WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2012
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2012
ตอนที่ 2,012 : ใครเป็นผู้โชคดี?
“ยังไม่”
ได้ยินคำถามของหลี่อัน หยางชงส่ายหัวไปมาอย่างขอไปที “เรื่องหาความเป็นมาของมัน ข้ายังให้ความสนใจแต่ภูมิภาคเบื้องบน…หากไม่มีความคืบหน้าอะไรแล้วจริงๆ ข้าค่อยส่งคนไปสืบค้นที่ภูมิภาคเบื้องล่าง”
“เช่นนั้นเจ้าให้คนของเจ้าไปกับข้าเถอะ…ข้าจะพาพวกมันไปภูมิภาคเบื้องล่างด้วยตัวเอง! พวกเราต้องรีบหาความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนให้พบโดยเร็วที่สุด! ข้าสังหรณ์ใจว่าต้วนหลิงเทียนมันอาจจะมาจากภูมิภาคเบื้องล่าง!!”
ลูกตาหลี่อันฉายแววเย็นชาขณะกล่าว
ตอนนี้หยางชงมีทีท่าดุร้ายนัก ต้วนหลิงเทียนฆ่าลูกชายทั้ง 2 คนของมันไปแบบนี้ มันแทบทนรอฉีกร่างต้วนหลิงเทียนให้แหลกเป็นชิ้นๆไม่ไหวแล้ว!
ไฉนมันจะไม่อยากฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายในเร็ววัน!
สำหรับหลี่อัน ด้วยความบาดหมางของมันกับต้วนหลิงเทียนได้มาถึงจุดที่มิอาจอยู่ใต้ฟ้าเดียวกันได้ หากต้วนหลิงเทียนเติบโตขึ้นมามันรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็ไม่คิดไว้ชีวิตมันเช่นกัน!
ด้วยเหตุนี้มันถึงกับตัดสินใจลงไปภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อสืบค้นความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเอง! หากมันค้นพบภูมิหลังของต้วนหลิงเทียนแล้ว่ละก็ มันจะจับตัวคนสำคัญของต้วนหลิงเทียนไว้เป็นตัวประกัน และใช้ชีวิตของคนเหล่านั้นบีบคั้นให้ต้วนหลิงเทียนออกมานอกเขตลัทธิบูชาไฟ!!
ต้วนหลิงเทียนออกมาจากเขตลัทธิบูชาไฟเมื่อไหร่ ก็ไม่ต่างใดจากปลาบนเขียงให้พวกมันแล่สับได้ตามใจ!
หากต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย ใจของมันย่อมไม่อาจสุขสงบ ทุกคืนวันผันผ่านไปด้วยความประหวั่น!
เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนไม่อาจรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังอุดรไพศาลได้เลย
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้หลี่อัน อาวุโสเพลิงเงินอันดับ 1 ของแท่นบูชาเต่าทมิฬถึงกับไปวังอุดรไพศาล! กระทั่งนำกำลังคนของหยางชงมุ่งหน้าไปยังภูมิภาคเบื้องล่างเพื่อสืบหาความเป็นมาของเขาด้วยตัวเอง!!
เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังจมจ่อมอยู่กับการบ่มเพาะ ไม่สนใจเรื่องราวใดๆในโลกภายนอกทั้งสิ้น
ณ พื้นที่หุบเขาทางตอนเหนือของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน…ซึ่งเป็นสถานที่อันเปลี่ยวร้างวังเวง มองไปทางใดก็แลเห็นแต่ทุ่งน้ำแข็งเยียบเย็น ขุนเขาปกคลุมไปด้วยหิมะหนาเรียงรายหนาตา
สถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งกลิ่นอายของสรรพชีวิตอันใด เผยให้รู้ว่าแทบไม่มีผู้ใดย่างกรายผ่านไปมา
และบนเขาลูกหนึ่งที่ถูกบดบังไว้ด้วยทิวเขาสูงใหญ่มากมายจนแลดูไม่โดดเด่นอันใด เมื่อท่านมองผ่านเมฆหมอกเข้าไป จะพบตำหนักโออ่าหลังหนึ่ง ใกล้ๆกันกับตำหนักโออ่าหลังดังกล่าว ยังมีตำหนักยิบย่อยอีกมากมายนับสิบตำหนักตั้งเรียงรายเป็นระเบียบ
ด้วยเมฆหมอกบดบังหนาทึบที่ตลบอบอวลไปทั่วขุนเขา หากอยู่ห่างจากยอดเขาแห่งนี้เกิน 2 ลี้ ย่อมไม่อาจแลเห็นสิ่งใดภายใต้ม่านหมอกได้เลย
เนื่องเพราะโดยรอบขุนเขาปรากฏค่ายกลลวงตามากมายจัดตั้งเอาไว้
ค่ายกลนี้ยังผลให้บังเกิดม่านหมอกปกคลุม เสมือนไอเย็นและหมอกตามธรรมชาติจนยากแยกแยะ ทำให้ขุนเขาลูกนี้แลไม่ต่างใดจากขุนเขาอื่นๆทั่วไป เช่นนั้นมันจึงไม่สะดุดตา ทั้งยังไม่สะดุดตาถึงที่สุด
ยากที่จะมีผู้ใดจินตนาการได้ออก…ว่าภายใต้ม่านหมอกนี้เสมือนมีโลกใบเล็กอยู่ภายใน!
วูบ!
สายลมหนาวพัดกระเพื่อมไหววูบ ปรากฏร่างบางเหินออกมาจากตำหนักย่อยหลังหนึ่ง
ร่างบางนี้กลับเป็นสตรีนางหนึ่ง ยังเป็นสตรีที่มีดวงตากลมใสกระจ่างให้ความรู้สึกดั่งสารทฤดู ด้วยจมูกโด่งน่ารักพร้อมด้วยปากเล็กๆสีดั่งลูกเชอร์รี่ ตอบรับกับพวงแก้มขาวอมชมพูระเรื่อ พาลให้รูปโฉมของนาง…แม้จะกล่าวว่ามีอานุภาพล่มเมืองก็ไม่เกินเลย
ร่างบางเหินร่างฝ่าลมเย็นเสียดกระดูกไม่นานก็บรรลุถึงตำหนักย่อยหลังหนึ่ง ปากเล็กอ้าออกเปล่งเสียงตะโกนดังลั่น “นี่! กะเทยน่าตาย! อาจารย์ลุงพยากรณ์ได้บอกเจ้าไว้หรือไม่ ว่าท่านจะกลับมาเมื่อใด!?”
หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ คงสามารถจดจำได้ทันทีว่าสตรีร่างบางที่กำลังตะโกนเสียงใสอยู่นี้เป็นใคร นางคือหานเฉวี่ยไน่ ที่เขาเห็นเป็นน้องสาวตัวน้อยนั่นเอง!
“ข้ามิใช่กะเทยน่าตาย!!”
แทบจะพร้อมกันกับเสียงตะโกนของหานเฉวี่ยไน่ เสียงเล็กแหลมหนึ่งพลันดังออกจากตำหนักย่อยเบื้องหน้า น้ำเสียงยังคล้ายแฝงเร้นไว้ด้วยโทสะคับข้องใจไม่น้อย
หากฟังแต่เสียงอย่างเดียว คงยากจะบอกได้ว่าผู้พูดที่แท้เป็นสตรีหรือชายหนุ่มกันแน่
หลังจากนั้นไม่ว่าหานเฉวี่ยไน่จะตะโกนอย่างไรต่อ ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา
นางถูกเพิกเฉยอย่างสมบูรณ์
“บ้าจริง! กะเทยน่าตายนั่นเดี๋ยวนี้กล้าไม่สนใจข้าหรือ!?”
ทันใดนั้นคิ้วคู่งามของหานเฉวี่ยไน่ก็ย่นยู่ด้วยความไม่ชอบใจ พ่นลมกระฟัดกระเฟียดออกมาด้วยความขุ่นใจ
ครืดดด…
ทว่าตอนนี้เองประตูตำหนักย่อยหลังหนึ่งพลันเปิดออก ปรากฏร่างชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเดินออกมา เป็นแฝดคนน้องขอคู่แฝดหนานกง หนานกงยี่
นอกจากนี้มันยังเป็นผู้สืบทอดมรดกคนคู่ 1 ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้
สำหรับหานเฉวี่ยไน่นั้น นางเป็นผู้สืบทอดของ ธุลีแดง ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้
กะเทยน่าตายที่หานเฉวี่ยไน่ตะโกนถามปาวๆก่อนหน้าก็คือ เยว่อู๋หยิ่ง ผู้สืบทอด เงาทมิฬ ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้
สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ตั้งชั่วคราวของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
มีตำหนักหลังใหญ่ พร้อมด้วยตำหนักยิบย่อยนับสิบ
“หนานกงยี่!”
เมื่อเห็นหนานกงยี่เปิดประตูออกมา ลูกตาของหานเฉวี่ยไน่ทอประกายจ้าทันที ร่างบางเหินฝ่าสายลมเยียบเย็นจนบรรลุถึงเบื้องหน้าหนานกงยี่
“แม่นางเฉวี่ยไน่”
หนานกงยี่ทักทายหานเฉวี่ยไน่ด้วยรอยยิ้ม
“หนานกงยี่ เจ้ากับหนานกงเฉินติดตามกะเทยน่าตายนั่นมาจากภูมิภาคเบื้องล่างจนถึงที่นี่…ระหว่างทางเจ้าเคยได้ยินมันพูดถึงเรื่องผู้สืบทอดของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณบ้างหรือไม่?”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวถามออกมาตรงๆ
“ข้าได้ยินมาบ้างนะ”
หนานกงยี่พยักหน้าตอบคำ
ลูกตาหานเฉวี่ยไน่ทอประกายจ้าขึ้นมาทันที “มันบอกว่าอย่างไรบ้าง!?”
“มันบอกข้าว่า การปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ ยังหมายถึงการหวนกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของ 7 ทวาราเที่ยงแท้เรา…ด้วยเหตุนี้ท่านอาวุโสพยากรณ์ถึงได้พยายามตามหาตัวผู้สืบทอดหมอกพิรุณมาโดยตลอด”
“กล่าวไปหากไม่ใช่ท่านผู้อาวุโสพยากรณ์ตามหาหมอกพิรุณแบบนี้ ท่านคงไม่เจอข้ากับเจ้าเฉิน และพวกเราคงไม่จับพลัดจับผลูได้เป็นผู้สืบทอดของคนคู่แบบนี้!”
หนานกงยี่ย่อมตระหนักดี!
ดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ากว้างใหญ่สุดไพศาล หากใช้เวลาเสาะหามากพอ ย่อมพบพานคู่แฝดที่มีศักยภาพและพรสวรรค์เหนือล้ำกว่ามันกับหนานกงเฉินแน่
“แล้วเจ้านั่นมันได้บอกพวกเจ้าหรือไม่ ว่าผู้สืบทอดหมอกพิรุณที่แท้เป็นผู้ใด แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวถาม
“เรื่องนี้ข้าก็เคยถามมันดูเหมือนกัน…แต่มันบอกข้าว่าไม่รู้ อีกทั้งบอกว่าผู้ที่รู้มีเพียงผู้อาวุโสพยากรณ์กับอาวุโสฮวาเท่านั้นที่รู้ตัวตนของผู้สืบทอดหมอกพิรุณ ว่าแต่อาวุโสฮวาก็เป็นอาจารย์ของเจ้ามิใช่หรือแม่นางเฉวี่ยไน่…ทำไมเจ้าไม่ถามอาจารย์ของเจ้าล่ะ?”
“ข้าก็ถามแล้วแหล่ะ แต่นางไม่ยอมบอกข้านี่นา!”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวออกด้วยใบหน้าขื่นขม “ข้ามิรู้ว่าท่านอาจารย์เป็นกังวลเรื่องอะไรกันแน่…แค่บอกข้าว่าผู้สืบทอดหมอกพิรุณเป็นใครแล้วมันจะเป็นอะไรนักหนา ใช่ว่าข้าจะไปแกล้งผู้สืบทอดหมอกพิรุณซะหน่อย”
“ตัวตนผู้สืบทอดหมอกพิรุณนับว่าลึกลับจริงๆ…”
หนานกงยี่ระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในแววตามันเผยให้เห็นความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน
จากนั้นคล้ายพึ่งนึกอะไรได้ออก หนานกงยี่มองถามหานเฉวี่ยไน่ทันที “แม่นางเฉวี่ยไน่ แล้วนี่ท่านอาวุโสพยากรณ์กับอาวุโสฮวาไปที่ใดเล่าข้าไม่เห็นพวกท่านมาหลายวันแล้ว?”
