WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1982
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1982
ตอนที่ 1,982 : มุ่งหน้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
วันเวลาผันผ่านไปอีก 6 วันอย่างรวดเร็ว…
และวันนี้ภายในห้องนอนตำหนักเอกอุของเขตลงทัณฑ์เหมืองลำดับที่ 1 ต้วนหลิงเทียนก็ได้ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง
หลังจากเก็บเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไว้กับตัวอย่างดีแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เปิดประตูออกมายืนอยู่บนลานว่างหน้าตำหนักหลังใหญ่ เงยหน้ามองฟ้าด้วยแววตากระจ่างใสก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “นับว่าสวรรค์ไม่ละทิ้งคนเพียรจริงๆ ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จจนได้”
ต้วนหลิงเทียนยังพูดไม่ทันขาดคำ
ทั่วร่างของเขาก็ปรากฏพลังเซียนสุริยันมหาศาลขุมหนึ่งหลั่งไหลผ่านชีพจรเซียน 99 สายก่อนปะทุออกตามช่องพลังทั่วร่าง และเมื่อมันปะทุออกมาไม่นานพวกมันก็ควบรวมก่อลักษณ์เป็นเงาร่างมหึมาหนึ่ง!
เป็นเงาร่างเต่าทมิฬ!
ขณะเดียวกันกับที่เงาร่างปรากฏขึ้นมาห้อมล้อมคลุมกาย กลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามก็แผ่ออกไปในบรรยากาศ
เงาร่างเต่าทมิฬนี้ยังเรียกว่าสามารถห่อหุ้มคลุมร่างต้วนหลิงเทียนได้อย่างมิดชิด กระทั่งสายลมยังไม่อาจชำแรกแทรกเข้าไปได้!
เห็นได้ชัดว่านี่คือเวทย์พลังประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬ ‘ปราการเต่าทมิฬ’ และยังเป็นเวทย์พลังสายป้องกันอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟ ที่ต้วนหลิงเทียนได้ตีความจนแตกฉานกระทั่งใช้ออกได้เรียบร้อยแล้ว!
‘ตอนนี้เวทย์พลังที่ข้าสำเร็จก็มีทั้ง…เวทย์พลังโจมตีขั้นสูง เวทย์พลังสนับสนุนขั้นสูง เวทย์พลังเสริมท่าร่างขั้นสูง สุดท้ายก็เป็นเวทย์พลังสายป้องกันขั้นสูง เรียกว่าครบเครื่องเรียบร้อย!’
ในขณะที่ถอนรั้งพลังจนเงาร่างเต่าทมิฬเริ่มหายไป ยิ้มพึงใจพลันคลี่กางบนใบหน้า
‘ในเมื่อข้าเพาะสร้างเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬสำเร็จแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องอยู่ที่เขตลงทัณฑ์อีกต่อไป…ถึงเวลาที่ข้าจะไปจากที่นี่ได้เสียที!’
สองตาต้วนหลิงเทียนเปล่งประกายสว่างวาบ สองเท้าย่ำอากาศส่งร่างทะยานขึ้นไปบนฟ้า คนเหินออกจากเขตที่พักของเขตลงทัณฑ์ทันที
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ต้วนหลิงเทียนจะตีความเวทย์พลังปราการเตาทมิฬ แต่เขาก็ยังต้องแบ่งเวลาออกไปขุดหินเซียนตามที่ได้รับมอบหมายในแต่ละวันเช่นกัน นี่คือหน้าที่ของเขาภายในเหมืองลำดับที่ 1…
แน่นอนว่าในขณะที่ทำภารกิจขุดหินเซียนประจำวัน เขาก็แอบส่งหินเซียนที่ขุดได้ลงสู่เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติกว่าครึ่ง!
เรียกว่าหินเซียนที่ขุดได้โยนลงตะกร้าหนึ่งก้อนก็ต้องโยนเข้าเจดีย์หนึ่งก้อน! ส่วนหินเซียนระดับกึ่งสวรรค์นั้นไม่ว่าจะก้อนใหญ่ก้อนเล็ก เขาล้วนโยนเข้าเจดีย์หมดสิ้น!!
‘ว่าแต่…แล้วนี่ข้าต้องไปทำเรื่องที่ไหนอะไรยังไง?’
หลังออกจากเขตที่พักของเขตลงทัณฑ์แล้ว ต้วนหลิงเทียนพึ่งนึกขึ้นได้ ว่าเขาไม่รู้ว่าจะต้องไปสำแดงเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬที่ไหนถึงจะได้รับการอภัยโทษ
สุดท้ายเขาก็เลือกไปยังสถานที่ๆเขามาลงทะเบียนตอนมาถึงเหมืองลำดับที่ 1 วันแรก
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญนัก
เพราะอาวุโสที่ปฏิบัติหน้าที่รับเรื่องลงทะเบียนวันนี้ กลับเป็นคนเดียวกันกับที่ทำเรื่องลงทะเบียนให้เขา
อาวุโสเพลิงทองแดงจากแท่นบูชานกไฟยังคงสวมใส่ชุดเฉพาะของเหมืองลำดับที่ 1 เอาไว้เช่นเคย พอเห็นการมาของต้วนหลิงเทียนมันก็ประหลาดใจไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปด้วยสงสัย “ต้วนหลิงเทียน…เจ้ามานี่มีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ อีกทั้งมันยังได้ยินมาว่าหลังต้วนหลิงเทียนแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บแล้ว พลังของอีกฝ่ายกลับเทียบได้กับขอบเขตเซียนสวรรค์!
เช่นนั้นเมื่อเจอหน้าต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง มันจึงสุภาพยิ่งกว่าเดิม
“อาวุโสข้ามาเพราะมีเรื่องจะถามท่าน…หากข้าอยากได้รับการนิรโทษกรรม ข้าต้องไปหาใครในเหมืองลำดับที่ 1 แห่งนี้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเปิดประตูเห็นภูผากล่าวถามออกไปทันที
“หืม? นิรโทษกรรมรึ?”
หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน อาวุโสเพลิงทองแดงของแท่นบูชานกไฟก็เผยยิ้มขื่นขมออกมา “ต้วนหลิงเทียน ข้ารู้ว่าพลังฝีมือเจ้าร้ายกาจนัก…อย่างไรก็ตามหากเจ้าคิดได้รับการนิรโทษกรรม เจ้าจำต้องผ่านการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ได้เสียก่อน…”
“หลังจากเจ้าผ่านการทดสอบจนสามารถเป็นศิษย์ฝ่ายในได้แล้ว เจ้าถึงจะกลับมาทำเรื่องขอนิรโทษกรรมได้”
อาวุโสเพลิงทองแดงของแท่นบูชานกไฟ ค่อยๆกล่าวอธิบายอย่างอดทน
“ผู้อาวุโส…ข้ารู้ว่าภายในเขตลงทัณฑ์แห่งนี้ หากมีใครสามารถเข้าใจเวทย์พลังประจำแท่นบูชาได้สำเร็จ ก็จะได้รับการนิรโทษกรกรมด้วยไม่ใช่หรือ ข้าจำได้ว่าคราวศิษย์พี่ซุนเต๋อก็เป็นแบบนี้นี่?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวต่อออกมา
ซูด!
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวประโยคนี้ออกมา ลูกตาของอาวุโสเพลิงทองแดงถึงกับหดหยีลงทันใด ขณะเดียวกันลมหายใจก็เปลี่ยนเป็นเร่งร้อนกล่าวออกด้วยความตื่นตระหนก “เจ้า…เจ้าสามารถใช้วเทย์พลังประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬ…ปราการเต่าทมิฬได้สำเร็จแล้ว?”
“อืม”
พร้อมๆกันกับที่ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ มวลพลังขุมหนึ่งพลันแผ่ออกทั่วร่าง ก่อนที่จะควบแน่นก่อลักษณ์กลับกลายเป็นเงาร่างเต่าทมิฬตัวเขื่องคลุมกาย!
“ปะ…เป็นเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬจริงๆ!”
ได้เห็นเงาร่างเต่าทมิฬปรากฏ อาวุโสเพลิงทองแดงอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน กลับมีศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬสำเร็จเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬติดๆกัน?!
ไหนกล่าวกันว่าเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬมันตีความได้ยากเย็นที่สุดและยากจะประสบความสำเร็จที่สุดไง?
ใช่ทุกคนรวมหัวกันหลอกมันหรือไม่?
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้สำเร็จเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬแล้วแบบนี้ ทุกเรื่องราวหลังจากนี้ย่อมง่ายดายนัก
อาวุโสเพลิงทองแดงของแท่นบูชานกไฟรีบติดต่อผู้อาวุโสฝ่ายระเบียนคนอื่นให้มารับหน้าที่ดูแลการลงทะเบียนแทน ก่อนที่จะเป็นคนพาตัวต้วนหลิงเทียนไปหาอาวุโสที่รับผิดชอบเรื่อง นิรโทษกรรม ภายในเขตลงทัณฑ์แห่งนี้ทันที
ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนสำแดงเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬ ต่อหน้าอาวุโสเพลิงเงินที่ดูแลเรื่องนี้ อีกฝ่ายสามารถมอบเอกสารนิรโทษกรรมให้ต้วนหลิงเทียนได้ทันที และยังแนะต้วนหลิงเทียนว่าต้องไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำเรื่องเป็นศิษย์ฝ่ายในต่ออย่างไร!
วู้มมม!!
ภายใต้สายตามองจ้องด้วยความสนใจของอาวุโสเพลิงเงินฝ่ายนิรโทษกรรม ต้วนหลิงเทียนก็ใช้ออกด้วยเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬอีกครั้ง เงาร่างเต่าทมิฬจึงปรากฏขึ้นคลุมกายคนอย่างมิดชิดอีกครา
ได้เห็นฉากนี้กับตา กระทั่งอาวุโสเพลิงเงินฝ่ายนิรโทษกรรมยังอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ
“ต้วนหลิงเทียนเจ้าช่างสมคำร่ำลือยิ่งนัก! ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าสำเร็จเวทย์พลังขั้นสูงทั้ง 3 ชนิดมาแล้ว…ตอนนี้กระทั่งเวทย์พลังสายป้องกันอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟเราก็ตกอยู่ในกำมือของเจ้า ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!”
ในขณะที่กล่าวชม แววตาของอาวุโสเพลิงเงินคนนี้ก็เผยความอิจฉาอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้จะเป็นตัวมันเอง แต่เวทย์พลังที่มันเชี่ยวชาญก็มีแค่ 2 เท่านั้น
อย่างไรก็ตามคนเบื้องหน้ามันกลับสำเร็จเวทย์พลังถึง 4 สาย กระทั่งทุกสายยังเป็นขั้นสูงอีกด้วย!
เวทย์พลังสายโจมตี!
เวทย์พลังสายป้องกัน!
เวทย์พลังเสริมท่าร่าง!
เวทย์พลังสนับสนุน!!
คนๆเดียวแต่กลับได้ถือครองเวทย์พลังขั้นสูงทั้ง 4 สาย! ทำให้มันอิจฉาแทบตายแล้ว!!
“นี่คือเอกสารรับรองการนิรโทษกรรมของเจ้า…จากนี้ไปเจ้าไม่จำเป็นต้องมาใช้แรงงานที่เขตลงทัณฑ์ของเหมืองลำดับที่ 1 อีกต่อไป”
อาวุโสเพลิงเงินสะบัดมือคราหนึ่งก็ปรากฏม้วนเอกสารฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นเอกสารการนิรโทษกรรมขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะยื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียนทันที
ด้วยเอกสารนิรโทษกรรมฉบับนี้ ต้วนหลิงเทียนจะไม่ถูกขัดขวางยามออกจากเขตลงทัณฑ์!
หาไม่แล้วไม่ทันได้ไปไหนไกล ก็จะถูกอาวุโสที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนรอบๆเหมืองลำดับที่ 1 จับตัวกลับมา…
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าได้สำเร็จเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬแล้วเช่นนี้ เจ้าย่อมสามารถเข้าไปรายงานตัวที่ฝ่ายทะเบียนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ทันที…และตราบใดที่เจ้าสำแดงเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬต่ออาวุโสที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ อีกฝ่ายก็จะลงทะเบียนขึ้นชื่อเจ้าให้เป็นศิษย์ฝ่ายในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทันที!”
“และก่อนหน้าที่เจ้าจะไปกระทำเรื่องนี้ หากเจ้ามีเรื่องค้างคาอันใดในแท่นบูชาเต่าทมิฬก็รีบไปจัดการเสีย เพราะหลังจากเป็นศิษย์ฝ่ายในแล้ว หากเจ้าคิดย้อนกลับไปแท่นบูชาเต่าทมิฬนับว่ายุ่งยากวุ่นวายไม่น้อย”
อาวุโสเพลิงเงินกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนก่อนให้อาวุโสใต้บังคับบัญชาไปส่งต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่มีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องจัดการในแท่นบูชาเต่าทมิฬอีกแล้ว
ดังนั้นหลังออกจากเหมืองลำดับที่ 1 เขาก็ตั้งใจจะไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทันที
ไม่นานหลังเหินร่างใกล้พ้นเขตเหมืองลำดับที่ 1 ต้วนหลิงเทียนก็ถูกอาวุโสลาดตระเวนหยุดไว้ ตามที่อาวุโสเพลิงเงินฝ่ายนิรโทษกรรมบอกก่อนหน้า
และหลังจากสำแดงเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬพร้อมแสดงเอกสารนิรโทษกรรมออกมา อาวุโสที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนก็เป็นธุระจัดแจงพาต้วนหลิงเทียนไปส่งที่ฝ่ายทะเบียนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงสนใจที่ทางรอบๆไม่น้อย
สถานที่ๆเรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟนั้นเป็นพื้นที่ทะเลทราย แม้จะมีภูเขาและทะเลสาบ หากแต่ไร้ซึ่งความเขียวขจีอันใด
ในดินแดนทะเลทรายที่มีแต่ขุนเขาและลำน้ำนี้ ทุกอย่างคล้ายจะทาทับไปด้วยสีแดง มองไกลๆแล้วประหนึ่งบุปผาก็ไม่ปาน
อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่ดอกไม้อันใด
สำหรับมนุษย์แล้ว หากปราศจากสิ่งนี้คงยากที่จะอยู่รอดมาได้
ไฟ!
บุปผาสีแดงที่คล้ายผุดขึ้นในทะเลทรายแห่งนี้ ที่แท้ก็คือไฟ สิ่งที่มนุษย์บนโลกจำต้องพึ่งพาอาศัยในการดำรงชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟในทะเลทรายแห่งนี้ มันช่างลุกโชนโชติช่วงนัก! ยังแผ่กลิ่นอายลี้ลับน่าเกรงขามไม่น้อย!!
และในดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ มองไปทางไหนก็จะพบแท่นบูชาตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก
ใจกลางแท่นบูชาจะมีกระถางซึ่งมีเพลิงไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา ไฟที่ลุกโชนไม่หยุดย่อมแผ่กลิ่นอายร้อนลวกพาลให้ผู้คนโดยรอบจำต้องเหงื่อท่วมชโลมกาย แต่อย่างไรก็ตามผู้คนที่มาคารวะกราบไหว้อยู่รอบๆแท่นบูชากลับไม่มีทีท่าว่าจะมีปัญหาหรือหงุดหงิดอะไร
ที่สำคัญคนเหล่านี้ไม่เพียงหงุดหงิดหรือมีปัญหา กระทั่งยังเคารพกราบไหว้เตาไฟดังกล่าว
กล่าวให้ชัดพวกมันเคารพเพลิงไฟที่ลุกโชนโชติช่วงในอั้งโล่
และหากมองอย่างใกล้ชิด จะพบว่าในแววตาของพวกมันยังเผยความศรัทธาลึกล้ำ คล้ายสำนึกบุญคุณต่อเพลิงไฟและเคารพเลื่อมไสเพลิงไฟนี้ยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก!
และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
คนเหล่านี้คือชนพื้นเมืองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟ ทั้งหมดเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนที่อาศัยในสถานที่แห่งนี้ และใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนลี้ลับ ไม่คิดย่างกรายออกไปที่ใด
พวกมันเชื่อในเปลวไฟ ศรัทธาในเปลวไฟ เคร่งครัดในเปลวไฟเหนือใดอื่น
เพราะในสายตาของพวกมันเปลวไฟคือทุกสิ่ง หากไร้ซึ่งเปลวไฟแล้ว…โลกนี้ก็มิอาจดำรงอยู่ได้!
‘ดูเหมือนลัทธิบูชาไฟ…จะมีต้นกำเนิดมาจากคนพวกนี้สินะ’
มองไปยังเหล่าผู้คนที่กำลังกราบไหว้บูชาเปลวไฟ ต้วนหลิงเทียนก็ลอบครุ่นคิดในใจ
อาวุโสที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนก็ยังคงเหินร่างนำต้วนหลิงเทียนมุ่งหน้าเข้าสู่ดินแดนร้อนระอุไม่หยุด มองไปไกลๆต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับมากมาย ซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนสนใจไม่น้อย
นั่นเพราะยอดปล่องภูเขาไฟ ไอร้อนยังพวยพุ่งออกมาไม่หยุด บ้างก็พ่นหินหลอมเหลวซึ่งเป็นพลังอำนาจแห่งธรรมชาติอันน่าพรั่นพรึงออกมาย้อมฟ้า ทาทับสภาพแวดล้อมโดยรอบให้กลายเป็นสีแดง
“ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิบูชาไฟเรา ประหนึ่งแดนไร้ราตรี…แถวนี้มักสว่างไสวไปด้วยเปลวไฟอยู่เสมอ กระทั่งคืนนี้ก็ครบรอบที่ภูเขาไฟลูกใหญ่นั้นจักระเบิดออกพอดี เมื่อภูเขาไฟลูกนั้นปะทุแผ่นฟ้าที่มืดมิดจักกลายเป็นแดงสว่างไสว”
ผู้อาวุโสลาดตระเวน ชี้ไปยังภูเขาไฟลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลให้ต้วนหลิงเทียนดู
“ภูเขาไฟ…”
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้แลเห็นภูเขาไฟลูกใหญ่
ภูเขาไฟลูกใหญ่นี้ มีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับและปากปล่องคุกรุ่นไปด้วยไอร้อนควันไฟอยู่ตลอดเวลาล้อมรอบมากมาย มองไปคล้ายดั่งมันเป็นจักรพรรดิก็ไม่ปาน
แต่เนื่องจากว่าตัวมันเองไม่ได้เผยไอร้อนควันไฟอะไรออกมา ทำให้คล้ายมันกำลังหลับไหลอยู่
“ภูเขาไฟลูกนั้นยังคงคุกรุ่นมิได้ดับแต่อย่างไร ทว่าความถี่ในการปะทุออกของมันนั้นแตกต่างจากภูเขาไฟลูกอื่นๆ มันจะปะทุออกราวๆเดือนละครั้งเท่านั้น”
คล้ายแลเห็นความสงสัยของต้วนหลิงเทียน อาวุโสลาดตระเวนจึงกล่าวอธิบายให้เขาฟังทันที