WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1954
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1954
ตอนที่ 1,954 : มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา
“แม่นางเฉวี่ยไน่…ท่าน ไฉนมาอยู่ที่นี่ได้?”
คู่พี่น้องฝาแฝดมองหานเฉวี่ยไน่ด้วยสายตาประหลาดใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าจะได้มาพบเข้ากับหานเฉวี่ยไน่ในสถานที่แห่งนี้
เพราะเท่าที่พวกมันทราบ
หานเฉวี่ยไน่มิใช่คุณหนูใหญ่แห่งคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานในภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าหรอกหรือ?
ไฉนนางถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้กัน…?
“หนานกงยี่ ข้ามาถึงที่นี่ก่อนพวกเจ้าเนิ่นนานแล้ว”
หานเฉวี่ยไน่กระพริบตาคู่งามๆปริบๆ น้ำเสียงยามกล่าวยังเผยความประหลาดใจไม่น้อย “อย่างไรก็ตาม ข้ามิคิดจริงๆว่าทายาทคนคู่ที่ท่านปู่พยากรณ์เลือกเฟ้นมาจะเป็นพวกเจ้าพี่น้องไปได้…ช่างน่าทึ่งจริงๆ! ไฉนเป็นพวกเจ้าได้เล่า!?”
ฝาแฝดที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหานเฉวี่ยไน่ ไม่ใช่ใครที่ไหนกลับเป็นพี่น้องหนานกง หนานกงยี่กับหนานกงเฉินนั่นเอง
ฝาแฝดคู่นี้ได้ถูกต้วนหลิงเทียนพาไปพักอาศัยอยู่ที่ตำหนักเมฆาครามตั้งแต่แรก และทั้งคู่ก็อาศัยสภาพแวดล้อมที่นั่นในการฝึกปรือบ่มเพาะพลังมาโดยตลอด
และเมื่อไม่นานมานี้ทั้งคู่ก็ถูกเยว่อู๋หยิ่งพาออกจากตำหนักเมฆาคราม กระทั่งมาถึงภูมิภาคเบื้องบนแห่งนี้อย่างกะทันหัน
ขณะพามาเยว่อู๋หยิ่งยังได้บอกเรื่องราวบางประการแก่พวกมัน…
เช่นนั้นพวกมันจึงได้รับทราบว่า พวกมันพี่น้องกำลังจะได้เป็นผู้สืบทอดมรดก ‘คนคู่’ ของขุมพลังโบราณขุมหนึ่งในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า!
นี่นับเป็นโอกาสอันประเสริฐในชีวิตของพวกมัน!
ด้วยเหตุนี้ขณะเดินทางทั้งคู่จึงตื่นเต้นนัก กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่หาย!
อย่างไรก็ตามพวกมันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยจริงๆ ว่าเมื่อมาถึงที่นี่จะได้พบพานเข้ากับหานเฉวี่ยไน่ด้วย!
พวกมันกับหานเฉวี่ยไน่นั้นหาใช่คนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคยกันแต่อย่างไร ตั้งแต่ตอนที่พวกมันอยู่ในทวีปเมฆาล่อง พวกมันก็เคยได้พบหานเฉวี่ยไน่ที่ตามต้วนหลิงเทียนแจมาแล้ว
“แม่นางเฉวี่ยไน่ หากท่านยังเรียกข้าเช่นนั้นอยู่อีก…ต่อไปอย่าได้โทษข้าเล่า หากตัวข้าดูหมิ่นท่านบ้าง!”
เสียงเล็กดังขึ้นอีกครั้งในอากาศ ในน้ำเสียงแฝงเร้นไว้ด้วยความไม่พอจัดเจน
“อันใดเล่า? นามกระเทยน่าตายก็ไม่ใช่ข้าที่เป็นคนตั้งให้เจ้าเสียหน่อย…หากเจ้าคิดจะดูหมิ่นผู้คน เช่นนั้นก็ไปดูหมิ่นอาจารย์ข้าเถอะ! ตราบใดที่เจ้าสามารถทำให้อาจารย์ข้าหยุดเรียกเจ้าว่ากระเทยน่าตายได้เมื่อใด ข้าก็จะหยุดเรียกหาเจ้าเช่นนี้เอง”
แววตาของหานเฉวี่ยไน่ส่องสว่างขึ้นมาด้วยประกายซุกซนขณะกล่าวคำกับอากาศธาตุ
หลังจากนั้นเสียงเล็กแหลมปานสตรีก็เงียบไปเลย ไม่กล่าวคำใดออกมาอีก…
เห็นได้ชัดว่าครานี้เยว่อู๋หยิ่งถึงคราวทดท้อแล้วจริงๆ…เพราะอาจารย์ของหานเฉวี่ยไน่ ไม่เพียงแต่จะมากอาวุโสกว่ามันเท่านั้น พลังฝีมือของนางยังเหนือกว่ามันอีกด้วย…
“แม่นางเฉวี่ยไน่…ท่านเองก็เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดมรดกของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ด้วยหรือ?”
หนานกงเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆหนานกงยี่อดไม่ได้ที่จะถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
ทว่ากลับเป็นฝ่ายหานเฉวี่ยไน่ที่ประหลาดใจยิ่งกว่ามันเสียอีก ดวงตาคู่งามกลมโตขึ้นมาด้วยความเหลือเชื่อ มองหนานกงเฉินราวกับสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น “สวรรค์ช่วย…หนานกงเฉินกลับริเริ่มกล่าวถามผู้อื่นแล้วจริงๆ…”
ในความทรงจำของหานเฉวี่ยไน่นั้น
คู่แฝดหนานกงนี้ แม้จะเป็นพี่น้องกันและมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว ทว่าอุปลักษณ์นิสัยกลับแตกต่างกันมากมายนัก
เรียกว่าทั้งคู่เสมือน 2 คนที่ต่างขั้วกันโดยสมบูรณ์ หนึ่งช่างจ้อเฮฮา อีกหนึ่งกลับเงียบขรึมไม่พูดไม่จา คล้ายวาจาของมันมีราคายิ่งกว่าทองพันชั่ง!
ด้วยเหตุนี้นางจึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าวันนี้อยู่ๆหนานกงเฉินกลับเป็นฝ่ายริเริ่มกล่าวถามนางออกมา
“อื๊อ! ข้าเองก็เป็นผู้สืบทอดมรดกของ 7 ทวาราเที่ยงแท้เช่นกัน…ข้าเป็นทายาทของธุลีแดง”
หานเฉวี่ยไน่ที่อึ้งไปพักหนึ่งก็พยักหน้ากล่าวตอบหนานกงเฉินเสียงใส
ธุลีแดงนั้น แม้จะเป็นทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 7 หากแต่ความสำคัญของนามนี้หาได้เป็นสองรองใครไม่ เพราะผู้สืบทอดนามนี้จำต้องมีความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง สิ่งนั้นก็คือ ‘ข้อมูล’ ถึงขั้นกล่าวได้ว่าธุลีแดงคือ ‘หูตา’ ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ก็ไม่เกินเลย!
ยิ่งไปกว่านั้นในการจัดอันดับพลังฝีมือของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ นอกเหนือจากหมอกพิรุณที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งจนเหนือกว่าคนทั้ง 6 ไปแล้ว ในอีก 6 ทวาราก็มิได้แบ่งแยกความสำคัญกันที่พลังฝีมือแต่อย่างใด
ไม่ต้องกล่าวใดให้มากความ เพียงมองทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสวรรค์นั้น ในแง่พลังฝีมือเกรงว่าคงไม่อาจต้านทานรับมือกับ 6 ทวาราเที่ยงแท้ที่เหลือได้เลยหากประมือกันตัวต่อตัว!
อาจกล่าวได้ว่าในบรรดา 6 คนหากต่อสู้กันซึ่งๆหน้าโดยที่มีด่านพลังฝึกปรือเท่ากัน จะไม่มีผู้ใดต้านทานความแข็งแกร่งดุดันและเหี้ยมหาญของจอมเผด็จการ ผู้เป็นทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 3 ได้เลย
แต่ทว่า ทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 3 อย่างจอมเผด็จการนั้น…ยังยากที่จะป้องกันการลอบสังหารของ เงาทมิฬ ผู้เป็นทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 4 ได้หากมีพลังฝึกปรืออยู่ในด่านเดียวกัน!
และ เงาทมิฬ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 4 ก็มิอาจลอบสังหารคนคู่ได้พร้อมกัน!
