WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1955
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1955
ตอนที่ 1,955 : หลี่อันลังเล
“ข้าหลงคิดว่าการยกระดับพัฒนาพรสวรรค์รากวิญญาณจนกลายมาเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงินแล้ว จะทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะข้ารวดเร็วขึ้นทั้งไร้จุดรอคอยอะไรเสียอีก…ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายก็ยังคงหลงเหลือจุดรอคอยอยู่แบบนี้…ดูเหมือนกระทั่งพรสวรรค์รากวิญญาณระดับสูงก็ยังมีขีดจำกัดสินะ!”
หลังบ่มเพาะพลังจนกระทั่งสามารถทะลวงด่านพลังมาได้ถึง 2 ด่านติดๆ ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ปากอดกล่าวพึมพำออกมาเสียไม่ได้
ก่อนที่เขาจะทะลวงมาถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดนั้น เขาก็ได้ทะลวงผ่านเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญมาได้ในเวลาอันสั้น ทำให้ด่านพลังในร่างยังไม่ค่อยจะมั่นคงสักเท่าไร
เนื่องจากด่านพลังที่ยังไม่ทันมั่นคงดี กลับทบเพิ่มเสริมก่อเข้าไปอีก สุดท้ายจึงทำให้ปรากฏจุดรอคอยออกมาในช่วงสุดท้าย
‘หากไม่มีจุดรอคอยล่ะก็…ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของข้าสมควรเพิ่มขึ้นอีกราวๆ 3 ส่วน!’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าว
หากด่านพลังของเขาไร้อาการไม่มั่นคงอะไรนั่น เขามั่นใจว่าสามารถทะลวงจากเซียนมนุษย์ขั้นเชี่ยวชาญให้บรรลุถึงเซียนมนุษย์ขั้นสูงสุดได้ภายใน 1 เดือนเท่านั้น
อนิจจาด้วยความที่ด่านพลังไม่มั่นคง จึงทำให้เวลามันยืดเยื้อออกไปถึงครึ่งเดือน
แน่นอนว่าเวลาเดือนครึ่งและครึ่งเดือนในที่นี้ หมายถึงกาลเวลาในโลกภายนอก
ด้านนอกพ้นผ่านไปหนึ่งเดือนครึ่ง หากแต่เวลาภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็ได้ล่วงเลยไปกว่าหนึ่งปีกับอีก 3 เดือนแล้ว…
เพราะอัตราการไหลของห้วงเวลาภายนอกเจดีย์กับภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้นมันมีถึง 1 ต่อ 10!
‘หากข้ายังดันทุรังบ่มเพาะพลังต่อไป ถึงแม้สุดท้ายจะทะลวงถึงขอบเขตเซียนปฐพีขั้นต้นได้สำเร็จ แต่คงต้องใช้เวลานานไม่น้อย…เป็นการดีเสียกว่าหากจะระงับการบ่มเพาะพลังไว้ก่อน และหันสนใจอย่างอื่นอย่างเช่นทำความเข้าใจเคล็ดยอดใจกระบี่ขั้นที่ 3 หรือพยายามตีความเวทย์พลังต่อ…’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ระงับการบ่มเพาะพลังเอาไว้แต่เพียงเท่านี้
และอันที่จริงเขาก็ไม่ต้องเสียเวลาในการปรับตัวกับด่านพลังอะไรมากมายนัก เพียงแค่ปล่อยไว้ให้พลังโคจรหมุนเวียนในร่างจนเขาคุ้นชิน ด่านพลังของเขาก็จะมั่นคงไปเอง
‘ตอนนี้เหลือเวลาอีกราวๆหนึ่งเดือนว่าที่ข้าจะถูกส่งไปทำโทษขุดเหมือง… หนึ่งเดือนด้านนอก ภายในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็เป็นเวลากว่า 10 เดือน…ช่วงนี้ข้าพยายามตีความเวทย์พลังประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬอย่างปราการเต่าทมิฬนั่นให้ได้ดีกว่า!’
‘ข้าไม่เชื่อว่าด้วย ใจ ที่กระจ่างจากเคล็ดยอดใจกระบี่ ข้าจะตีความมันไม่สำเร็จ!’
สักพักต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้
ว่าเวลาที่เหลืองอยู่ก่อนที่เขาจะถูกส่งไปขุดเหมือง เขาจะใช้มันเพื่อตีความและทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ ปล่อยให้ร่างกายของเขาปรับตัวเข้ากับด่านพลังไปอย่างอัตโนมัติ
‘แต่จะว่าไป…ข้างนอกมันก็ผ่านไปแล้วตั้ง 2 เดือนแบบนี้ ทว่าหลี่อันนั่นกลับไม่มาระรานอะไรข้าอีก ดูเหมือนว่ามันจะยื่นอุทธรณ์ในหอคุมกฏที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ผ่านสินะ’
ต้วนหลิงเทียนพลันนึกถึงเรื่องของหลี่อันขึ้นมา ก่อนที่จะสงบใจเพื่อเตรียมตีความเวทย์พลังปราการเตาทมิฬ
เพราะเขายังจำได้ดี
2 เดือนที่แล้วหลังเขาฆ่าพี่น้องสกุลหยวนไป โดยเฉพาะหยวนค่วงนั้น โทษที่เขาสมควรได้รับคือ…ประหาร!
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาเปิดเผยพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาออกมาว่าเป็นรากวิญญาณสีน้ำเงิน ผู้อาวุโสคุมกฏทั้งสองอย่าง กัวฉง และหวู่ยี่ ทั้งคู่จึงล้มเลิกความคิดในการตัดสินโทษประหารเขาทันที
เพราะอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินนั้น เป็นตัวตนที่ลัทธิบูชาไฟคิดส่งเสริมชุบเลี้ยง!
ตัวตนเช่นนี้ไหนเลยจะปล่อยให้ตายตกไปอย่างเปล่าประโยชน์ได้ เพียงเพราะลงมือสังหารศิษย์ดาษๆแค่คนหรือสองคน?
เพราะสุดท้ายแล้วในแง่ของมูลค่า การตายของศิษย์ทั่วไปเพียงแค่คนหรือสองคนก็ไม่อาจเทียบได้เลยกับคุณค่าที่อัจฉริยะระดับนี้จะมอบประโยชน์ให้แก่ลัทธิบูชาไฟในภายหลัง
ภายใต้การแลกเปลี่ยนที่เห็นชัดกันดีว่าเหลื่อมล้ำขนาดไหน เป็นธรรมดาที่ลัทธิบูชาไฟจะเลือกอย่างหลัง
หากอัจฉริยะตกตายไปอย่างเสียเปล่า ก็เท่ากับพวกมันขาดทุน!
เรื่องนี้บ่งบอกให้รู้ชัดเจนว่าในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เป็นโลกที่ผู้อ่อนแอทำได้แค่ตกเป็นแหยื่อ…ส่วนผู้เข้มแข็งจักได้รับการนับหน้าถือตา!
ถึงแม้จะเป็นขุมพลังดั่งมหาอำนาจอย่างลัทธิบูชาไฟ ที่กล่าวกันว่ากฏระเยียบเข้มงวดกวดขันนักหนา แต่กับอัจฉริยะที่มีคุณค่าสูงกฏระเบียบใดๆก็สามารถมองข้ามได้เช่นกัน ยังได้รับการดูแลแบบพิเศษนัก!
สองเดือนที่แล้วต้วนหลิงเทียนสามารถเปลี่ยนหายนะให้กลายเป็นเรื่องเล็กจ้อยธรรมดา ก็เพราะเขาแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของตัวเขา
เขาคืออัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงิน! มิใช่หมูหมากาไก่ทั่วไป!!
‘ตอนนี้เจ้าหลี่อันนั่น มันก็สมควรรู้เรื่องที่ข้ามีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินแล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
สองเดือนที่แล้ว…หลี่อันเห็นชัดว่ามันคัดค้านคำตัดสินของอาวุโสคุมกฏอย่างกัวฉงและหวู่ยี่จนออกหน้าออกตา กระทั่งยังข่มขู่เขาว่ามันจะไปยื่นอุทธรณ์ที่หอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเปลี่ยนคำตัดสินของกัวฉง!
อย่างไรก็ตาม สองเดือนผ่านไปแล้วหลี่อันกลับไร้ความเคลื่อนไหวอะไรต่อเขา นั่นหมายความว่ามันยื่นอุทธรณ์ไม่สำเร็จอะไรทำนองนั้นแน่…
‘อาวุโสคุมกฏกัวฉงกับหวู่ยี่สมควรส่งสำนวนพิจารณาคดีไปที่หอคุมกฏเรียบร้อยแล้ว และคงไม่พ้นได้อธิบายเรื่องที่ข้ามีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินไปแล้วด้วยแน่…หาไม่แล้วหอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เองก็คงคัดค้านคำตัดสินนี้ตั้งแต่แรก’
‘เพราะสุดท้ายแม้จะกล่าวอ้างได้ว่าฆ่าหยวนหงเพื่อป้องกันตัว แต่หยวนค่วงนั่นข้าไม่อาจหาข้อแก้ตัวที่เหมาะสมมาแย้งเรื่องที่ฆ่ามันทิ้งได้…’
ในตอนแรกที่อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดจิตคิดสังหารหยวนหงขณะประมือนั้น ก็เพราะเขาตระหนักได้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของเขาใกล้ยกระดับพัฒนาเต็มที
เพราะอย่างไรพรสวรรค์รากวิญญาณที่เขามีในเวลานั้นมันก็เป็นรากวิญญาณสีเขียวเข้มแล้ว…
ตราบใดที่มันยกระดับพัฒนาย่อมกลับกลายเป็นสีน้ำเงิน!
และปรากฏว่าความเชื่อมั่นของเขานั้นถูกต้อง
หลังจากสังหารคู่พี่น้องสกุลหยวนและกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกมัน รากวิญญาณสีเขียวเข้มของเขาก็พัฒนาไปสู่รากวิญญาณสีน้ำเงินในที่สุด
หากไม่ใช่เพราะเขาเปิดเผยรากวิญญาณสีน้ำเงินออกไปต่อหน้าผู้อาวุโสคุมกฏประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬ กัวฉงและอาวุโสคุมกฏประจำแท่นบูชานกไฟอย่างหวู่ยี่ล่ะก็…เรื่องราวคงไม่เปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าคว่ำดินขนาดนี้หลังเขตแดนเปลวเพลิงอุบัติขึ้นหรอก!
และเป็นอย่างที่เขาคิด อาวุโสคุมกฏทั้ง 2ถึงกับยืนหยัดเพื่อสนับสนุนเขา
กระทั่งเพื่อปกป้องเขา ทั้งคู่ยังไม่กริ่งเกรงเรื่องมีปากเสียงกับหลี่อัน
กระทั่งยังหา ‘เหตุผล’ มารองรับได้น่าตะลึงขนาดนั้น
แน่นอนว่า ‘เหตุผลรองรับ’ ที่อาวุโสคุมกฏกล่าวออก ก็แทบไม่ต่างอะไรจากเรื่องน่าขันของเหล่าศิษย์แท่นบูชานกไฟ
เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าอาวุโสคุมกฏทั้งสองกำลังแถจนสีข้างถลอกชัดๆ!
แต่ถึงอย่างนั้นจะให้พวกมันทำอย่างไรได้?
เพราะตราบใดที่ยังไม่ยื่นเรื่องไปยังหอคุมกฏที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำตามขั้นตอน ค้านไปมันก็เท่านั้น
‘ดูเหมือนเรื่องราวครั้งนี้จะได้บทสรุปเป็นที่แน่ชัดแล้ว…’
‘ส่วนเรื่องที่จะลงโทษข้าโดยให้ไปขุดเหมืองอะไรนั่น กล่าวไปก็ไร้ผลกระทบอะไรกับข้าทั้งสิ้น…เพราะถึงข้าจะกลายเป็นนักโทษใช้แรงงานแต่สิทธิ์ในการเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์ของข้ายังอยู่ครบถ้วน ตราบใดที่ข้าผ่านบททดสอบหรือได้รับการยอมรับจากคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์…’
เรื่องการลงทัณฑ์เหล่าศิษย์แท่นบูชาจตุรลักษณ์นั้น ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบมาอยู่บ้าง
และเขารู้ดีว่าตราบใดที่เขาสามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ โทษทัณฑ์ทั้งมวลที่ก่อในแท่นบูชาจตุรลักษณ์…จะได้รับการยกเว้น!
‘สำหรับข้าตอนนี้คิดเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นศิษย์ฝ่ายในของลัทธิบูชาไฟย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร…เพียงไปเข้ารับการทดสอบประเมิณพลังฝีมือซะก็สิ้นเรื่อง!’
เช่นนั้นแล้วในสายตาของต้วนหลิงเทียน การถูกลงโทษให้ไปขุดเหมืองก็ไม่ต่างอะไรจากการไปเดินเที่ยวเล่นต่างที่ต่างถิ่น เป็นการเปิดหูเปิดตาสักพักแค่นั้น
ทันทีที่การประเมินทดสอบรับศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้นขึ้น เขาก็จะไปเข้าร่วมมันเสีย!
สำหรับบทลงโทษให้ไปใช้แรงงานที่เหมืองเป็นเวลา 10 ปีนั้น มันสามารถยกเลิกได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่เขาสามารถผ่านการทดสอบและเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในของลัทธิบูชาไฟได้!
‘ในอีก 10 เดือนหลังจากนี้หวังว่าข้าจะสามารถตีความเวทย์พลังประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬอย่างปราการเต่าทมิฬนั่นได้สำเร็จ! ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะไม่อาจตีความเวทย์พลังป้องกันที่ได้ชื่อว่าเป็นเวทย์พลังสายป้องกันที่ดีที่สุดในลัทธิบูชาไฟนี้ได้!!’
เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ในต้วนหลิงเทียนก็ตัดเรื่องราวเบ็ดเตล็ดทั้งหมดทิ้ง ก่อนที่จะจมจ่อมอยู่ในภวังค ทำความเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬอย่างตั้งใจ
เนื้อความและข้อมูลของเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬนั้นแม้จะมีมากมายมหาศาลนัก แต่ครั้งล่าสุดที่เขาไปแท่นบูชาเต่าทมิฬเขาก็ได้สลักมันลงจิตใจไว้อย่างไม่มีวันลืมเรียบร้อย ตอนนี้เพียงคิดก็ดึงข้อมูลขึ้นมาตีความเพื่อทำความเข้าใจได้อย่างสะดวกสบาย
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังตั้งหน้าตั้งตาตีความเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬอยู่นั้น ทางด้านหลี่อันก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างถึงที่สุด
“ต้วนหลิงเทียนนั่นมันกลับมีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินจริงๆหรือ? แต่มิใช่ตอนแรกที่ประเมินทดสอบพรสวรรค์รากวิญญาณของมัน ผลที่ได้ก็ยืนยันแน่ชัดแล้วว่าเป็นสีเหลืองมิใช่หรือไร? หรือนอกจากลูกไม้ปกปิดอายุกับด่านพลังแล้ว…มันจักมีความสามารถในการซุกซ่อนพรสวรรค์รากวิญญาณอยู่ด้วย…”
ตอนนี้ใบหน้าหลี่อันอัปลักษณ์ปั้นยากนัก!
กว่าเดือนที่ผ่านมันเองก็ได้แวะเวีนยไปยังหอคุมกฏที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นมันมั่นใจหนักหนาว่ามันต้องคว่ำ ‘สำนวนการพิจารณาคดี’ ที่กัวฉงกับหวู่ยี่เขียนรายงานไปได้แน่
เพราะการตายของหยวนค่วง เป็นต้วนหลิงเทียนจงใจฆ่าคนอ่อนแอกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
จุดนี้มันสามารถสืบอ้างพยานได้มากมาย เพราะเหล่าศิษย์แท่นบูชาที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเห็นตำตา!
เช่นนั้นตอนมันไปที่หอคุมกฏในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลี่อันจึงพกพาความมั่นใจไปเต็มกระเป๋า ว่ามันต้องยื่นอุทธรณ์สำเร็จ คัดค้านการตัดสินความของกัวฉงหวู่ยี่! สามารถรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาสอบสวนใหม่ได้แน่ๆ! และถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนต้องตาย!!
เพราะในสายตาของมัน
ตราบใดที่มันสามารถล้มล้างคำตัดสินของกัวฉงได้ หอคุมกฏจำต้องส่งอาวุโสคุมกฏคนใหม่มาพิจารณาคดีตัดสินความ!
ถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนไหนเลยไม่ถูกประหารได้!!
อนิจจาภาพฝันสวยหรูแต่ดูความเป็นจริงช่างโหดร้าย…
ทันทีที่มันไปถึงหอคุมกฏเพื่อขอดูบันทึกสำนวนพิจารณาคดีต้วนหลิงเทียนของกัวฉง หลี่อันก็จำต้องละลึงลานไปอยู่ตรงนั้นพักใหญ่
เพราะในสำนวนพิจารณาตัดสินคดีที่กัวฉงรายงานไปนั้น ต้วนหลิงเทียนแน่นอนว่าอาจมีเจตนาฆ่าหยวนค่วงจริง…แต่เพราะต้วนหลิงเทียนเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงิน เช่นนั้นแล้ว ตาม ‘กฏที่ไม่ได้พูดไว้’ ของลัทธิบูชาไฟ ซึ่งให้ความสำคัญเหนือกฏพื้นฐานบางประการ ย่อมไม่เป็นผลดีกับลัทธิบูชาไฟหากจะตัดสินโทษตายของต้วนหลิงเทียนเพียงเพราะการตายของหยวนค่วง!
ด้วยเหตุนี้กัวฉงจึงตัดสินใจ ลงโทษต้วนหลิงเทียนโดยการให้ไปใช้แรงงานทำเหมืองที่เหมืองลำดับที่ 1 ของลัทธิบูชาไฟเป็นเวลาทั้งสิ้น 10 ปี!
และสำนวนพิจารณาคดีนี้ของกัวฉง ก็ผ่านมติในที่ประชุมของอาวุโสระดับสูงในหอคุมกฏอย่างไร้คำคัดค้าน
อัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงิน ย่อมมีคุณค่ามากว่าศิษย์ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีเขียวอย่างที่ไม่อาจเทียบได้!
“พรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงิน…เรื่องพรรค์นี้มันจักเป็นไปได้อย่างไรกัน!”
หลังจากอ่านบันทึกสำนวนพิจารณาคดีในมือ ใจของหลี่อันรู้สึกเสมือนมีทัพม้านับหมื่นย่ำเหยียบ ยางจะสงบลงได้อยู่นาน
และเมื่อสังเกตให้ชัดมันก็พบว่าสำนวนนี้ถูกเขียนขึ้นด้วยลายมือของกัวฉงชัดเจน ยังมีตราประทับยืนยันของเจ้าตัวเรียบร้อย!
วันนั้นมันคิดว่ากัวฉงสมควรมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับต้วนหลิงเทียนไม่ผิดแน่ เช่นนั้นมันจึงตัดสินใจไปฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่รับเรื่อง หมายดำเนินการเรื่องยื่นอุทธรณ์สืบคดีใหม่ให้หยวนค่วง เพราะมันมั่นใจว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นสีเหลืองไม่ผิดแน่ หาใช่สีน้ำเงินอย่างที่กล่าวอ้าง!!
อย่างไรก็ตามอาวุโสในหอคุมกฏที่รับเรื่องอุทธรณ์นี้ได้กล่าวกับมันออกมาตรงๆว่า…
“ก่อนที่จะมีหลักฐานเพียงพอซึ่งพิสูจน์ได้ว่า อาวุโสคุมกฏประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬ กัวฉง ประพฤติน่าที่โดยมิชอบและทำการรับสินบนบางอย่างมาจริง ทางหอคุมกฏจักไม่รับคำร้องยื่นอุทธรณ์นี้ของเจ้า…”
“เพราะวาจาไร้มูลความจริงแถมไม่มีหลักฐานรองรับ มิว่าผู้ใดก็สามารถกล่าวออกมาได้…แต่แน่นอนว่าหากเจ้ายืนยันว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวเป็นความจริง เจ้าก็สามารถทดลองกระทำดูได้!”
“ทางหอคุมกฏเราจะส่งอาวุโสคุมกฏออกไปตรวจสอบเรื่องราวที่เจ้ากล่าว ว่าที่แท้เป็นจริงหรือเท็จ…หากผลลัพธ์สุดท้ายพิสูจน์ออกมาแล้วว่า…วาจาที่เจ้ากล่าวล้วนเป็นเรื่องเหลวไหล ทางหอคุมกฏของพวกเราจักถือว่าการกระทำของเจ้าครั้งนี้เป็นการดูหมิ่นผู้อาวุโสคุมกฏ และเจ้าจักถูกลงโทษทางวินัยอย่างรุนแรง!”
วาจาดังกล่าวของอาวุโสคุมกฏที่รับเรื่องอุทธรณ์ ทำให้ใจของหลี่อันบังเกิดความลังเลถึงขีดสุด…
การดูหมิ่นอาวุโสคุมกฏนั้น…ไม่ใช่ความผิดเพียงเล็กน้อยเลย! ยังเป็นความผิดอาญาที่มีบทลงโทษอันสาหัสนัก!!
ถึงแม้อาจจะไม่ถึงขั้นถูกขับไล่ออกจากลัทธิบูชาไฟ แต่อย่างน้อยๆก็ต้องถูกทัณฑ์ทรมานจนรู้สึกตายเสียดีกว่าอยู่!!