WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2064
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2064
ตอนที่ 2,064 : วิธีออกจากลัทธิบูชาไฟ
เผ่าพันธุ์ปีศาจวัวที่มีความสูงเพียง 4 หมี่พลังฝึกปรือของมันก็อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเท่านั้น!
อาศัยพลังฝึกปรือเพียงเท่านี้ คิดหลบหนีจากหุ่นเชิดเซียนปีศาจที่ถูกควบคุมโดยต้วนหรูเฟิง เป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นไปได้เลย!
ต้องทราบด้วยว่าหุ่นเชิดเซียนปีศาจที่ต้วนหรูเฟิงอัญเชิญมานั้น มีระดับพลังเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 4เปลี่ยนที่เจียนบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนเต็มที!
เช่นนั้นต่อหน้าหุ่นเชิดเซียนปีศาจแล้ว ปีศาจวัวก็เสมือนมดอ่อนแอไร้พลังต้านทาน
เสี้ยวพริบตา ปีศาจวัวที่เรียกได้ว่าเป็นนักสู้ระดับแนวหน้าของเผ่านพันธุ์ปีศาจวัว ก็ถูกพลังอันครอบงำของหุ่นเชิดเซียนปีศาจฆ่าตายได้อย่างง่ายดาย
และหากมองให้ดีจะพบว่าหลังฆ่าปีศาจวัวไปแล้ว ต้วนหรูเฟิงก็ดูดสารัตถะของมัน ไม่ว่าจะพลังหรือแก่นแท้โลหิตจนร่างมันกลายเป็นซากศพแห้งกรัง!
(สารัตถะในที่นี้ก็คือ ทุกสิ่งอย่างที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะพลัง,พลังชีวิต,แก่นแท้โลหิต ไม่รู้จำใช้คำไหนเหมือนกัน ตอนแปลพี่ประมุขก็ใช้คำนี้ด้วย)
ในอดีตถึงแม้ต้วนหรูเฟิงจะรู้วิธีดูดกลืนสารัตถะของศัตรูจากความทรงจำของเฮ่ยหมิง กระทั่งถูกเฮยหมิงควบคุมร่างให้ใช้วิธีการเช่นนั้น แต่มันก็ไม่เคยลงมือกระทำเช่นนั้นด้วยตัวเองมาก่อน
เพราะมันไม่อาจทำใจยอมรับได้
นี่เป็นดั่งปมในใจ…หากกระทำไปย่อมไม่อาจคลี่คลาย! เพราะวิธีการนี้ไม่เพียงทำลายมโนธรรมยังชั่วร้ายจนสวรรค์ยากอภัย!!
และนี่คือสาเหตุหลักให้พลังฝึกปรือของต้วนหรูเฟิงตอนนี้ด้อยกว่าตู้กู
นั่นเพราะหลังทะลวงผ่านเซียนนภาแล้ว ตู้กูเลือกที่จะกลืนกินสารัตถะของยอดฝีมือในภูมิภาคเบื้องล่างด้วยอำมหิต ทำให้พลังฝึกปรือของตู้กูเจียนบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ในเวลาอันสั้น!!
อย่างไรก็ตามต้วนหรูเฟิงรับไม่ได้กับการกลืนกินเลือดและพลังของมนุษย์…ทว่าไม่ได้หมายความว่าจะปฏิเสธการดูดซับกลืนกินพลังของปีศาจ!!
แก่นแท้โลหิตและไอมารของปีศาจวัวจากแดนเนรเทศ ถูกต้วนหรูเฟิงสูบกลืนอย่างไร้ลังเล!
“น่าเสียดายที่พลังวิญญาณของข้าไม่สูงพอจะใช้วิชาสืบจิตกับมัน…หาไม่แล้วสมควรได้รับข้อมูลอะไรบางอย่างจากมันบ้าง…”
หลังกลืนกินสารัตถะของปีศาจวัว สีหน้าต้วนหรูเฟิงก็ฉายความซับซ้อนไม่น้อย
‘ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นปีศาจวัวตัวนี้บังเอิญหลุดเข้ามาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแค่ตัวเดียว…หรือเผ่าพันธุ์ปีศาจสามารถบุกรุกเข้ามาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าได้แล้วกันแน่…’
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ต้วนหรูเฟิงก็ยิ่งเคร่งเครียดนัก
‘ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง…ตอนนี้ข้าเร่งปิดด่านบ่มเพาะเพื่อย่อยสลายพลังและแก่นแท้โลหิตของปีศาจวัวตัวนี้ให้ดีก่อนจะดีกว่า คราวนี้ข้าสมควรทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ไม่ยาก!’