เพราะสุดท้ายแล้วเงาทมิฬผู้มีจุดเด่นในการลอบสังหารถนัดเรื่องปะทุพลังฆ่าฟันในชั่วพริบตานั้น คงยากที่จะลงมือฆ่าคน 2 คนที่ต่างเฝ้าระวังหลังให้กันและกันได้อย่างพร้อมเพรียง เรียกว่าไร้ช่องโหว่ให้มันลงมือ!
เช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่านอกเหนือทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 1 ที่มีพลังฝีมือกล้าแข้งโดดเด่นเหนือผู้ใดแล้ว ใน 6 ทวาราเที่ยงแท้ที่เหลือกลับมีจุดเด่นกันไปคนละด้าน
ด้านนอกตำหนัก…
เหนือขึ้นไปบนฟ้าสูง ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่หยุดหย่อนพร้อมลมหนาวเย็นเยียบเสียดจมูก ปรากฏร่างชราและร่างงามหมดจดกำลังย่ำเวหาเดินมาพร้อมกัน แต่ละก้าวของทั้งคู่แลดูเนิบนาบอืดอาดคล้ายเดินกินลมชมวิวอยู่ก็ไม่ปาน
“ผู้เฒ่าพยากรณ์ นี่ท่านคิดเปิดมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวาราแล้วงั้นหรือ?”
ขณะที่ก้าวย่างมาในอากาศ สตรีงามเฉิดฉันท์พลันกล่าวถามเฒ่าชราด้านข้าง
“อืม…”
ผู้เฒ่าพยากรณ์พยักหน้ารับคำ ค่อยกล่าว “บัดนี้ทายาทหมอกพิรุณได้ก้าวหน้าเติบโตขึ้นจนข้ามิอาจใช้วิช้าคำนวณฟ้าหยั่งถึงอีกต่อไป…เช่นนั้นมันก็ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา! หาไม่แล้วอีก 6 ทวาราเที่ยงแท้คงมิมีวันไล่ตามผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 ได้ทัน…”
“เจ้าออกไปตามตัวทายาทของจอมเผด็จการแล้วพามันมาที่นี่เถอะ ข้าจักย้อนไปยังเผ่าหงส์ฟ้าเพื่อรับตัวผู้สืบทอดหงส์ฟ้าจรัสแสง…ถึงตอนนั้นข้าจักได้เปิดมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา ให้ทายาทของ 6 ทวาราเที่ยงแท้ทั้ง 6 ได้พลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาตัว! ถึงตอนนั้นข้ากับเจ้าก็จักได้พักผ่อนและคอยอยู่เบื้องหลังเสียที…”
ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าว
“ข้าเองก็ได้พบผู้สืบทอดธุลีแดงแล้ว…แต่ผู้เฒ่าพยากรณ์ท่าน ดูเหมือนทายาทของความลับสวรรค์จักยังมิปรากฏตัวไม่ใช่หรือไร?”
สตรีงามหมดจดกล่าวถามต่อว่า “หากไร้ทายาทความลับสวรรค์เช่นนี้ มิใช่หากท่านเปิดมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวาราไปแล้วภายภาคหน้าเมื่อทายาทความลับสวรรค์ปรากฏ ไม่พ้นต้องเสียเปรียบผู้อื่นและล้าหลังแล้วหรือ? เพราะอย่างไรเสียมหาค่ายกลเปลี่ยนชาตาเย้ยฟ้า 6 ทวาราก็สามารถเปิดได้เพียงครั้งในรอบหลายร้อยปี?”
“นอกจากนี้เท่าที่ข้าล่วงรู้มา มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารานี้ ก็เป็นท่านบรรพบุรุษเซียนกระบี่ออกแบบมาเพื่อให้ทายาท 6 ทวาราที่เหลือร่วมมือส่งเสริมกัน…หากขาดไปเสียคนหนึ่ง มิใช่ผลลัพธ์ของมหาค่ายกลจะลดทอนลงหลายส่วนหรือ?”
“ผ่อนคลาย…เรื่องนี้เจ้ามิต้องกังวล ข้าได้พบตัวผู้สืบทอดความลับสวรรค์มาเนิ่นนานแล้ว…ยามข้าไปยังเผ่าหงส์ฟ้า ข้าจักแวะรับตัวทายาทของข้ากลับมาด้วยกัน”
ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวออก
“ว่าอะไร!?”
