WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 1985
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1985
ตอนที่ 1,985 : ลงทะเบียนศิษย์ใหม่
“ต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนตอบคำถามอาวุโสเพลิงทองแดงที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนด้วยรอยยิ้ม
นั่นเพราะเขารู้สึกชอบใจอาวุโสเพลิงทองแดงคนนี้ไม่น้อย ที่อุตส่าห์อธิบายเรื่องราวต่างๆในระหว่างทางที่ผ่านมาอย่างดี กระทั่งคอยคอบคำถามของเขาอย่างไม่ได้มีทีท่ารำคาญอะไรสักนิด
“ต้วนหลิงเทียน?”
ทว่าทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบชื่อออกมา อาวุโสเพลิงทองแดงที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนถึงกับมองต้วนหลิงเทียนตาโต นอกตากความตกใจในแววตายังเผยความหวั่นเกรงไม่น้อย “จะ…เจ้าคือต้วนหลิงเทียนรึ!?”
“ศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬ ที่สามารถแปลงร่างเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บได้คนนั้น ยังเป็นคนที่หาญกล้าแข็งข้อต่อต้านอาวุโสหลี่อัน กระทั่งทำให้อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬอย่างอาวุโสหลี่อันถึงกับเคียดแค้นเพราะเสียท่าเจ้าเนื่องจากทำอะไรเจ้าไม่ได้หลายครั้งหลายครา!?”
พอเห็นว่าอาวุโสเพลิงทองแดงที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนตกใจทั้งแตกตื่นไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “อาวุโส นี่ท่านเคยได้ยินเรื่องของข้าด้วย?”
นี่ชื่อของเขามันดังกระฉ่อนมาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลยงั้นเหรอ?
“ย่อมต้องเคยได้ยิน!”
อาวุโสลาดตระเวนอดไม่ได้ที่จะยิ้มเฝื่อนๆเมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนคล้ายไม่ทราบว่าตัวเองดังเพียงใด “ไม่ใช่แค่ในเขตแท่นบูชาจตุรลักษณ์เท่านั้นที่รู้เรื่องของเจ้า ข้าบอกเลยกระทั่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ขอเพียงไม่ใช่ผู้ที่ปิดด่านฝึกตนอยู่ในห้องหับไม่ออกมาหลายเดือน ล้วนไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อของเจ้า!”
“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬที่มากไหวพริบจนเข้าใจเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬได้จะเป็นต้วนหลิงเทียน! เท่าที่ข้ารู้เจ้าเองก็ถึงขั้นเข้าใจเวทย์พลังขั้นสูงไดถึง 3 สายแล้ว!”
“มาตอนนี้เจ้ายังใช้เวทย์พลังสายป้องกันขั้นสูงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเวทย์พลังสายป้องกันขั้นสูงอันดับ 1 ของลัทธิบูชาไฟเราได้อีก! ให้ตายเถอะ! เจ้านี่มันช่างน่าทึ่งยิ่งนักถึงกับเข้าใจเวทย์พลังขั้นสูงได้ครบทั้ง 4 สาย!!”
“ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้เลย ในเรื่องไหวพริบปฏิภาณกระทั่งรองจ้าวลัทธิของพวกเรา ยังเทียบเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
อาวุโสเพลิงทองแดงที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนกล่าวออกมาด้วยความตื่นตระหนก ตอนนี้แววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนนอกจากตื่นตกใจแล้วยังเผยให้เห็นซึ้งถึงความอิจฉาแทบตาย
เพราะเมื่อเทียบกับต้วนหลิงเทียนแล้ว มันรู้สึกว่าชีวิตชราของมันที่อยู่มาเนิ่นนาน ช่างไร้ค่านัก…
มันในฐานะอาวุโสเพลิงทองแดงที่บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์แน่นอนว่าย่อมมีเวทย์พลังไว้ใช้งาน…แต่หากเทียบกับต้วนหลิงเทียนแล้ว ไม่ว่าจะปริมาณหรือคุณภาพล้วนไม่คู่ควรให้กล่าวถึง!