แม้ต้วนหรูเฟิงจะยังไม่ตระหนักถึงสถานการณ์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวอย่างแน่ชัด
แต่ในใจมันบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่ง…ยุคของมนุษย์ปีศาจกำลังจะหวนกลับคืนมาอีกครั้ง!
หากคิดจะอยู่รอดในยุคมนุษย์ปีศาจ จำต้องมีพลังฝีมือและความแข็งแกร่งสูงพอ มิฉะนั้นก็เป็นได้แค่เหยื่อที่จะถูกล่าและกลืนกินด้วยน้ำมือปีศาจ เป็นได้แค่สารอาหารที่เสริมพลังให้เหล่าปีศาจเท่านั้น!
ไม่ว่าจะเพื่อตัวเองเพื่อครอบครัวหรือเพื่อตำหนักเมฆาคราม
ตอนนี้ต้วนหรูเฟิงมีแต่ต้องยกระดับพลังของตัวเองให้สูงขึ้น!
เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น ที่จะเป็นหลักประกัน ให้มันและคนรอบกายผ่านพ้นยุคมนุษย์ปีศาจ ที่เป็นดั่งกลียุคไปได้!
เช่นนั้นหลังกล่าวสั่งถงจ้งให้จัดการเรื่องปลอบขวัญองครักษ์เกราะทมิฬที่รอดชีวิต จัดพิธีศพให้ผู้ตายอย่างสมเกียรติรวมถึงเรื่องดูแลครอบครัวของผู้เสียชีวิตเสร็จแล้ว ต้วนหรูเฟิงก็เร่งกลับไปปิดด่านบ่มเพาะทันที
สุดท้ายก็คงเหลือแต่เหล่าองครักษ์เกราะทมิฬที่มองแผ่นหลังต้วนหรูเฟิงหายลับตาไปด้วยความนับถือ ความเลื่อมไสเทิดทูนในแววตาของพวกมันแต่ละคนล้วนร้อนแรงดั่งเพลิงไฟ
มองผ่านไปทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว ต้องกล่าวเลยว่าตำหนักเมฆาครามนับว่าโชคดีนัก!
เพราะสุดท้ายแล้วตำหนักเมฆาครามก็มีจ้าวตำหนักที่มีพลังฝีมือสูงพอจะสยบปีศาจวัวที่บุกเข้ามาได้ ทำให้ตำหนักเมฆาครามรอดพ้นจากหายนะมาได้…
ตลาดมืดหยินชานสาขาหลักเองก็ถือว่าโชคดีเช่นกัน
เพราะผู้นำของพวกมันก็ทรงพลังมากพอจะบดร่างปีศาจวัวที่บุกเข้ามาให้แหลกได้ไม่ยากเย็น ทำให้ตลาดมืดหยินชานเป็นอีกแห่งที่แคล้วคลาดปลอดภัย
อย่างไรก็ตามขุมพลังอื่นๆหาได้โชคดีเช่นนี้ไม่!
ตัวอย่างเช่นตำหนักฟ้าลี้ลับ ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่ต้วนหลิงเทียนเคยอาศัยอยู่ ได้ถูกปีศาจวัวบุกเข้ามาเข่นฆ่าทำลายล้างช่วงชิงทุกสิ่งไปไม่มีเหลือ!