ได้ยินวาจานี้ของผู้เฒ่าพยากรณ์ ใบหน้างามของสตรีเฉิดฉันท์พลันฉษยความประหลาดใจออกชัด “ท่าน…ท่านพบตัวผู้สืบทอดความลับสวรรค์แล้ว?”
“กล่าวไปข้ายังพบตัวทายาทของข้าเร็วกว่าเจ้าเสียอีก…เพียงแค่นางมิได้ติดตามมาฝึกฝนอยู่ข้างกายข้าเท่านั้น”
ผู้เฒ่าพยากรณ์กล่าวออกด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ตาเฒ่า! ท่านช่างร้ายกาจนักเก็บงำความลับไว้ดียิ่ง…เช่นนั้นที่ข้าอุตส่าห์เฝ้าห่วงกังวลไปใยมิใช่เสียเปล่าแล้วหรือไร ในเมื่อท่านพบตัวผู้สืบทอดที่เหมาะสมเช่นนั้นแต่แรก! เพียงกล่าวบอกออกมาสักคำท่านจะตายหรือ!?”
สตรีงามอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยความขุ่นขึ้ง
“ฮ่าๆๆ เอาล่ะๆ ไปกันเถอะ ไปดูผู้สืบทอดคนคู่กันก่อน…”
ตอนนี้เองผู้เฒ่าพยากรณ์และสตรีงดงามก็ก้าวเดินมาถึงตำหนักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังกล่าวจบผู้เฒ่าพยากรณ์ก็โรยตัวลงไปเบื้องหน้าและเดินเข้าตำหนักไปก่อน
สตรีงดงามก็ตามติดมาไม่ห่าง
เหนือยอดเขาอันมีหิมะโปรยไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ กอปรด้วยสภาพแวดล้อมโดยรอบที่มิอาจมองได้ไกล เกรงว่าหากมิใช่ผู้ที่ล่วงรู้ตำแหน่งที่ตั้ง ‘ตำหนัก’ หลังดังกล่าวมาก่อน คงมิอาจหาพบเจอได้ง่ายๆ…
ตำหนักที่ตั้งตระหง่านอยู่ก็มิได้ใหญ่โตอะไรมากมายนัก ทั้งนอกเหนือจากธรรมชาติแล้ว ยังมีค่ายกลพิสดารประการหนึ่งปกปิดเอาไว้อีกทบ
ด้วยเหตุนี้เองตำหนักหลังดังกล่าว จึงเล็ดลอดหูตาของ 3 ลัทธิมาได้จนถึงทุกวันนี้….
หาไม่แล้วหากปล่อยให้คนของ 3 ลัทธิล่วงรู้ว่า ฐานที่มั่นของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ที่แท้กลับตั้งอยู่ในดินแดนเปลี่ยวร้างสุดขอบโลกแห่งนี้ล่ะก็ พวกมันคงได้ยกกำลังมาบุกถล่ม เพื่อทำลายล้าง 7 ทวาราเที่ยงแท้ให้สิ้นซากไปจากโลกใบนี้…!
ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าไม่ล่วงรู้การคงอยู่ของตำหนักบนยอดเขาหิมะแห่งนี้เลย
นอกจากนั้นเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ทายาทของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ทั้งหมด กำลังจะมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตาที่นั่นแล้ว…!
และหากจะกล่าวไป จนถึงบัดนี้ต้วนหลิงเทียนยังไม่รู้ถึงการคงอยู่ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ด้วยซ้ำ! ยังจะนับประสาอะไรกับเรื่องที่นามหมอกพิรุณที่เขารับสืบทอดมา ที่แท้คือทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 อันเป็นดั่งผู้นำทางิตวิญญาณของเหล่า 7 ทวาราเที่ยงแท้!!
ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนรุดเร่งกลับมาถึงเรือนชั้นรองในเขตที่พักเหล่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬ เขาก็ให้ความสำคัญกับการยกระดับพลังฝึกปรือ ตั้งหน้าตั้งตาโคจรดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินสั่งสมพลังอย่างไม่หยุดหย่อน….
“เคล็ด 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม!”