‘โชคดีนักที่พรสวรรค์รากวิญญาณของเจ้าปีศาจน้อยผู้นี้มีเพียงรากวิญญาณสีเหลืองเท่านั้น สุดท้ายพลังฝึกปรือคงถึงทางตันแค่เซียนปฐพีขั้นสูงสุด เรื่องที่จะทะลวงถึงเซียนนภายังต้องพึ่งพาโชควาสนาอีกไม่น้อย คงยากจะทะลวงได้ง่ายๆ! หาไม่แล้วคงเป็นตัวตนที่ทำให้ผู้คนทั้งแผ่นดินอิจฉาทั้งขัดใจแล้วจริงๆ!’
ในขณะเดียวกัน ใจของอาวุโสลาดตระเวนก็ลอบกล่าวปลอบใจตัวเองอย่างยินดี
พอนึกถึงเรื่องที่พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเป็นเพียงรากวิญญาณสีเหลือง ใจที่อิจฉาและสังเวชตัวเองก็พอได้หวนคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง
ถึงแม้มันจะเป็นแค่อาวุโสเพลิงทองแดง แต่อย่างไรพรสวรรค์รากวิญญาณของมันก็เป็นรากวิญญาณสีเขียว ในเรื่องนี้มันนับว่าเหนือกว่าต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตามกระทั่งหลับอาวุโสเพลิงทองแดงคนนี้คงไม่แม้แต่จะฝัน
ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนไม่ใช่แค่สีเหลืองอย่างที่มันล่วงรู้ แต่ที่แท้แล้วตอนนี้เขากลับมีรากวิญญาณสีน้ำเงิน!
และพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินของต้วนหลิงเทียน ก็ถือว่าเหนือกว่ารากวิญญาณสีเขียวของมันอยู่หนึ่งระดับ!
ในลัทธิบูชาไฟศิษย์สายนอกรุ่นนี้นี้มีพรสวรรค์รากวิญญาณแค่ไม่ถึง 10 คน!
นอกจากนั้นด้วยรากวิญญาณสีน้ำเงิน ขอเพียงไม่ตกตายไปเสียก่อน วันหน้าจะอย่างไรก็ต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้อย่างแน่นอน! อย่างต่ำๆก็ต้องได้ตำแหน่งอาวุโสเพลิงเงินมาครอง เรื่องจะเป็นถึงอาวุโสเพลิงทองก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้!
“อาวุโสกล่าวชมไปแล้ว…ข้าแค่มีโชคเท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบอ่อนๆ สีหน้าเขายังคงสงบนักแม้จะเจอกับทีท่าอิจฉาอย่างเห็นได้ชัดของอาวุโสเพลิงทองแดงเบื้องหน้า
ท่าท่างไม่หยิ่งยะโสถือดีและไม่นอบน้อมจนเกินควรของต้วนหลิงเทียน ทำให้อาวุโสเพลิงทองแดงรู้สึกดีกับต้วนหลิงเทียนมากขึ้นไม่น้อย ‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้นับว่านิสัยดีไม่น้อย แม้จะมีไหวพริบปฏิภาณสูงล้ำเช่นนั้นกลับไม่โอ้อวด…’
‘น่าเสียดายยิ่งนักที่สวรรค์ไร้นัยน์ตา กลับให้อัจฉริยะเช่นนี้มีรากวิญญาณใช้การมิได้ หาไม่แล้วต้วนหลิงเทียนคนนี้ต้องกลายเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานของลัทธิบูชาไฟเราในอนาคตได้แน่!’
อัจฉริยะฟ้าประทาน!
