WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1948
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1948
ตอนที่ 1,948 : ความเร็วในการบ่มเพาะ…โคตรเร็ว!
ยังจะไม่ให้สีหน้ามันอัปลักษณ์ปั้นยากได้อย่างไร?
ตัวมันหลี่อันในฐานะอาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ เรียกว่าในแท่นบูชาเต่าทมิฬนั้น มันอยู่ใต้หนึ่งแต่อยู่เหนือนับหมื่น!
กระทั่งต่อให้มองผ่านทั้ง 4 แท่นบูชา ตัวมันก็ถือได้ว่าเป็นตัวตนอันทรงเกียรติ!
อย่างไรก็ตามตัวมันที่มีศักดิ์ฐานะเช่นนี้ กลับถูกศิษย์เข้าใหม่คนหนึ่งท้าทายอำนาจทั้งไม่เห็นหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
หรืออย่างน้อยๆก็เป็นการยั่วยุท้าทายอำนาจอย่างไม่เห็นหัวสำหรับหลี่อัน
ในสายตาของมัน นี่คือการหยามหน้าลูบคมทำให้มันอดรู้สึกอัปยศเสียไม่ได้
ครั้งแรกศิษย์ใหม่ผู้นั้นก็ลงมือฆ่าบุตรชายของสหายสนิทมัน
ครั้งที่สองก็ฆ่าศิษย์อัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่มันตั้งหน้าตั้งตารอคอย
พอมาครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม…อีกฝ่ายก็ถึงขั้นลงมืออุกอาจฆ่าศิษย์หลานของมัน!
หลี่อันเหลือทนแล้ว!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอได้รู้สาเหตุของเรื่องราวว่าศิษย์หลานที่ตายตกนั้น…คิดทำเพื่อล้างแค้นให้มัน!
หลี่อันยิ่งมีโมโหจนตัวสั่น!
‘ต้วนหลิงเทียน เจ้ามันแน่นัก! คราวนี้ถึงกับกล้าฆ่าพี่น้องสกุลหยวนถึงที่! ให้ข้าดูว่าครั้งนี้เจ้าจักมีปัญญาเก็บชีวิตสวะของเจ้าเอาไว้ได้อย่างไร!’
หลังหลี่อันมาถึงแท่นบูชานกไฟสีหน้าท่าทางของมันก็กลายเป็นดุร้ายนัก แววตายังทอประกายอำมหิตเหี้ยมออกมาแจ่มชัด
ในสายตาของมัน…
คราวนี้ต้วนหลิงเทียนต้องตายแน่!
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเรื่องที่มันฆ่าหยวนหงแล้วจะอ้างว่าเป็นเพราะหยวนหงคิดลงมือฆ่ามันก่อนจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวอะไรนั่นเลย…
ทว่าน้องชายของหยวนหงอย่างหยวนค่วงเล่า?
จากข้อมูลที่สายมันรายงานมา แต่ต้นจนจบหยวนค่วงมิได้มีทีท่าว่าจะลงมือต่อต้วนหลิงเทียนแม้แต่น้อย!
จึงกล่าวได้ว่าหยวนค่วงที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่านั้น มันเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้ความผิด!
ตามกฏของลัทธิบูชาไฟนั้น ฆ่าคนจำต้องชดใช้ด้วยชีวิต! ต้วนหลิงเทียนต้องชดใช้ชีวิตให้หยวนค่วง!!
“อาวุโสกัวฉง…วันนี้ท่านคงมิคิดปกป้องต้วนหลิงเทียน และกล่าวว่ามันบริสุทธิ์เหมือนคราวที่แล้วใช่หรือไม่?”
ไม่นานหลี่อันที่เหินร่างไล่กัวฉงทัน ก็มองกัวฉงด้วยสองตาทอประกายเรืองวาบยิงคำถามจี้ใจออกไป
“หึ!”
พออาวุโสกัวฉงที่เร่งรุดมาแท่นบูชานกไฟเพราะได้รับรายงานเรื่องราวใหญ่โตอย่างศิษย์สังกัดตัวบุกมาฆ่าคนถึงที่นี่ ได้ยินวาจาถามไถ่ของหลี่อัน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“อาวุโสหลี่อัน นี่ใช่เจ้ากำลังตั้งคำถามกับความเที่ยงธรรมของข้าอยู่หรือไม่? หากตัวเจ้าคิดว่าการตัดสินคดีของข้าครานั้นมันไร้ความยุติธรรม ไฉนเจ้าไม่ไปยื่นอุทธรณ์เพื่อร้องขอความเป็นธรรมที่หอคุมกฏเล่า?”
วาจาท้ายประโยคของกัวฉงยามกล่าวยังเย็นชานัก พาลให้บรรยากาศโดยรอบเสมือนเย็นลงทันตา
“ข้าเพียงคิดกล่าวเตือนอาวุโสกัวฉงเฉยๆ ว่าบางคนนั้นการฆ่าคนก็มิได้มีเหตุผลทุกครั้งไป…วันนี้แม้ต้วนหลิงเทียนนั่นมันจะกล่าวอ้างเรื่องฆ่าหยวนหงได้ แต่เรื่องหยวนค่วงก็มากพอให้มันตาย!”
หลี่อันกล่าวออกเสียงเรียบเฉยเบาๆ หากแต่ค่อนข้างเย็นชานัก
“อาวุโสหลี่อัน หรือท่านคิดว่าข้าในฐานะอาวุโสคุมกฏนั้น มิรู้ว่าสมควรจัดการเรื่องราวอย่างไร…ยังต้องให้ท่านมาชี้นิ้วสอนสั่งกันรึ? เฮอะ!”
กัวฉงกล่าวออกเสียงเข้ม ยังมองหลี่อันด้วยสายตาเอาเรื่องไม่ได้ไว้หน้าหลี่อันสักนิด
“ฮึ่ม!”
เมื่อเห็นกัวฉงไม่ไว้หน้าตัว ใบหน้าหลี่อันพลันมืดลงทันใด ประกายจิตสังหารหนึ่งแล่นวาบในลูกตา!
หลังจากนั้นหลี่อันก็คร้านจะเสวนาอะไรกับกัวฉงอีก ยังเหินร่างแซงกัวฉงไปยังเขตที่พักของเหล่าศิษย์แท่นบูชานกไฟ
ตอนนี้น่านฟ้าเหนือเขตที่พักของเหล่าศิษย์แท่นบูชานกไฟ ก็มีศิษย์ที่ออกมายืนรอชมเรื่องราวกันมากหน้าหลายตานัก
ที่พวกมันแห่แหนกันออกจากที่พักมาลอยร่างกลางฟ้าเช่นนี้ย่อมมีวัตถุประสงค์เดียว…ชมดูเรื่องราวสนุกสนานให้บันเทิงเริงใจ!
เรียกว่าทั้งหลายทั้งปวงพากันแห่ออกจากการปิดด่านฝึกตนออกมาลอยร่างออมุงกันจนแน่น จนน่านฟ้าที่กว้างใหญ่คล้ายจะแลดูคับแคบไปถนัดตา!
ในหมู่กลุ่มคนที่เหินร่างเหนือน่านฟ้าเขตที่พักเหล่าศิษย์นั้น รวมถึงอาวุโสคุมกฏของแท่นบูชานกไฟหวู่ยี่ด้วย และทั้งหมดล้วนกำลังให้ความสนใจไปยังเรือนชั้นรองหลังหนึ่ง
เรือนชั้นรองหลังนั้นตอนนี้ปิดประตูเรียบร้อย ไร้ความเคลื่อนไหวอันใด
“ศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬต้วนหลิงเทียนผู้นั้นที่แท้กลับหาญกล้าถึงเพียงนี้! มันพึ่งฆ่าผู้คนไปสองแต่ยังกล้าโอหังต่อหน้าอาวุโสหวู่ยี่ของพวกเรา กระทั่งยังกล้าปิดประตูใส่หน้าอาวุโสหวู่ยี่หน้าตาเฉย!”
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้คิดยืนหยัดท้าทายสวรรค์หรือไรกัน! หรือมันคิดจริงๆว่ากฏของลัทธิบูชาไฟนั้นหละหลวมไม่จริงจัง?”