ในขณะที่พลังทั่วร่างกำลังโคจรไปตามเคล็ดความที่สลักลึกอยู่ในจิต พลังวิญญาณฟ้าดินถูกชักนำเข้าร่างผ่านชีพจรเซียนทั้ง 99 จุดสาย โคจรหมุนเวียนแปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนสุริยันสั่งสมกักเก็บไม่หยุดยั้ง…
วันเวลาผ่านพ้นไปอย่างฉับไว
พริบตาเวลากว่า 5 เดือนก็ล่วงเลยไปอย่างไม่ทันรู้ตัว…
และตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ อยู่ๆก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงบางประการ พลังเซียนสุริยันทั่วร่างที่เคยสงบอยู่ๆก็คล้ายจะปะทุปลดปล่อยพลังเกรี้ยวกราด ไอพลังฟุ้งตลบม้วนวนไปทั่วร่าง
ขณะเดียวกันนั้นเอง ไอพลังเซียนสุริยันที่เปล่งออกก็คล้ายจะบังเกิดความเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้นอยู่ดีๆ ไอพลังเกรี้ยวกราดทั้งมวลที่ฟุ้งเฟ้อ ก็หวนคืนเข้าร่างของต้วนหลิงเทียนไปในฉับพลัน ราวกับมันไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ทะลวงแล้ว!”
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาเบิกโพลง ประกายคมกล้าหนึ่งแล่นวาบออกจากลูกตา ยังส่องสว่างระยับปานดาราค้างฟ้าในราตรีกาล
ต้วนหลิงเทียนที่ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลัง ในที่สุดก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญได้ในที่สุด!
“ปิดด่านบ่มเพาะครั้งนี้กินเวลาในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลงไปทั้งสิ้นราวๆ 4-5 เดือน…เช่นนั้นโลกภายนอกสมควรผ่านไปเพียงครึ่งเดือนเศษเท่านั้น…พรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินนับว่าเอาเรื่องจริงๆ!!”
ในขณะที่กล่าวพึมพำ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งทอประกายสว่างจ้าขึ้น!
หากมองในสายตาคนอื่น การใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนแต่สามารถทะลวงด่านพลังจากขอบเขตเซียนมนุษย์ขั้นกลางมาถึงเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญได้สำเร็จนั้น…
เรียกว่าความเร็วในการบ่มเพาะดังกล่าว ต่อให้เป็นอัจฉริยะผู้ถือครองพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำครามก็ไม่อาจเทียบได้!
‘บ่มเพาะพลังต่อ…ข้าต้องทะลวงให้ถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดให้ได้ในครั้งเดียว!’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดออกไปไหนหรือทำอะไร เพียงสงบจิตใจหลับตาลง พลังทั่วร่างโคจรตามเคล็ด 9 มังกรจักรพรรดิสงครามเคล็ดที่10 เคล็ด 9 มังกรอีกครั้ง
ทั่วร่างของเขาปรากฏมังกรเทพยาดา 9 ตัวพุ่งแล่นไปมาปานสายฟ้า ชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินที่ถูกดูดซับเข้าร่างให้โคจรตามวิถีแปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนสุริยันไม่หยุดยั้งราวกับไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
…
และเมื่อต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นอีกครั้ง วันเวลาก็ได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งปีกับอีก 3 เดือน
แน่นอนว่านั่นคือกาลเวลาภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
เวลาในโลกภายนอกนั้น ยังพึ่งผ่านพ้นไปเดือนครึ่งเท่านั้น
“หรือเป็นเพราะข้ารีบร้อนทะลวงด่านพลังมากเกินไปทำให้ฐานพลังไม่มั่นคงกันนะ…ถึงทำให้กว่าข้าจะทะลวงมาถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดได้ มันต้องใช้เวลานานขนาดนี้…”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังเซียนสุริยันททรงอำนาจสุดไพศาลในร่าง ต้วนหลิงเทียนพลันกล่าวพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงในลำคอ
ยังนับว่าโชคดีนักที่ผู้อื่นไม่ได้ยินคำบ่นงึมงำของเขา
หาไม่แล้วผู้อื่นคงอดไม่ได้ที่จะทุบตีเขาให้ตาย!
พี่ท่านใช้เวลาเพียง 1 เดือนครึ่งกลับสามารถทะลวงจากด่านพลังเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญมาจนถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดได้! แต่พี่ท่านกล่าวบอกว่าความเร็วในการบ่มเพาะนี้มันยังเชื่องช้าหรือ?
จะให้ผู้อื่นเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร?