WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1910
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1910
ตอนที่ 1,910 : แท่นบูชาเต่าทมิฬ
ตอนนี้เหล่าผู้ที่มีรากวิญญาณสีเขียวก็ได้จากไปพร้อมกับหลี่อันแล้ว
ส่วนผู้ที่มีรากวิญญาณสีเหลืองรวมถึงต้วนหลิงเทียน ก็ถูกทิ้งไว้ให้อาวุโสเพลิงเงินอีกคนอย่างเถิงชาน รวมถึงอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 4 จัดการทดสอบพลังฝีมือของทุกคน…
และหลังจากที่หลี่อันพาคนจากไป เถิงชานก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองต้วนหลิงเทียนอย่างไม่รู้ตัว ในแววตายังฉายความผิดหวังออกมา
มันไม่คิดเลยว่าสุดท้ายเรื่องราวจะกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ชายหนุ่มที่มันเห็นดีเห็นงามตั้งแต่แรกกลับมีพรสวรรค์รากวิญญาณเป็นแค่รากวิญญาณสีเหลืองเท่านั้น ‘หรือเจ้าหนุ่มนี่ที่แท้จะเป็นผู้ชราปลอมตัวเข้ามาทดสอบแล้วจริงๆ?’
มันเองก็ไม่อยากจะเชื่อ
อย่างไรก็ตามต่อให้ไม่เชื่อเพียงใดแต่ผลลัพธ์ก็วางตั้งอยู่ตรงหน้า เช่นนั้นมันไม่เชื่อก็ไม่ได้!
ด้วยการใช้ลูกแก้ววิญญาณตรวจสอบดีแล้ว ปรากฏว่าชายหนุ่มที่มันพบว่าอายุยังไม่ทันถึง 40 ปีทีผู้นี้…มีรากวิญญาณเป็นสีเหลือง!
และแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย สำหรับผู้ที่มีรากวิญญาณสีเหลืองจะบรรลุพลังฝีมือถึงขั้นเหนือกว่าเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดได้ก่อนอายุ 40!
เช่นนั้นใจมันก็ยังคงตัดสินไปแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นผู้ชราปลอมแปลงมาจริงๆ…
“ต้วนหลิงเทียน มิว่าเจ้าจะผ่านบททดสอบพลังฝีมือหรือไม่ แต่ข้ามิแนะนำให้เจ้าอยู่แท่นบูชาเต่าทมิฬสืบต่อ เพราะเจ้าต้องเจอปัญหาจากหลี่อันแน่…หากเจ้าคิดจากไปจริงๆ ข้าจักร้องขอให้สหายข้า 2 คนพาเจ้าหลบหนีไปให้พ้น ด้วยมีสหายข้าช่วยเหลือมิมีทางที่หลี่อันจะทำอะไรเจ้าได้แน่นอน…”
ตอนนี้เองเสียงจริงจังหนึ่งพลันดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน
เพียงได้ยินเขาก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของอาวุโสเพลิงเงินแห่งแท่นบูชาเต่าทมิฬ เถิงชาน!
‘อาวุโสเถิงชาน?’
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองเถิงชานด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าถึงแม้เรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้แล้ว แต่เถิงชานยังจะคิดช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นเงื้อมมือหลี่อัน!
เรื่องนี้ทำให้เขาซาบซึ้งนัก!
อย่างน้อยๆเถิงชานก็ไม่ได้ดูถูกเขาเหมือนผู้อื่นเพียงเพราะรากวิญญาณของเขามีสีเหลือง กลับยินดีให้ความช่วยเหลือในยามยากดั่งส่งถ่านไฟกลางหิมะเช่นนี้!
การกระทำดังกล่าวช่างน่ายกย่องนัก!
‘หวังว่าต้วนหลิงเทียนจักเลือกจากไป…ข้าเองก็ช่วยได้เพียงเท่านี้แล้ว’
หลังส่งเสียงกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนแล้วเถิงชานก็ลอบกล่าวในใจ
เหตุผลที่มันเลือกจะช่วยต้วนหลิงเทียนเพราะมันเองก็ยังรู้สึกถูกชะตาเขาไม่น้อย จึงไม่อยากเห็นต้วนหลิงเทียนถูกคนรังแก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังรู้สึกผิดนัก ที่อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บจากหลี่อันภายใต้การดูแลของมัน
และในสายตาของมัน หากต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะจากไปเสีย ล้วนเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย
แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ไป มันก็จนปัญญา
นั่นเพราะหากต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะอยู่ในแท่นบูชาเต่าทมิฬล่ะก็ มันไม่อาจช่วยอะไรได้เลย เพราะอำนาจมันมีไม่สู้หลี่อัน!
ในแท่นบูชาเต่าทมิฬนั้น ไม่ว่าจะพลังฝีมือส่วนตัว สิทธิ์เสียง หรือกำลังคน…มันล้วนไม่อาจเทียบหลี่อันได้ทั้งสิ้น! หากหลี่อันคิดลงมือเล่นงานต้วนหลิงเทียนเพื่อล้างแค้นจริงๆ มันก็ไม่มีปัญญาช่วยเหลือ
ตอนแรกมันก็หลงคิดไปว่ารากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนอาจจะเป็นสีคราม หรืออย่างต่ำๆก็เป็นสีน้ำเงิน
หากพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นรากวิญญาณสีครามล่ะก็ มันยังสามารถพาต้วนหลิงเทียนไปเข้าพบจ้าวแท่นเต่าทมิฬ เพื่อประสานไปยังจ้าวลัทธิ และไม่พ้นคงถูกจ้าวลัทธิรับตัวไว้เป็นศิษย์แน่
พอต้วนหลิงเทียนกลายเป็นศิษย์ของจ้าวลัทธิบูชาไฟแล้ว หลี่อันย่อมไม่มีปัญญาแตะต้องอะไรได้อีก
และถึงแม้รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่สีครามแต่เป็นเพียงสีน้ำเงิน มันก็ยังสามารถแนะนำอีกฝ่ายกับจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬได้ไม่ยาก และแน่นอนว่าจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬของมันก็คงยิ่งกว่ายินดีที่จะได้อัจฉริยะอย่างต้วนหลิงเทียนมาเป็นศิษย์!
และเมื่อต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ของจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬ อำนาจของหลี่อันก็ไม่อาจสร้างปัญหาอะไรให้ต้วนหลิงเทียนได้เช่นกัน!
อนิจจา เรื่องราวกลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดที่มันจะคิดคาดนัก!
พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนนั้น กลับไม่ใช่รากวิญญาณสีครามหรือสีน้ำเงิน กระทั่งไม่แม้แต่จะเป็นรากวิญญาณสีเขียวด้วยซ้ำ!
รากวิญญาณสีเหลือง!
รากวิญญาณสีเหลืองนั้น เป็นรากวิญญาณที่พบได้มากสุดในหมู่ศิษย์ของลัทธิบูชาไฟ ในบรรดาศิษย์ของลัทธิบูชาไฟแม้ไม่ถึง 10 แต่ก็ต้องมี 8 มี 9 ส่วนที่เป็นรากวิญญาณสีเหลือง…
เช่นนั้นก็เห็นกันได้ชัดเจนว่ารากวิญญาณสีเหลืองนั้นมันธรรมดาเพียงใด ไม่ใช่อะไรที่คู่ควรจะกล่าวถึงด้วยซ้ำ
“ขอบคุณท่านมากอาวุโสเถิงชาน…”
ได้ยินเสียงกล่าวด้วยความห่วงใยนี้ของเถิงชาน ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณออกมาก่อนทันทีค่อยว่าต่อ “หากแต่น้ำใจนี้ของท่านข้าทำได้แค่รับไว้ด้วยใจ เพราะข้ามิคิดจะออกจากลัทธิบูชาไฟในตอนนี้…สำหรับการประเมินพลังฝีมือ ข้ามั่นใจว่าจะสามารถผ่านไปได้แน่! นอกจากนี้ขออาวุโสเถิงชานอย่าได้กังวลใจไป ตั้งแต่ที่ข้ากล้าต่อต้านหลี่อันแต่แรกทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นสหายอันดีกับบิดาหยางหวู่ ข้าย่อมคำนึงถึงผลกระทบทั้งหมดและเตรียมแบกรับผลการกระทำเอาไว้แล้ว!”
“น้ำใจทั้งความช่วยเหลือที่อาวุโสเถิงชานหยิบยื่นให้ข้าด้วยความหวังดีครั้งนี้…ข้าต้วนหลิงเทียนจะจดจำมันไว้ในใจไม่มีวันลืม!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าววาจาส่งมารวดเดียวจบ เถิงชานฟังแล้วก็อึ้ง สุดท้ายก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรสืบไป
“ดี! ในเมื่อตัวเจ้าได้เลือกแล้ว เช่นนั้นข้าก็แล้วแต่เจ้าเถอะ…”
ฟังจากเสียงตอบคำของเถิงชานครั้งนี้ เห็นชัดว่ากล่าวออกอย่างทอดถอน ในน้ำเสียงยังแฝงความเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง
หลังจากนั้นเถิงชานก็หันไปสนใจการประเมินพลังฝีมือทันที คนอื่นๆรวมถึงต้วนหลิงเทียนที่อยู่ตรงนี้ เป็นมันกับอาวุโสเพลิงทองแดงจะจัดการประเมินพลังฝีมือของทุกคน
ในการประเมินพลังฝีมือของผู้ที่มีรากวิญญาณสีเหลืองรวมถึงต้วนหลิงเทียน ขอเพียงมีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตเซียนปฐพีขึ้นไป ก็เรียกว่าแทบจะผ่านการทดสอบได้แน่นอนแล้วเต็มสิบส่วน
ส่วนเนื้อหาการประเมินหลังจากนั้นก็ไม่ได้สำคัญอะไรที่จะกล่าวถึง
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ต้วนหลิงเทียนเองก็สามารถผ่านการประเมินมาได้ไม่ยากเย็น!
แต่แน่นอนว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะผ่านมาได้ไม่ยากเย็น แต่สิ่งที่เขาเผยให้ทุกคนเห็นก็ไม่ใช่ว่าจะผ่านได้อย่างราบรื่นสบายๆสักเท่าไหร่
“เซียนปฐพีขั้นต้นเช่นนั้นรึ?”
“เมื่อครู่หวาดเสียวนัก มันแทบมิผ่านการประเมินแล้ว…สมควรพึ่งทะลวงผ่านเซียนปฐพีขั้นต้นมาได้มินาน!”
“พวกเจ้าว่าใช่มันจงใจซุกซ่อนพลังฝีมืออันใดเอาไว้อีกหรือไม่…บางทีที่แท้พลังฝีมือของมันจะเหนือกว่าเซียนปฐพีขั้นต้น ทว่าแสร้งจงใจเผยออกมาเพียงเท่านี้หมายเล่นหมูกินเสืออันใด?”
“สหายท่านนี้ มิใช่ว่าเจ้าจะคิดมากไปหน่อยหรือไร? ทุลักทุเลเช่นนั้นยังจะปิดซ่อนอันใดได้อีก?”
…… ……
หลังเห็นต้วนหลิงเทียนผ่านการประเมินพลังฝีมือมาได้ ทุกคนก็เริ่มสนทนากันถึงเขาอีกครั้ง
และหลังจากกล่าวกันไปกล่าวกันมา ในที่สุดต่างก็เห็นพ้องต้องกัน ว่าพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนถึงด่านพลังอันใด…
เซียนปฐพีขั้นต้น!
หากต้วนหลิงเทียนเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ยังไม่ 40 ปีที เกรงว่าเรื่องนี้คงทำให้พวกมันแตกตื่นกันอยู่บ้าง!
ทว่าด้วยตรรกะความคิดของพวกมันได้สรุปไปแล้วว่าต้วนหลิงเทียนคือเฒ่าชราแอ๊บแบ๊ว เพียงเท่านี้ยังถือว่าธรรมดานัก…
เช่นนั้นแม้จะรับทราบว่าต้วนหลิงเทียนบรรลุเซียนปฐพีขั้นต้น พวกมันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอะไรเท่าไหร่ ยังคิดว่าก็สมควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้วไปอีก…
ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย
อันที่จริงพลังฝึกปรือของเขาต่ำกว่าที่คนพวกนี้สรุปกันเองไปมาก! เพราะเขาพึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ได้ไม่ทันข้ามวันที!!