ไม่ว่าจะต้อยต่ำหรือสูงส่ง ตั้งแต่ศิษย์ชั้นนอกยันจ้าวตำหนักล้วนถูกปีศาจวัวกลืนกินหมดสิ้น…มีเพียงอาวุโสและศิษย์บางคนเท่านั้นที่โชคดีหลบหนีมาได้
ในบรรดาผู้ที่สามารถหลบหนีรอดชีวิตมาได้ ก็มีคนที่ต้วนหลิงเทียนรู้จักมักคุ้นและเคยมีสัมพันธ์ที่ดีด้วยกันอยู่เช่นกัน คนๆนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหวางเฟยเซวียน สตรีห้าวหาญที่ชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆต้วนหลิงเทียนคนนั้นนั่นเอง
หลังจากที่หวางเฟยเซวียนหลบหนีออกมาจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้ นางก็ย้อนกลับไปยังคฤหาสน์ดาบทรราชของนาง อนิจจาทันทีที่นางกลับมาถึงนางก็พบเจอแต่ซากปรักหักพักและซากศพแห้งกรังไร้ชีวิต
หนึ่งในซากศพแห้งกรังที่นางพบ ก็คือปู่ของนางเอง
“ท่านปู่!”
หวางเฟยเซวียนได้แต่ทรุดตัวลงร่ำไห้น้ำตานองหน้าข้างๆศพของปู่นาง ร่ำร้องคร่ำครวญออกมาแทบขาดใจ…
ปู่ของนางก็คือผู้นำคฤหาสน์ดาบทรราชน์ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว…ในเมื่อปู่ของนางยังตายตก เช่นนั้นทุกคนก็ไร้หนทางรอด…
สภาพใจสลายของนางยามนี้ แลดูช่างน่าเวทนาชวนให้ผู้คนสงสารจับใจ
เนิ่นนานกว่าหวางเฟยเซียนจะหยุดร้อง นางลุกขึ้นยืนพร้อมยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้า
ประกายเย็นเยียบส่องสว่างขึ้นจากลูกตา…บัดนี้โทสะในใจลุกไหม้ดั่งเพลิงไฟ ปานจะเผาผลาญได้ทุกสิ่ง
“สัตว์ประหลาดหัววัวนั่น ดูเหมือนจะเรียกตัวเองว่านักรบชั้นสูงของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัว…แล้วเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวคืออันใดกันล่ะ?”
ในขณะที่ใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น หวางเฟยเซวียนพอคิดถึงศัตรูของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะสับสน
เพราะนางไม่เคยได้ยินเรื่องเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวมาก่อน
เผ่าพันธุ์ปีศาจวัวนี้อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นราวกับผุดโผล่จากอากาศว่างเปล่า พลังฝีมือของพวกมันกล้าแข็งสูงส่งนัก เรียกว่าท้าทายสวรรค์ก็ไม่เกินเลย!
กระทั่งเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับ ยังถูกฆ่าในกระบวนท่าเดียว
เมื่อคิดถึงฉากที่นักรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวฆ่าล้างระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับอย่างง่ายดายปานบดขยี้มดปลวก หวางเฟยเซียนก็รู้สึกไร้พลังขึ้นมาในใจอีกครั้ง
นาจะมีวันแก้แค้นได้จริงหรือ?
ยังหลงเหลือความหวังที่จะแก้แค้นอยู่หรือไม่?
หลังออกจากคฤหาสน์ดาบทรราช หวางเฟยเซวียนก็ร่อนเร่ไปอย่างไร้จุดหมาย ระหว่างทางนางก็พบซากศพแห้งกรังทีถูกกลืนกินพลังทั้งเลือดเนื้อมากมายนัก
ซากร่างแห้งเหี่ยวเหล่านี้ปานหมุดที่คอยตอกย้ำทิ่มแทงลงกลางใจ ทำให้นางแทบพังทลายอยู่รอมร่อ
สุดท้ายกระทั่งตัวหวางเฟยเซวียนเองก็ไม่ทราบว่าไฉนตัวเองถึงร่อนเร่พเนจรมาทางตำหนักเมฆาครามได้
อาจเป็นเพราะบุรุษที่นางชอบโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม?
หรืออาจเพราะนางคิดว่าตำหนักเมฆาครามแข็งแกร่งที่สุด การพึ่งพิงตำหนักเมฆาครามสมควรปลอดภัยที่สุดก็ไม่อาจทราบได้…
เพราะเรื่องนี้หวางเฟยเซวียนไม่ได้คิด เพียงเดินทางมาตามใจเท่านั้น
แน่นอนว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั่วดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องล่าง ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจล่วงรู้ได้เลย
ตอนนี้หลังจากที่เขากล่าวปฏิเสธข้อเสนอของผู้พิทักษ์ชิงหั่วเรื่องรับศิษย์จนอีกฝ่ายจากไปโดยไม่กล่าวใดต่อแม้ครึ่งคำ ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าไปยังเกาะศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปยังเขตที่พักของศิษย์ชั้นยอดทันที
ในอดีตเขาเองก็เคยพักอาศัยอยู่ในเขตที่พักดังกล่าว
ที่เขามาที่นี่วันนี้ เพราะคิดตามหาใครคนหนึ่ง
คนๆนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อีกฝ่ายเป็นศิษย์ชั้นยอดที่เขาพบเจอและกล่าวถามทางมายังเขตที่พักแห่งนี้ ในตอนที่เขามาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์วันแรก
กวนซิ่ว!
ต่อมาเขาได้มีเรื่องราวกับหยางเหวิน จนไปประลองเป็นตายกันที่สังเวียนเป็นตาย กวนซิ่วผู้นี้ก็ถึงกับทุ่มแทเดิมพันจนหมดตัวอย่างไร้ความลังเลเพื่อเขา
ดังนั้นแม้เขาจะไม่ได้ข้องแวะกับกวนซิ่วมากนัก แต่ก็พอรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีและเชื่อถือได้
เช่นนั้นเขาที่คิดแผนหลบหนีไปจากลัทธิบูชาไฟ และจำต้องพึ่งพาใครสักคน ก็ฉุกคิดถึงกวนซิ่วขึ้นมาก่อนใคร
“ศิษย์พี่หลิงเทียน!”
เมื่อได้พบกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง กวนซิ่วรู้สึกตื่นเต้นยินดียากระงับ เร่งทักทายออกมาอย่างกระตือร้นร้น
อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นคนที่เห็นทุกย่างก้าวของต้วนหลิงเทียนตั้งแต่มาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จนก้าวสู่จุดที่มีชื่อเสียงเลื่องลือก็ว่าได้
“เจ้าสบายดีหรือไม่กวนซิ่ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำทัก ก่อนที่จะทักทายอีกฝ่ายกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮ้า! ศิษย์พี่หลิงเทียนยังจดจำข้าได้ด้วยหรือ!?”
เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวเรียกชื่อตัว กวนซิ่วถึงกับประหลาดใจไม่น้อย
“แน่นอนว่าต้องจำได้…หากจำไม่ได้แล้วข้าจะมาหาเจ้าทำไมเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ
“เอ๋ ศิษย์พี่หลิงเทียนมาหาข้าหรือ?แล้วไฉนอยู่ๆศิษย์พี่ท่านถึงได้มาหาข้าได้เล่า?”
จังหวะนี้กวนซิ่วพยายามรงับอาการตื่นเต้นดีใจเอาไว้ และกล่าวถามออกไปด้วยความสงสัยทั้งคาดหวัง
“ข้ามาหาเจ้าตอนนี้ เพราะมีเรื่องคิดขอให้เจ้าช่วยเหลือน่ะ…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกไปตรงๆ
“ศิษย์พี่หลิงเทียนมีเรื่องใดโปรดกล่าว…หากเป็นเรื่องที่ข้าสามารถช่วยเหลือท่านได้ ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยท่าน!”
เมื่อได้รับรู้ว่าต้วนหลิงเทียนถึงกับมาหาเพื่อขอให้มันช่วย กวนซิ่วถึงกับกล่าวให้คำมั่นออกไปอย่างแน่วแน่
ในสายตาของกวนซิ่ว
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ศิษย์พี่หลิงเทียนคนนี้ช่วยให้มันได้รับคะแนนสะสมมากมายในวิหารเป็นตาย อาศัยแค่ตัวตนสูงส่งอย่างศิษย์พี่หลิงเทียนยังสามารถจดจำศิษย์ตัวเล็กๆเช่นมันได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายใช้ให้มันทำอะไร หากมันกระทำได้มันย่อมยินดีกระทำ!
“ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก…”
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถึงเรื่องที่จะให้กวนซิ่วช่วย ซึ่งไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าขอให้กวนซิ่วช่วยเหลือเรื่องที่จะทำให้เขาหลบออกจากลัทธิบูชาไฟได้โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น โดยการนำบางสิ่งไปวางไว้ในหุบเขาอันรกชัดร้างผู้คนทางตอนใต้ของลัทธิบูชาไฟ ห่างออกไปหลายพันลี้…
และสิ่งของที่เขาคิดให้กวนซิ่วนำไปวางไว้ที่นั่นก็คือกล่องเล็กๆใบหนึ่งที่ไม่อาจใส่ไว้ในแหวนพื้นที่ได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดระหว่างการเคลื่อนย้ายขนส่งกล่องใบนี้ก็คือ ห้ามทำให้มั่นสั่นไหวเด็ดขาด กระทังแรงสั่นสะเทือนบางเบาก็ไม่ได้!
“ส่วนกล่องเล็กๆที่ข้าว่า เจ้าจะเจอมันที่กิ่งไม้ฝั่งซ้ายบนต้นไม้ต้นนั่น พรุ่งนี้ข้าจะลอบเอามาวางไว้แต่เช้า”
ขณะอธิบายให้กวนซิ่วฟังต้วนหลิงเทียนก็ชี้มือไปทางต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ในเขตบ้านพักของกวนซิ่ว
“นอกจากนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรอคนมารับของ เพียงแค่นำกล่องเล็กๆนั่นไปให้ถึงที่หมายแล้ววางเอาไว้ในพื้นที่ปิดก็พอ…หลังจากนั้นเจ้าก็กลับได้เลย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวอธิบายออกมารวดเดียวจบ กวนซิ่วก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
‘กล่องเล็กๆแต่มิอาจใส่ไว้ในแหวนพื้นที่ได้งั้นหรือ อีกทั้งยามเคลื่อนย้ายห้ามสั่นไหวแม้แต่นิดเดียว…ช่างเถอะ! ในเมื่อศิษย์พี่หลิงเทียนมาขอให้ข้าช่วย ต้องมีเหตุผลที่ต้องระวังถึงขั้นนั้นเป็นแน่!แต่เรื่องเพียงเท่านี้ข้าย่อมทำได้ไม่ยากเย็น!!’
หลังต้วนหลิงเทียนจากไป กวนซิ่วแม้จะสงสัยอยู่บ้างว่าที่แท้เป็นกล่องอะไรกันแน่ แต่มันก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
เกรงว่าต่อให้หลับกวนซิ่วก็ไม่อาจฝันถึง
ต้วนหลิงเทียนให้มันช่วยพาตัวเขาออกจากลัทธิบูชาไฟ!
กล่องขนาดเล็กนั่น เขาทำเพื่อเก็บเจดีย์หลิงหลง 7สมบัติไว้ด้านใน
และหากเขาอยู่ในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ที่บรรจุอยู่ในกล่องนั่นล่ะก็ ขอเพียงในระหว่างเคลื่อนย้ายกล่องใบเล็กไม่ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆ ตัวเขาก็จะไม่ถูกขับออกมาจากเจดีย์
เพราะเรื่องนี้เขาถึงได้กำชับให้กวนซิ่วฟังอย่างละเอียดว่าห้ามทำให้กล่องใบนั้นสั่นไหวเด็ดขาด! เพราะหากกล่องสั่นไหว เจดีย์ในกล่องย่อมสั่น มิติที่ในเจดีย์ที่ยังเสถียรไม่มากพอย่อมขับเขาออกมาทันที และเรื่องเจดีย์อาจถูกเปิดเผยได้!
จากเรื่องนี้ก็เผยให้เห็นว่า
ต้วนหลิงเทียน เพื่อที่จะออกจากลัทธิบูชาไฟแล้ว เขาถึงกับกล้าเสี่ยงครั้งใหญ่!