“วันนี้ไม่ว่ามันจะทำอย่างไรมันก็ต้องตาย! ผู้ใดจะไปรู้ว่าที่มันเข้าไปในบ้านนั่นใช่คิดดื่มด่ำกับความสุขในห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอยู่หรือไม่!”
“อาจเป็นได้! ข้าคิดว่าที่มันกระทำแบบนั้นเพราะมันเหมือน ‘ปล่อยมือจากหม้อที่แตก’ ไปแล้ว จึงไม่คิดอันใดให้มากความอีก”
…
เหล่าศิษย์แท่นบูชานกไฟก็กำลังจ้อคุยกันไม่หยุด แน่นอนว่าทั้งหมดเห็นพ้องต้องกันว่า…
ต้วนหลิงเทียนกำลังจะถูกประหารในไม่ช้า!
“หึ! หากมิใช่เพราะแท่นบูชาจตุรลักษณ์เรามีกฏไม่ก้าวก่ายเรื่องแท่นบูชาอื่น ทำให้อาวุโสคุมกฏเรามิมีสิทธิ์ตัดสินโทษมัน ไหนเลยมันยังจะมีลมหายใจมาได้ถึงตอนนี้!”
“เจ้ามิเห็นหรือว่าตอนนี้สีหน้าอาวุโสหวู่ยี่ดำทะมึนปานใด? เห็นชัดว่ามีโมโหต้วนหลิงเทียนแทบตายแล้ว!”
“เหอะๆ อีกมินานอาวุโสคุมกฏของแท่นบูชาเต่าทมิฬก็จักมาถึงกันแล้ว เมื่อมาถึงพวกเราคงได้ชมดูต้วนหลิงเทียนชดใช้ชีวิตให้พี่น้องสกุลหยวนแน่!”
“ข้าก็กำลังรอดูชมอยู่เลย…อยากรู้นักว่าผู้แซ่ต้วนนั่นยังจะโอหังทั้งทำเป็นเฉยได้อยู่อีกหรือไม่!”
……
ในขณะที่เหล่าศิษย์แท่นบูชานกไฟสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย หวู่ยี่ที่ได้ยินเสียงโดยรอบ สีหน้าก็ยิ่งทะมึนทึนทึกไปกันใหญ่!
ถึงแม้ว่าใบหน้าของมันจะตุ้ยนุ้ยเต็มไปด้วยหนั่นเนื้อ แต่ตอนนี้ผู้ใดก็มองออกว่าปั้นยากนัก!
เผยให้รู้ว่ามันกำลังมีโมโหมากเพียงใด!
มันหวู่ยี่ นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆตั้งแต่ที่มันเป็นอาวุโสคุมกฏมา แล้วมีศิษย์กล้าโอหังใส่มันเช่นนี้!
หลังจากฆ่าศิษย์แท่นบูชาของมันแล้ว อีกฝ่ายยังแลดูเฉยเมยคล้ายไม่แยแส กระทั่งไม่เห็นหัวมันที่เป็นอาวุโสคุมกฏ!
‘หลังจากจบเรื่องนี้เห็นทีข้าต้องไปหารือกับท่านจ้าวแท่นเสียหน่อยแล้ว เพื่อส่งเรื่องไปให้ใต้เท้าที่หอคุมกฏในแดนศักดิ์สิทธิ์พิจารณา ว่าใช่สมควรเปลี่ยนกฏบางข้อได้แล้วหรือไม่…’
‘ไม่คิดเลยว่าวันนี้ศิษย์แท่นบูชาอื่นกลับบุกมาฆ่าศิษย์แท่นบูชานกไฟของข้าถึงที่ แต่ข้าในฐานะอาวุโสคุมกฏของแท่นบูชานกไฟแท้ๆ…กลับมิอาจคืนความเป็นธรรมให้ศิษย์ที่ตายได้ ช่างน่าผิดหวังอันใดเช่นนี้!’
หวู่ยี่กล่าวพึมพำในใจ ตอนนี้มันรู้สึกอัดอัดนัก! ยังรู้สึกอัดอัดจนแทบหายใจไม่ออก!
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้มันไม่เคยเจอเรื่องราวเช่นนี้มาก่อนเลย…เรื่องที่ศิษย์แท่นบูชาอื่นบุกมาฆ่าศิษย์ในแท่นบูชาของมันอย่างอุกอาจอย่างงี้!
ถึงแม้ว่าจริงอยู่ที่มันไม่มีอำนาจจะตัดสินโทษศิษย์นอกแท่นได้ ทว่าปกติแล้วศิษย์นอกแท่นคนอื่นๆ ยามพบมันยังหวั่นหวาดราวหนูเห็นแมว!
และมันเองก็ชมชอบอาการมุสิกหวาดวิฬารนั่นนัก!
ทว่าวั้นนี้พอเจอทีท่าเฉยเมยไม่เห็นหัวของต้วนหลิงเทียน ทำให้มันไม่เพียงไม่ได้ลิ้มรสความสุขจากการเห็นหนูหวาดแมว แต่ยังทำให้มันรู้สึกคับข้องใจนัก!
เพราะตัวมันที่เป็นถึงอาวุโสคุมกฏของแท่นบูชานกไฟแห่งนี้แท้ๆ แต่สุดท้ายกลับทำได้แค่มองศิษย์นอกแท่นทำตัวตามสบายโดยที่มันไม่อาจแตะต้องทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย!
อับจน!
มันแน่นอกนัก!
โมโหแทบตายแล้ว!
นี่คืออารมณ์อันน่าคับข้องใจทั้งมวลที่สุมใจหวู่ยี่อยู่ในขณะนี้!
“น้องหลิงเทียน…”
ในฐานะศิษย์ของแท่นบูชานกไฟคนหนึ่ง กู่ลี่ ตอนนี้ก็ได้มาลอยร่างอยู่รวมๆกับเหล่าศิษย์แท่นบูชานกไฟแล้ว มันก็ได้แต่เผยยิ้มขื่นขมออกมาอย่างจนใจขณะมองไปยังอดีตเรือนชั้นรองของหยวนหง…
ถึงแม้ว่ามันเองก็จะมีความเชื่อใจในตัวต้วนหลิงเทียน
แต่ทว่าสถานการณ์ตอนนี้เรียกว่าไม่มีอะไรเป็นใจให้ต้วนหลิงเทียนสักอย่าง! สี่ทิศแปดทางคล้ายมีหอกกระบี่จี้รุมไว้หมด!
“เจ้านั่นน่ะเหรอกู่ลี่ที่ว่า? ต้นเหตุที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนสังหารพี่น้องสกุลหยวน?”
“มิผิด เป็นมันเอง…กล่าวไปหากมิใช่เพราะมันถูกพี่น้องสกุลหยวนทุบตีรังแกจนยับเยินเช่นนั้น ไหนเลยต้วนหลิงเทียนจะมีโมโหถึงขั้นฆ่าคน…”
“แต่อันที่จริงมันก็น่าสงสารยิ่ง ข้าได้ยินว่ามันถูกพี่น้องสกุลหยวนหาเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน…ครานี้พี่น้องสกุลหยวนจากไป มันก็เหมือนได้หลุดพ้นจากอุ้งมือมาร…”
“มันอาจหลุดพ้นได้ชีวิตอิสระกลับคืน…แต่ศิษย์น้องของมันกลับกำลังจะถูกประหารชีวิต…”
……
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้กู่ลี่พลันกลายเป็นจุดสนใจของเหล่าศิษย์แท่นบูชานกไฟไปเสียแล้ว
ยิ่งมาได้ยินวาจาเหล่านี้ของเหล่าศิษย์แท่นบูชานกไฟโดยรอบ ใจกู่ลี่ก็ยิ่งเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนไปกันใหญ่
หากแต่ไม่ว่าด้านนอกจะวุ่นวายเพียงใด แต่ในอดีตเรือนชั้นรองของหยวนหงกลับเงียบสงบทั้งโล่งโจ้งนัก
แน่นอนว่ามันไม่ได้โล่งโจ้งจริงๆ
ภายในมุมหนึ่งที่ยากจะมีคนสนใจ พลันปรากฏเจดีย์ที่มีขนาดเท่าธุลีดินตั้งไว้อย่างเงียบงัน…และภายในชั้น 4 ของเจดีย์ดังกล่าวก็มีร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิโคจรพลังอย่างขมักเขม้น
“เร็วอะไรจะขนาดนี้! ให้ตายเถอะนี่มันโคตรเร็วเลย!อาศัยความเร็วในการบ่มเพาะระดับนี้ ด้วยมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของเรือนชั้นรองเป็นฐานเต็มที่ข้าก็ต้องใช้เวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้นในการทะลวงด่าน!”
“หากจะอิงกับเวลาภายนอก ก็เสมือนแค่ครึ่งเดือนเท่านั้นข้าก็สามารถตัดผ่านไปยังเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญได้แล้ว!”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนที่หลับตาโคจรสั่งสมพลังอยู่ ก็ลืมตาขึ้นมากล่าวออกด้วยรอยยิ้มยินดี
เขาเข้ามาในเรือนชั้นรองแห่งนี้มีเพียงวัตถุประสงค์เดียว…อยากรู้ว่าความเร็วในการบ่มเพาะมันจะถึงขนาดไหน!
หลังจากที่สุดท้ายแล้วพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาก็ไม่ใช่สีเขียวเข้มเหมือนเมื่อเช้าอีกต่อไป….
‘ถึงแม้ตอนนี้รากวิญญาณของข้าจะเป็นสีน้ำเงินอ่อน แต่ด้วยความช่วยเหลือจากอัตราการไหลของห้วงเวลาในชั้น 4 เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ความเร็วในการบ่มเพาะสั่งสมพลังของข้าสมควรเทียบได้กับพวกที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีครามอ่อนๆ…’
‘นอกจากนั้นนี่ยังเป็นแค่เรือนชั้นรองเท่านั้น แต่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของชั้น 4 เจดีย์หลิงหลงก็ถือว่ายอดเยี่ยมขนาดนี้แล้ว’
‘เป็นธรรมดาหากข้าได้ใช้ตำหนักเอกอุ ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าจะเร็วมากขึ้นไปกว่านี้อีก!’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง!
‘เวลาข้างนอกก็สมควรผ่านไปพักหนึ่งแล้วสินะ…ป่านนี้อาวุโสกัวฉงอะไรน่าจะใกล้มาถึงเต็มที’
พอต้วนหลิงเทียนคิดถึงเรื่องนี้เขาก็วูบร่างออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที ก่อนที่จะเก็บเจดีย์เอาไว้กับตัว ค่อยไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงเผื่อสงบจิตใจ
ในเวลาเดียวกันนั้น ด้านนอกเรือนชั้นรอง ก็ปรากฏร่างหนึ่งเหินตัดฟ้ามาฉับไว พริบตาก็บรรลุถึงข้างกาย หวู่ยี่
“อาวุโสหวู่ยี่”
ผู้มากล่าวทักทายหวู่ยี่ก่อนอื่นใด
“อาวุโสหลี่อัน”
เมื่อผู้มาถึงทักทาย หวู่ยี่ก็ทักตอบไปเช่นกัน หากแต่ทีท่ากลับเฉยเมยไม่ได้ประจบประแจงอีกฝ่ายแต่อย่างไร
มันเองก็เป็นถึงอาวุโสคุมกฏของแท่นบูชานกไฟ พลังฝีมือของมันก็มิได้ด้อยไปกว่ากัวฉงผู้เป็นอาวุโสคุมกฏของแท่นบูชาเต่าทมิฬ ถึงแม้ว่าจะอ่อนด้อยกว่าหลี่อันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้อ่อนด้อยกว่ากันมาก
เช่นนั้นแม้จะเผชิญหน้ากับหลี่อัน มันก็ยังคงวางตัวสบายๆ
“นั่นผู้อาวุโสหลี่อัน!”
“อาวุโสหลี่อัน…อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬ!”
……
พริบตาการมาของหลี่อันก็ดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์แท่นบูชานกไฟโดยรอบไม่น้อย เรียกเสียงฮือฮาได้ทันที
“แล้วต้วนหลิงเทียนเล่า?”
หลี่อันพอมาถึงก็กวาดตามองไปรอบๆทันที ทว่าเมื่อไม่พบเห็นตัวก่อเหตุอย่างต้วนหลิงเทียน มันก็อดหันไปมองถามหวู่ยี่ด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดเสียไม่ได้…