สำหรับการประเมินพลังฝีมือนั้น ที่มันไม่ได้แลดูง่ายดายอะไรมากมาย เพราะเขาใช้เพียงพลังเซียนสุริยันอย่างเดียวเท่านั้น….
พลังเซียนที่ไหลเวียนในกายของเขา แม้จะเป็นเพียงพลังเซียนของขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นต้น แต่ด้วยมันผสานหลอมรวมกับพลังเพลิงสุริยันไปแล้ว มันจึงไม่ได้ด้อยอานุภาพไปกว่าพลังเซียนของตัวตนเซียนปฐพีขั้นต้นเลย
แต่ด้วยความที่เขาพึ่งทะลวงมาถึงขอบเขตเซียนมนุษย์สดๆร้อนๆ ไหนเลยเขาจะยังควบคุมใช้งานพลังเซียนสุริยันได้คล่องแคล่ว? กระทั่งยังพึ่งเพาะสร้างพลังใหม่ไม่ทันไรโคจรไปมาทั่วร่างก็ยังได้ไม่กี่รอบด้วยซ้ำ ยังจะมีเวลาไปปรับตัวเข้ากับพลังตอนไหน?
เช่นนั้นแล้ว แม้จะได้ยินเสียงนินทาปรามาสโดยรอบต้วนหลิงเทียนก็เพียงยิ้มแย้ม ราวกับได้ฟังเสียงนกเสียงกา
ทำไมเขาต้วนหลิงเทียน ต้องไปสนใจขี้ปากผู้อื่นด้วย?
“ผู้ที่ล้มเหลวในการประเมินพลังฝีมือ จงติดตามอาวุโสเพลิงทองแดงสองท่านนี้ไปเสีย…ส่วนผู้ที่ผ่านการประเมินพลังฝีมือแล้ว ให้ติดตามอาวุโสเพลิงทองแดง 2 ท่านนี้…ทั้งคู่จะพาพวกเจ้าทุกคนไปลงทะเบียน และรับทราบกฏเกณฑ์ที่ศิษย์ใหม่จำเป็นต้องทราบ”
ตอนนี้เองเสียงของเถิงชานพลันดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนมันกำลังชี้แจงเรื่องราวต่างๆทิ้งท้าย
และเมื่อเถิงชานกล่าวจบคำ มันก็หันมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง หลังจากระบายลมหายใจออกมาอีกเฮือกหนึ่งมันก็เหินร่างจากไป
ในเมื่อต้วนหลิงเทียนตัดสินใจเลือกหนทางของตัวเองแล้ว มันก็มิอาจก้าวก่าย…
ภายภาคหน้าต้วนหลิงเทียนทำได้แค่พึ่งพาตัวเองแล้ว
แม้อีกฝ่ายจะมาขอให้มันช่วยเหลือ แต่เกรงว่ามันเองก็ไม่มีปัญญาจะช่วย…
หลังจากเถิงชานจากไป เหล่ากลุ่มคนที่ไม่ผ่านการประเมินพลังฝีมือก็ติดตามอาวุโสเพลิงทองแดงจากไปอย่างซึมๆ
ส่วนอาวุโสเพลิงทองแดงอีก 2 คน ก็เรียกทุกคนรวมถึงต้วนหลิงเทียนให้เหินร่างติดตามพวกมันไป ไม่นานทั้งหมดก็ล่วงลึกเข้าสู่ภูเขา
ระหว่างการเดินทางอาวุโสเพลิงทองแดงทั้ง 2 ก็เป็นฝ่ายแจกชุดเสื้อผ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของศิษย์ฝ่ายนอกลัทธิบูชาไฟมาให้ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ
เครื่องแต่งกายของศิษย์ฝ่ายนอกนั้นก็เป็นชุดคลุมสีขาวเหมือนกันกับอาวุโสเพลิงทองแดง เห็นกันชัดๆว่าลายปักดังกล่าวคล้ายเปลวเพลิงที่ก่อตัวเป็นเต่าทมิฬ ทว่านอกจากสีเปลวเพลิงซึ่งเป็นสีเทาอ่อนที่มองตัดกับสีขาวอยู่บ้าง ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว…
อย่างไรก็ตามลายปักเพลิงสีเทาดังกล่าวก็ชัดเจนทั้งละเอียดลออนัก เห็นได้ว่าฝีมือลายมือของผู้ปักยอดเยี่ยมไม่น้อย
“พวกเจ้าเห็นตรงนั้นหรือไม่…นั่นคือสถานที่พักและบ่มเพาะพลังอาวุโสเพลิงเงินทั้ง 5 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬเรา หากมิได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสเพลิงเงินคนใดอย่าได้ล่วงล้ำเข้าไปเด็ดขาด..หาไม่แล้วแม้พวกเจ้าตายก็ได้แต่กลายเป็นผีโง่งม!”
หลังจากแจกจ่ายชุดเครื่องแต่งกายแล้ว อาวุโสเพลิงทองแดงก็พาทุกคนเหินร่างไปทางทิศตะวันออก ก่อนจะชี้ให้ทุกคนเห็นพื้นที่ส่วนหนึ่ง พร้อมกล่าวเตือนเสียงเข้ม
กล่าวถึงท้ายประโยค ในน้ำเสียงยังแฝงจิตสังหารออกมาบางเบา
ต้วนหลิงเทียนหันมองไปตามทิศทางดังกล่าวก็พบม่านหมอกก่อตัวเป็นดั่งกำแพงกั้น ยากจะแลเห็นสิ่งอันใดหลังหมอกได้ สมควรมีค่ายกลอำพรางบางประการจัดตั้งเอาไว้
“ส่วนด้านหน้าทางนี้จะเป็นสถานที่ตั้งแท่นบูชาเต่าทมิฬของพวกเรา และยังมีศิลาจารึกที่บันทึกเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ ตั้งอยู่ตรงใจกลางแท่นบูชาเต่าทมิฬ…ศิษย์คนใดก็สามารถลองเข้าไปทำความเข้าใจมันได้”
อาวุโสเพลิงทองแดงอีกคนพลันกล่าวอธิบายออกมา พร้อมเหินนำไปยังทิศทางดังกล่าว
ทันใดนั้นสายตาของทุกคนรวมถึงต้วนหลิงเทียนก็ละออกจากพื้นที่ต้องห้ามทางตะวันออกหันกลับไปมองตรงทันที
เบื้องหน้าปรากฏพื้นที่ราบอันมีทุ่งหญ้าสีเขียวอันอุดมสมบูรณ์ตั้งอยู่ ยังมีผืนป่างดงามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ผืนป่านั้นห้อมล้อมพื้นที่ทุ่งหญ้าเอาไว้ และในพื้นที่ใจกลางทุ่งหญ้าก็ปรากฏพระราชวังใหญ่โตมหึมาหลังหนึ่งปลูกสร้างเอาไว้คล้ายสัตว์ร้ายโบราณตัวเขื่องกำลังหมอบฟุบหลับไหล มองไปยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันไร้สภาพประการหนึ่ง!
และบริเวณใจกลางพระราชวังดังกล่าว ก็มีแท่นบูชามหึมาตั้งตระหง่านอยู่
แท่นบูชาดังกล่าวมีฐานอันกว้างใหญ่นัก ความสูงราวๆสิบหมี่ด้านบนสุดของแท่นบูชาปรากฏรูปสลักเต่าทมิฬตัวเขื่อง มองไกลๆยังคล้ายสัตว์ร้ายโบราณดังกล่าวยังมีชีวิต!
“คนเยอะจริงๆ!”
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็ตระหนักว่าบริเวณแท่นบูชานั้นมีผู้คนจำนวนมากนัก!
ตัดสินจากชุดเครื่องแต่งกายของทั้งหลายก็บอกได้ไม่ยากว่าล้วนเป็นศิษย์ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ
นับด้วยสายตาเรียกว่ามีคนที่มาป้วนเปี้ยนรอบๆแท่นบูชาเต่าทมิฬนับร้อยๆ บ้างก็นั่งขัดสมาธิลงบืนพื้นใกล้ๆรูปปั้นเต่าทมิฬ บ้างก็เดินไปวนมาด้วยท่าทางครุ่นคิด บ้างก็ยืนหลับตาทำหน้าเคร่ง…บ้างก็ลอยล่องในอากาศเหนือรูปปั้นอย่างสงบ