนกเมฆาคราม ต้วนหรูเฟิง!
เป็นมันที่โยนป้ายอันเป็นกุญแจของแท่นหมายเลข 9 ไปให้กู่ลี่
“ท่านพ่อ!”
เมื่อเห็นว่าบิดาตัวเองได้จัดการเรื่องราวเอาไว้ให้แล้ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในใจ
“กู่ลี่ ขอคารวะท่านจ้าวตำหนักเมฆาคราม”
ขณะเดียวกันกู่ลี่ก็กลับมารู้สึกตัว และรีบร้อนคารวะทักทายต้วนหรูเฟิงทันที
“ข้าได้ยินมาว่ายามเทียนเอ๋ออยู่ตำหนักฟ้าลี้ลับ เจ้ากับพ่อของเจ้าคอยดูแลเทียนเอ๋ออย่างดี…เรื่องนี้ข้ารู้สึกขอบคุณพวกเจ้าพ่อลูกนัก ข้าต้วนหรูเฟิงจะไม่มีวันลืมบุญคุณครั้งนี้!”
ต้วนหรูเฟิงพยักหน้ารับคำทักทายกู่ลี่ด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสบาย “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเป็นสหายของเทียนเอ๋อก็ไม่ถือว่าเป็นคนอื่นคนไกล เช่นนั้นก็ไม่ต้องมากพิธีเรียกข้าจ้าวตำหนักอะไรให้วุ่นวาย เพียงเรียกข้าว่าอาต้วนเถอะ”
“ได้ อาต้วน!”
กู่ลี่ก็ไม่ใช่คนหัวแข็ง เปลี่ยนคำเรียกหาต้วนหรูเฟิงทันที
และครู่ต่อมากู่ลี่ก็ยื่นป้ายหมายเลข 9 คืนให้ต้วนหรูเฟิง
ภายใต้สายตาไม่เข้าใจของต้วนหรูเฟิง กู่ลี่พลันยิ้มกล่าวออกมา “อาต้วน ข้าได้ยินมานานแล้วว่าแท่นเมฆาครามเป็นสถานที่บ่มเพาะที่ดีที่สุดของตำหนักเมฆาคราม…เช่นนั้นระหว่างที่อยู่ที่นี่ข้าอยากใช้พลังสามารถของตัวเองไขว่ขว้ามัน!”
กู่ลี่เป็นคนตรงไปตรงมา หากได้รับสิทธิพิเศษอะไร กลับทำให้มันรู้สึกกระดากใจอยู่บ้าง
เป็นการประเสริฐกว่าหากพึ่งพาหมัดเท้าและความแข็งแกร่ง แผ้วถางเส้นทางสู่ความสำเร็จด้วยตัวเอง!
ได้ยินวาจาแน่วแน่ของกู่ลี่ ต้วนหรูเฟิงก็ยิ้มและพยักหน้าให้กู่ลี่ด้วยความชอบใจ ก่อนที่จะรับป้ายหมายเลข 9 คืนกลับมา
“เอาล่ะ หากเจ้าต้องการอย่างนั้นข้าก็ตามใจเจ้า…แต่ข้าต้องขอเตือนเจ้าไว้ก่อนหากเจ้าไม่รับป้ายหมายเลข 9 นี้ไป คงเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับเจ้านักหากคิดเข้าใช้แท่นเมฆาคราม 9 แท่นแรก…”
“นั่นเพราะในตำหนักเมฆาครามของเรา มีศิษย์มากมายที่คิดเข้าร่วมหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬให้จงได้ จึงไม่เลือกรับตำแหน่งอาวุโส…เพราะหากเป็นผู้อาวุโสแล้วจะไม่อาจเข้าร่วมหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬได้อีก!”
“ที่ข้ากล่าวไป เจ้าเข้าใจที่ข้าจะสื่อหรือไม่?”
วาจาท้ายประโยคของต้วนหรูเฟิงเป็นการถาม
“ข้าเข้าใจดีอาต้วน!”
กู่ลี่พยักหน้า
ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ตำหนักเมฆาครามมาสักพักก็รู้ดีว่าที่บิดากล่าวหมายถึงอะไร
เนื่องเพราะมีกฏที่ว่าผู้อาวุโสไม่อาจเข้าร่วมหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬได้ ทำให้มีศิษย์มากมายนักที่พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์แล้วแต่ไม่รับตำแหน่งผู้อาวุโส! พวกมันอยากเข้าร่วมหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬให้จงได้!!
ด้วยเหตุนี้หมายความว่าทั้งหมดได้เลือกที่จะละทิ้งสถานที่บ่มเพาะสำหรับผู้อาวุโสไป ทำให้สถานที่บ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดที่พวกมันจะใช้ได้ก็คือแท่นเมฆาคราม เพราะเรื่องนี้จึงทำให้การแข่งขันชิงแท่นค่อนข้างสูงนัก!
ผู้อาวุโสของตำหนักเมฆาครามแต่ละคน จะได้รับสถานที่บ่มเพาะพลังส่วนตัว และสภาพแวดล้อมก็เทียบได้กับแท่นเมฆาคราม 9 แท่นแรกที่ดีที่สุด!
ด้วยเหตุนี้จึงมีศิษย์ที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนมนุษย์มากมายนอกเหนือจากกลุ่มศิษย์ขอบเขตอริยะเซียนที่แข่งขันกันชิงแท่นเมฆาคราม 9 แท่นแรก…
เช่นนั้นแล้ว ด่านพลังฝึกปรือที่ต้อยต่ำที่สุดที่จะได้ใช้แท่นเมฆาคราม 9 แท่นแรกนั้น อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นเซียนมนุษย์ให้ได้ก่อน!
ที่กู่ลี่พูดมาว่าจะใช้ความสามารถของตัวเองชิงแท่นเมฆาคราม…เพราะมันอยากเคี่ยวกรำฝึกฝนตัวเอง!
เพราะบางทีในการประลองช่วงชิงนี้มันอาจเข้าใจบางอย่างแตกฉานบางสิ่ง ซึ่งเป็นอะไรที่การนั่งบ่มเพาะพลังเฉยๆอาจไม่มีวันได้เรียนรู้
ต้วนหรูเฟิงเคารพการตัดสินใจนี้ของกู่ลี่ แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนก็เห็นดีด้วยเช่นกัน
“พี่กู่ท่านก็พยายามเข้าล่ะ ไว้ว่างๆข้าจะไปเยี่ยมท่าน!”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับกู่ลี่ด้วยรอยยิ้ม
“อ้าว? น้องหลิงเทียนเจ้าไม่คิดไปไต่ระดับในแท่นเมฆาครามบ้างหรือ?”
กู่ลี่ยิ้มถามกลับ
“ด้วยพลังฝึกปรือของข้าตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะชิง 9 แท่นแรก…แถมเวลาของข้าเองก็มีจำกัดนัก”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา
หากไม่ใช้กระบี่นิลสวรรค์ เป็นเรื่องยากสำหรับต้วนหลิงเทียนจริงๆที่จะชิง แท่นเมฆาคราม 9 แท่นแรกมาได้
แต่หากคิดชิงแท่นเมฆาครามจริง เขาไม่อาจใช้กระบี่นิลสวรรค์ได้!
กระบี่นิลสวรรค์นับเป็นอาวุธสังหาร ไหนเลยจะใช้มันให้นองเลือดได้!
ผู้ที่ฝึกฝนบ่มเพาะในแท่นเมฆาคราม ก็คือคนของตำหนักเมฆาคราม เป็นดั่งคนในบ้านของเขา!
ตลอดเวลา 10 เดือนหลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ต้องการสถานที่บ่มเพาะพลังที่ดีที่สุด และเขาไม่มีเวลาไปต่อสู้ช่วงชิงแท่นเมฆาครามอะไรแบบนั้น…
นอกจากนั้นเขาต้องเข้าใช้เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติอยู่ดี จึงต้องการแค่สถานที่อันเป็นส่วนตัวและเงียบสงบเท่านั้น
สถานที่บ่มเพาะเช่นนั้นในฐานะที่มีบิดาเป็นจ้าวตำหนักเมฆาคราม ย่อมได้รับมาอย่างง่ายดายนัก
เขาเลยไม่คิดจะไปฝึกฝนโดยการช่วงชิงแท่นเมฆาครามอะไรนั่น
บางทีหลังจากนี้เขาอาจลองไปเล่นดู
แต่นั่นต้องรอให้จบเรื่องสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีก่อน!
“น้องหลิงเทียน เจ้ามีเรื่องร้อนใจอะไรงั้นหรือ?”
กู่ลี่รู้ดีว่าหลิงเทียนไม่ใช่คนกลัวปัญหา ดังนั้นพอได้ยินคำของต้วนหลิงเทียนมันจึงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติประการหนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองต้วนหรูเฟิงทันทีที่ได้ยินคำถามกู่ลี่ คล้ายจะขอความเห็นจากบิดา
ต้วนหรูเฟิงพยักหน้า
“พี่กู่…”
เมื่อได้รับอนุญาต ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวเล่าเรื่องสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีกับตี้จิ่วให้กู่ลี่ฟัง
“อะไร!? มังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ ตี้จิ่ว!?”
หลังได้ฟังเรื่องเล่าจากปากต้วนหลิงเทียน หน้ากู่ลี่เปลี่ยนสีไปทันที ยังแลดูกระวนกระวายใจไม่น้อย “ไม่ได้! เจ้าไม่อาจไปสู้กับมันได้น้องหลิงเทียน! เรื่องนี้อันตรายเกินไป เจ้าอย่ามุทะลุเลย!”
เรียกว่ากู่ลี่ร้อนรนนัก คล้ายไม่ใช่ต้วนหลิงเทียนที่จะไปสู้ แต่เป็นตัวมันเองที่จะไปประลองกับตี้จิ่ว!
“พี่กู่ท่านใจเย็นก่อน…ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 10 เดือนข้ามั่นใจว่าทำได้!”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
“มั่นใจกับผีสิ!”
ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน กู่ลี่โพล่งออกมาอย่างไม่ระวังถ้อยคำ “ตี้จิ่วนั่นมันเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ ถือว่ามันมีสายเลือดขัตติยะ! แม้มันจะยังไม่โตเต็มที่ แต่ตอนนี้พลังฝึกปรือของมันคงเทียบได้กับอาวุโสที่อ่อนแอที่สุด…ในเมื่อ 5 ปีที่แล้วมันก็อยู่ในขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุด…”
“หลังจากผ่านไป 5 ปี ไม่พ้นมันต้องทะลวงถึงเซียนปฐพีขั้นต้นแน่!”
“แม้จะถอยมาก้าวหนึ่งและมันยังไม่ทันทะลุเซียนปฐพี แต่มันก็จวนเจียนเต็มทีพลังฝีมือย่อมไม่ใช่ชั่ว! มันไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะสู้ได้ถึงมีตราผนึกมารก็ตาม เพราะมันไม่ใช่ผู้ฝึกมาร!!”
กู่ลี่ยังคงกล่าวออกมาด้วยความกลัว
“เช่นนั้น…น้องหลิงเทียนเจ้าอย่าไปตามสัญญานัดหมายประลอง 5 ปีอะไรนี่เลย! แถมเรื่องนี้ต่อให้แพร่ออกไปก็ไม่มีใครสามารถตำหนิเจ้าได้! ตี้จิ่วนั่นมันอายุมากกว่าเจ้าเป็นรอบด้วยซ้ำ! ตอนมันมีชื่อเสียงไปทั่ว เจ้ายังไม่ทันเกิดเลย!”
กู่ลี่ยังคงโน้มน้าวชักชวนไม่เลิก
“พี่กู่ ท่านไม่ต้องโน้มน้าวข้าแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “พี่กู่…เรื่องนี้ข้าตัดสินใจแล้ว ท่านอย่าห่วงไป ท่านเคยเห็นข้าเป็นคนล้อเล่นกับชีวิตรึไง..”
“ท่านเองก็ไม่ใช่พึ่งรู้จักข้า ท่านคิดว่าข้าเป็นคนชอบหาเรื่องใส่ตัวหรือไม่?”
วาจาประโยคหลังที่กล่าวถาม ต้วนหลิงเทียนยังแย้มยิ้มออกมา
กู่ลี่ได้ฟังก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
พอลองมองย้อนกลับไปกู่ลี่ก็พบว่าน้องชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องใส่ตัวอย่างไร้เหตุผลจริงๆ
กระทั่งการประลองเป็นตายวันนั้นกับคนของสกุลจ้าว ก็เป็นอีกฝ่ายมาหาเรื่องก่อนทั้งสิ้น สุดท้ายก็เป็นน้องหลิงเทียนของมันก็ฆ่าจ้าวคุนของสกุลจ้าว ยังฆ่าด้วยพลังอำนาจที่ครอบงำอีกฝ่ายอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อของทุกคน!
“น้องหลิงเทียน แต่คราวนี้มันต่างกัน…”
กู่ลี่เผยยิ้มขมขื่นออกมา “คู่ต่อสู้ของเจ้าคราวนี้ไม่ใช่จ้าวคุน…แต่เป็นตี้จิ่ว!”