ในลัทธิบูชาไฟ ผู้ที่จะถูกเรียกขานว่าอัจฉริยะฟ้าประทานได้ อย่างต่ำๆต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินขึ้นไป
แน่นอนว่าคำอัจฉริยะฟ้าประทานก็เป็นเพียงแค่คำเรียกที่ตั้งกันขึ้นมาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามผู้ที่สามารถถือครองสมญานามอัจฉริยะฟ้าประทานได้ย่อมไม่ใช่ชนชั้นไก่กา หากแต่เป็นผู้ที่โดดเด่นเหนือใคร ล้วนสุดยอดอัจฉริยะระดับแนวหน้าทั้งสิ้น
ในอดีตก่อนที่ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าจะถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 อย่างภูมิภาคเบื้องบนและภูมิภาคเบื้องล่าง
มีเพียงคนๆเดียวเท่านั้นที่คู่ควรกับสมญานามอัจฉริยะฟ้าประทาน!
นั่นคือเซียนกระบี่ฟงชงหยาง!
ในยุคนั้นตัวตนดังกล่าวประหนึ่งตำนานที่ข้ามผ่านทุกสิ่ง!
“ไปกันเถอะ! อาคารที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าพวกเราตอนนี้ก็คือสถานที่ไว้สำหรับลงทะเบียนศิษย์ใหม่”
อาวุโสเพลิงทองแดงที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนก่อนที่จะเดินนำเข้าอาคารไปทันที
ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวเท้าตามอีกฝ่ายเข้าไปติดๆ
อาคารขึ้นทะเบียนศิษย์ใหม่นี้ ไม่ได้แลดูโดดเด่นอะไรมากนัก หากให้ต้วนหลิงเทียนมาหาด้วยตัวเองคงได้เผลอมองข้ามกันบ้าง
“อาวุโสเซียวเจิ้น วันนี้มิใช่ว่าท่านต้องไปลาดตระเวนหรอกรึ ไฉนถึงมานี่ได้เล่า?”
ต้วนหลิงเทียนที่เดินตามอาวุโสเพลิงทองแดงที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนเข้ามายังห้องโถงใหญ่หลังหนึ่งได้ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงทักด้วยความประหลาดใจดังขึ้นจากเบื้องหน้า เป็นชายวัยกลางคนหลังโต๊ะรับร้องตัวหนึ่งที่กำลังทักอาวุโสที่พาเขามา
การแต่งกายของชายวัยกลางคนผู้นี้ก็เหมือนกันกับอาวุโสเพลิงทองแดงที่นำตัวเขามาส่ง
อาวุโสเซียวเจิ้น?
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็พึ่งได้รับรู้นามของอาวุโสที่พาเขามา จากชายวัยกลางคนผู้นั้น
“อาวุโสติงจงอย่างที่ว่า ‘หากไร้เรื่องร้อนใจไม่ถ่อไปวัด’ ที่ข้ามาหาท่านถึงนี่ได้ล้วนเพราะทำหน้าที่มาส่งมอบคนผู้หนึ่งให้แก่ท่าน…ตอนนี้ในเมื่อข้าพาคนมาส่งถึงที่แล้ว ข้าก็จักกลับไปทำหน้าที่ลาดตระเวนต่อ”
อาวุโสลาดตระเวนนามเซียวเจิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากกล่าวทักทายและบอกจุดประสงค์การมาต่ออาวุโสที่นั่งอยู่ที่โต๊ะรับรองแล้ว เซียวเจิ้นก็หันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “เอาล่ะ ข้าต้องกลับไปทำหน้าที่ต่อแล้ว เรื่องราวหลังจากนี้อาวุโสติงจงจะรับช่วงต่อและจัดการขึ้นทะเบียนศิษย์ใหม่ให้เจ้า”
“วันนี้รบกวนท่านมากแล้ว อาวุโสเซียวเจิ้น”
หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณจบ อาวุโสเซียวเจิ้นที่ว่าก็เร่งเหินร่างจากไปทันที
ในขณะเดียวกันชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะรับรอง อันเป็นอาวุโสเพลิงทองแดงนามว่าติงจงผู้รับผิดชอบเรื่องลงทะเบียนศิษย์ใหม่ ก็มองสำรวจต้วนหลิงเทียนด้วยความจริงจัง
“ศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬงั้นหรือ?”
ติงจงโค้งคิ้วขึ้นเมื่อเห็นชุดของต้วนหลิงเทียน จากนั้นใบหน้าของมันก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที
ในสายตาของมัน
เนื่องจากศิษย์คนนี้ถูกส่งตัวมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นศิษย์ฝ่ายในนอกช่วงเวลาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะทำการทดสอบรับศิษย์ ย่อมเป็นเพราะอีกฝ่ายได้รับการแนะนำจากจ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬโดยตรง!
ตัวตนดังกล่าวย่อมเป็นชนชั้นอัจฉริยะมากกสามารถ!
อย่างน้อยๆสมควรเป็นถึงอัจฉริยะที่มีพรสวรค์รากวิญญาณสีน้ำเงินเป็นอย่างต่ำ!
ตัวตนเช่นนี้แม้จะยังไม่ทันได้เติบโต แต่ก็มีคุณค่ามากพอให้มันกล่าวคำกับอีกฝ่ายด้วยทีท่าสุภาพ
เพราะต้องทราบด้วยว่า ตัวตนเช่นนี้หากเติบโตขึ้น…อย่างน้อยๆก็ต้องได้เป็นถึงอาวุโสเพลิงเงิน! กระทั่งอาจจะเป็นถึงอาวุโสเพลิงทองก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้!!
มีคำกล่าวที่ว่า…
ข้าวันนี้…เจ้าไม่แยแส ข้าวันหน้า…เจ้าอย่าหวังไมตรี
เช่นนั้นติงจงจึงคิดสานไมตรีกับศิษย์เต่าทมิฬเบื้องหน้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะเป็นใหญ่เป็นโตและมีหน้ามีตาจนมันไม่อาจเอื้อม!
เช่นนั้นคำพูดคำจาและท่าทีปฏิบัติของติงจงที่มีต่อต้วนหลิงเทียนจึงนับว่าสุภาพและเป็นกันเองนัก “น้องชายผู้นี้ เจ้าส่งเอกสารแนะนำตัวของใต้เท้าจ้าวแท่นวูมาเถอะ หลังจากนั้นข้าจะจัดการเรื่องขึ้นทะเบียนให้เจ้าเอง!”
จ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬแซ่ ‘วู’
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนพอรู้มาบ้าง
หากแต่ต้วนหลิงเทียนยังคงแปลกใจเล็กน้อยว่าไฉนทีท่าของติงจงผู้นี้ถึงได้แลดูเป็นกันเองและใจดีกับเขานัก จนมาได้ฟังวาจาดังกล่าวของติงจง เขาจึงคิดได้ว่า…อีกฝ่ายสมควรเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป!
ไม่พ้นติงจงคนนี้ต้องเข้าใจว่าเขาคืออัจฉริยะที่จ้าวแท่นบูชาเต่าทมิฬแนะนำมาด้วยตัวเองเป็นแน่!
ด้วยเหตุนี้ติงจงถึงได้แลดูกระตือรือร้นจะทำดีกับเขานัก!
“อาวุโสติงจง ข้าว่าท่านกำลังเข้าใจอะไรข้าผิดไป…ข้าไม่มีเอกสารแนะนำตัว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“ไม่มีเอกสารแนะนำตัวหรือ?”
คำกล่าวของต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะทำให้ติงจงอึ้งเท่านั้น กระทั่งยังทำให้ชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากติงจงอึ้งไปด้วยเช่นกัน
ครู่ต่อมาติงจงก็ลดทีท่าก่อนที่จะยิ้มกล่าวออกมา “น้องชายอย่าได้ล้อข้าเล่นเลย…เจ้าสามารถปรากฏตัวที่นี่ได้ก่อนที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เราจะทำการทดสอบรับศิษย์ นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีคุณสมบัติจะเข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน…”
“หากเจ้ามิมีเอกสารแนะนำตัวของใต้เท้าจ้าวแท่นวู หรือว่าเจ้าสามารถประสบความสำเร็จในการเข้าใจเวทย์พลังประจำแท่นบูชาเต่าทมิฬ อย่างปราการเต่าทมิฬเล่า?”
วาจาท้ายประโยคขณะกล่าวติงจงยังหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยคิดว่าเรื่องนี้มันไม่น่าจะเป็นไปได้
กระทั่งชายหนุ่มอีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะคิดว่าเรื่องนี้ยากจะเป็นไปได้เช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็คร้านกล่าวคำใดให้มากความ เลือกที่จะสำแดงเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬให้อีกฝ่ายดูแทนการตอบคำ
วู้มม!!
ทันใดนั้นพลังเซียนสุริยันก็โคจรแล่นพล่านฉับไว แพร่ออกทั่วกายก่อนจะควบรวมก่อเกิดเป็นเงาร่างเต่าทมิฬตัวเขื่องครอบคลุมร่างเขาเอาไว้อย่างมิดชิด!
ติงจงและชายหนุ่มอีก 2 คนพอเห็นฉากนี้ หน้ามันก็แข็งค้างไปทันใด
จังหวะนี้ในใจของพวกมันยังรู้สึกเสมือนมีทัพม้านับพันย่ำเหยียบ!
เรื่องแบบนี้…มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน!?
ไม่ทันถึงครึ่งเดือนที แต่กลับมีศิษย์แท่นบูชาเต่าทมิฬมาที่นี่เพื่อขึ้นทะเบียนศิษย์ใหม่ก่อนที่การทดสอบรับศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มต้นขึ้นถึงสองคน! และทั้งสองคนกลับสำเร็จเวทย์พลังปราการเต่าทมิฬที่ยากจะสำเร็จได้ทั้งคู่!!
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ที่เวทย์พลังปราการเต่าทมิฬเป็นเวทย์พลังที่แลดูจะเข้าใจกันได้ง่ายๆเช่นนี้!?
นี่ยังใช่เวทย์พลังสายป้องกันขั้นสูงของลัทธิบูชาไฟ ที่กล่าวกันว่ายากจะเข้าใจเป็นที่สุดอยู่อีกหรือ?
ติงจงถึงกับตกตะลึงไปพักใหญ่
ชายหนุ่มทั้งสองก็เหม่อไปราวตัวโง่งมอยู่นาน
“อาวุโสติง…คราวนี้ท่านลงทะเบียนให้ข้าได้รึยัง?”
ไม่จนกระทั่งต้วนหลิงเทียนกล่าวคำออกมาอีกรอบ ติงจงจึงค่อยฟื้นสติกลับคืน เร่งตอบคำกลับมาทันที “ได้ๆ! ข้ารีบลงทะเบียนให้เจ้าตอนนี้เลย!!”
ทันใดนั้นใบหน้าของติงจงก็ฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มมากไมตรีอีกครั้ง
เพราะผู้ที่มีไหวพริบปฏิภาณสูงส่งถึงขั้นเข้าใจเวทย์พลังที่ว่ากันว่าเข้าใจได้ยากเย็นที่สุด ย่อมมีค่าให้มันสานไมตรีด้วยเช่นกัน!
ตัวตนเช่นนี้หากพรสวรรค์ในเชิงยุทธ์ไม่ต่ำทราม ความสำเร็จในภายภาคหน้าก็ยากที่จะต้อยต่ำกว่ามัน
“น้องชาย แล้วเจ้ามีนามว่าอะไรรึ?”
จิงจงกล่าวถามคำถามที่สำคัญที่สุดสำหรับการลงทะเบียนออกมาตามระเบียบ
แม้จะเป็นคำถามที่ถูกถามอยู่เป็นประจำ หากแต่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่อีกฝ่ายคลี่ออก ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเป็นกันเองเหมือนอยู่บ้าน
“ต้วนหลิงเทียน”
อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน รอยยิ้มชื่นบานบนใบหน้าของติงจงก็ชะงักค้างไปอีกครั้ง…