“อาจารย์ลุงพยากรณ์ได้ออกไปหาผู้สืบทอดหงส์ฟ้าจรัสแสงที่เผ่าหงส์ฟ้า รวมถึงคิดรับผู้สืบทอดความลับสวรรค์ของท่านมาที่นี่ด้วยเลย ส่วนท่านอาจารย์ข้าเห็นว่าจะไปรับตัวผู้สืบทอดจอมเผด็จการ”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวตอบ
“ผู้สืบทอดความลับสวรรค์…ลูกศิษย์ของท่านอาวุโสพยากรณ์งั้นหรือ?”
สองตาหนานกงยี่สว่างจ้าขึ้นมาทันใด
“อื้อ มิผิด”
หานเฉวี่ยไน่พยักหน้ารับ “ข้าก็พึ่งได้รู้ว่าที่แท้อาจารย์ลุงพยากรณ์ได้พบตัวผู้สืบทอดความลับสวรรค์นานแล้ว…นอกจากนั้นข้ายังได้ยินจากท่านอาจารย์ว่าผู้สืบทอดของอาจารย์ลุงพยากรณ์ยังเป็นสาวน้อยนางหนึ่ง!”
“นอกจากนั้นเห็นว่าผู้สืบทอดของหงส์ฟ้าจรัสแสงก็เป็นสตรีที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง!”
กล่าวถึงตอนนี้สองตากลมใสของหานเฉวี่ยไน่เผยประกายซุกซนทั้งอยากรู้ไม่น้อย “ข้าอยากให้อาจารย์ลุงพยากรณ์กลับมาเร็วๆจัง…ข้าจะได้พบเจอศิษย์พี่หญิงทั้ง 2 เสียที!”
“หมายความว่าวันที่ท่านอาวุโสพยากรณ์กับท่านอาวุโสฮวากลับมา ผู้สืบทอดของ 6 ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้ ก็จะมารวมตัวกันงั้นหรือ?”
หนานกงยี่กล่าวถามด้วยความประหลาดใจ
หานเฉวี่ยไน่พยักหน้า
“แล้วผู้สืบทอดหมอกพิรุณเล่า? ท่านอาวุโสพยากรณ์ได้บอกเจ้าไว้หรือไม่ว่าจะพากลับมาด้วยเลยหรือเปล่า?”
หนานกงยี่มองถามหานเฉวี่ยไน่อีกครั้งด้วยสายตาคาดหวัง
“ไม่”
หานเฉวี่ยไน่กลับส่ายหัวออกมาทันที ค่อยพูดออกมาว่า “จากที่ท่านอาจารย์ของข้าบอก เหตุผลที่ท่านกับท่านอาจารย์ลุงพยากรณ์ไปรับตัวผู้สืบทอดทั้ง 3 กลับมา ก็เพราะคิดจะเปิดใช้มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา เพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิตให้พวกเราทั้ง 7 คน”
ในบรรดาผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ ด้วยความที่คนคู่นั้นมี 2 คน หานเฉวี่ยไน่จึงกล่าวคำว่า ‘พวกเราทั้ง 7’
เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต!
ทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของหานเฉวี่ยไน่ สองตาของหนานกงยี่ก็เผยประกายจ้าเปี่ยมล้นไปด้วยความคาดหวัง
“มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารางั้นหรือ…มันเป็นค่ายกลอันใดกันแน่…”
หนานกงยี่กล่าวถามออกมาด้วยความสนใจ
“เห็นว่ามหาค่ายกลนที่ว่าเป็นมหาค่ายกลที่ท้าทายสวรรค์ยิ่งนัก! มันสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้พวกเราได้! ฟังจากที่ท่านอาจารย์ของข้ากล่าวบอกไว้ เห็นว่าหลังพวกเราผู้สืบทอดทั้ง 6 ทวาราออกมาจากมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา พรสวรรค์รากวิญญาณของพวกเราอย่างน้อยๆก็จะกลายเป็นรากวิญญาณสีคราม!”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวสืบต่อออกมาดวยน้ำเสียงตื่นเต้น “เห็นว่าหากเดิมทีพรสวรรค์รากวิญญาณของพวกเราสูงอยู่แล้ว รากวิญญาณของพวกเราอาจถึงขั้นแปรเปลี่ยนเป็นรากวิญญาณสีม่วง!!”
“พรสวรรค์รากวิญญาณ?”
“รากวิญญาณสีคราม? รากวิญญาณสีม่วง?”
เมื่อได้ยินเสียงกล่าวด้วยความตื่นเต้นของหานเฉวี่ยไน่ หนานกงยี่กลับชักสีหน้าอื้ออึงว่างเปล่าราวตัวโง่งม
เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มันได้ยินคำว่า พรสวรรค์รากวิญญาณ ดังนั้นมันจึงไม่ทราบว่ารากวิญญาณสีครามเอย รากวิญญาณสีม่วงเอยที่หานเฉวี่ยไน่พูดออกมาที่แท้คือเรื่องราวอันใด!
หลังจากนั้นหานเฉวี่ยไน่ก็ค่อยๆอธิบายให้หนานกงยี่ฟัง จนสุดท้ายหนานกงยี่ก็สามารถเข้าใจได้ว่าพรสวรรค์รากวิญญาณคืออะไร กระทั่งรับทราบความหมายของรากวิญญาณสีครามและรากวิญญาณสีม่วง
ทันใดนั้นลมหายใจของหนานกงยี่ก็แปรเปลี่ยนเป็นถี่รัวขึ้นปานเหนื่อยหอบ ใจยังเต้นรัวราวมีทัพม้านับพันย่ำ ยากจะสงบลงได้อยู่นาน
“แม่นางเฉวี่ยไน่…เมื่อครู่ท่านกล่าวว่ามหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา มีไว้สำหรับพวกเราทั้ง 7…แล้วผู้สืบทอดหมอกพิรุณเล่า? ไม่ได้เข้าใช้มหาค่ายกลกับพวกเราด้วยหรือ?”
“มหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา ที่เรียกว่า ‘6 ทวารา’ ก็หมายถึงผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ทั้ง 6 ยกเว้นผู้สืบทอดหมอกพิรุณ…ดังนั้นผู้สืบทอดหมอกพิรุณจะไม่ได้รับการช่วยเหลือจากมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวอธิบายออกมา และพอกล่าวถึงตรงนี้ใบหน้าก็เผยความอิจฉาให้เห็น “ฟังจากที่ท่านอาจารย์ของข้ากล่าวมา ผู้สืบทอดหมอกพิรุณคนนี้ แม้จะไร้ความช่วยเหลือจากมหาค่ายกลเปลี่ยนชะตาเย้ยฟ้า 6 ทวารา แต่ความสำเร็จในภายภาคหน้ายังจะเหนือล้ำกว่าพวกเราเสียอีก”
“จากที่ข้าฟังๆท่านอาจารย์กับอาจารย์ลุง…9 ใน 10 ส่วนของผู้สืบทอดหมอกพิรุณ ต้องเป็นอัจฉริยะปีศาจที่มีพรสวรรค์รากวิญญาณสีม่วงแน่ๆ!”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวออกเสียงหนัก
“ได้ฟังแม่นางเฉวี่ยไน่กล่าวมาซะขนาดนี้…ข้าชักอยากจะเจอผู้สืบทอดหมอกพิรุณขึ้นมาบ้างแล้ว! ข้าสงสัยยิ่งที่แท้มันเป็นตัวตนเช่นไรกัน!”
“อื๊อ…ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าใครเป็นผู้โชคดีได้รับสืบทอดมรดกของทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณกันแน่!”
หานเฉวี่ยไน่พยักหน้าพร้อมกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย