WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2085
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2085
ตอนที่ 2,085 : หวังยี่ฝัว!
“ก็ยามที่ข้าออกไปหาอันใดรับประทานที่เหลาอาหาร ข้าก็ฟังๆจากผู้ฝึกตนที่แวะเวียนผ่านมา…”
ได้ยินคำถามทั้งเห็นความสงสัยบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงก็ยิ้มตอบไปทันที “นอกจากนั้นข้ายังได้ยินมาว่า ผู้นำที่จัดตั้งกองกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรของเมืองคงหมิง ก็เป็นผู้ฝึกตนเพนจรที่มาจากนครแห่งบาปเช่นกัน!”
ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินเรื่องพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรมาแล้ว จากการนั่งฟังข้อมูลในเหลาอาหาร
เหตุผลในการดำรงอยู่ของพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรก็ง่ายดายนัก เพื่อให้เหล่าผู้ฝึกตนพเนจรไม่ต้องถูกรังแก และตกเป็นเบี้ยล่างรวมถึงโดนเอาเปรียบจากเหล่าตระกูลใหญ่ทั้ง 3 ของเมืองคงหมิง…
เห็นว่าผู้นำ พันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรในเมืองคงหมิงแห่งนี้ ยังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์เช่นกัน แถมพลังฝีมือของมันยังไม่อ่อนด้อยกว่าสุดยอดฝีมือของตระกูลใหญ่ทั้ง 3 ด้วย!
ล้อกันเล่นหรือไง!
หากพลังฝีมือของมันอ่อนด้อยกว่าสุดยอดฝีมือของตระกูลใหญ่ทั้ง 3 ไหนเลยมันจะคานอำนาจตระกูลใหญ่ทั้ง 3 ได้?
“รายละเอียดลงลึกของนครแห่งบาปข้าย่อมมิรู้หรอก…แต่ข้าคิดว่าผู้นำพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรของเมืองคงหมิงต้องรู้เรื่องนครแห่งบาปไม่น้อยแน่ พี่ใหญ่หลิงเทียนลองไปถามมันดูสิ”
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็คิดไว้แบบนั้น
“มู่ชิง”
ก่อนที่จะจากไป ต้วนหลิงเทียนที่ลุกขึ้นยืนก็หันไปมองชิวมู่ชิงพร้อมยิ้มกล่าว “มาเมืองคงหมิงครั้งนี้ได้พบเจ้า ข้ารู้สึกยินดีไม่น้อย…หวังว่าวันหน้าถ้ามีโอกาสพวกเราจะได้พบกันอีกครั้ง”
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…ท่านกำลังจะจากไปแล้วหรือ?”
ชิวมู่ชิงที่ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ย่อมตระหนักได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนกำลังจะไปแล้ว ทันใดนั้นหน้างามอดไม่ได้ที่จะหมองลงทันตา
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ ค่อยพูดต่อ “ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า แต่ที่ข้ามาเมืองคงหมิงเพราะคิดหาข้อมูลเรื่องสถานที่ๆมีคนชั่วอยู่เยอะๆโดยเฉพาะ…ตอนนี้ ข้าได้คำตอบแล้ว”
ชิวมู่ชิงย่อมไม่คิดไม่ฝันว่าต้วนหลิงเทียนมาเมืองคงหมิงด้วยเหตุผลนี้
ด้วยเหตุนี้หน้างามที่กำลังเศร้าหมองของนางพลันเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่หลิงเทียน…ท่าน…ท่านคงมิได้คิดจะไป ‘นครแห่งบาป’ หรอกนะ?”
“อ่า ข้าจะไปที่นั่น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร
หลังได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน หน้าชิวมู่ชิงอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง “พี่ใหญ่หลิงเทียนแม้พลังฝีมือของท่านจะสูงส่ง…กระทั่งไร้เทียมทานในเมืองคงหมิง…”
“ทว่าในนครแห่งบาปนั่น ว่ากันว่ากระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ที่มีด่านพลังฝึกปรืออยู่ที่เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนก็ยังมี! กระทั่งยังมียอดฝีมือที่พลังฝึกปรือเหนือกว่าขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนมากมายนัก…ท่าน…”
กล่าวถึงตรงนี้ชิวมู่ชิงก็กังวลจนร้อนใจหาคำใดมากล่าวต่อไม่ถูก
ได้ยินความวิตกกังวลและความเป็นห่วงที่แฝงเร้นอยู่ในน้ำเสียงของชิวมู่ชิง ต้วนหลิงเทียนรู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย ทว่าเขาเลือกจะกล่าวออกมาตรงๆ “มู่ชิง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของข้า…แต่นครแห่งบาป ข้ามิอาจไม่ไป!”
“ตอนนี้ภรรยากับลูกสาวตัวน้อยของข้าถูกขังไว้ในที่ๆมิอาจเห็นเดือนเห็นตะวัน…หากข้าไปนครแห่งบาปมันจะทำให้ข้าสามารถช่วยเหลือพวกนางได้เร็วที่สุด!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเรื่องที่จะช่วยลูกเมียของเขาออกมาตรงๆ
แต่เป็นธรรมดาว่าเขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องที่ลูกเมียของเขาถูกจับขังอยู่ในลัทธิบูชาไฟ
และยังมีสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกกล่าวถึงเรื่องนี้อยู่อีกอย่างด้วย…
เนื่องจากชิวมู่ชิงเปลี่ยนมาเรียกหาเขาว่าพี่ใหญ่หลิงเทียนแทนคุณชาย อีกทั้งจากสีหน้าแววตาและท่าทางของนางที่เผยออกมาให้เห็นยามอยู่ต่อหน้าเขา
ไม่ต้องให้ชิวมู่ชิงกล่าวบอกออกมาตรงๆ เขาก็รู้ได้ว่านางบังเกิดความประทับใจในตัวเขาเข้าแล้ว…กระทั่งอาการขวยเขินเอียงอายยามคุยกับเขานั้น บ่งบอกให้รู้ว่านางไม่พ้นต้องมีใจให้เขาเป็นแน่ ไม่ว่าจะตกหลุมรักเขาแล้วก็ดี หรือยังพึ่งชอบพอเขาก็ดี แต่เขาก็ไม่อยากจะให้ความหวังใดๆกับนาง
ที่เขาเลือกจะกล่าวถึงภรรยาและลูกสาวออกมา ก็เพื่อให้นางตัดใจเสียตั้งแต่เนิ่นๆ!
จริงอยู่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านางนับเป็นสตรีที่ดีนางหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยหน้าตาหรือจิตใจ ต้วนหลิงเทียนในฐานะผู้ชายก็มีหวั่นไหวถูกใจอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงภรรยาทั้ง 2 คน และสตรีคนรักอย่างเฟิ่งเทียนหวู่ที่หายตัวไป เขาก็ไม่มีใจเหลือเผื่อแผ่ไปชอบพอหญิงอื่น
บุรุษสามารถหวั่นไหวหลงใหล แต่มิอาจมากรัก!
ต้วนหลิงเทียนเองก็ยึดถือเรื่องนี้เป็นหลักการ และ ‘พยายาม’ ปฏิบัติตามหลักการนี้มาโดยตลอด!
“ท่าน…ท่านมีภรรยาแล้วหรือ…”
ดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด สีหน้าชิวมู่ชิงเปลี่ยนเป็นซีดลงทันใดเมื่อได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ดวงตาดั่งสารทฤดูยามนี้ยิ่งมายิ่งหม่นหมอง คล้ายจะสูญเสียประกายไปหมดสิ้น
ตอนนี้ท่าทางของชิวมู่ชิงช่างซึมเซาหมดอาลัยชวนให้ผู้คนพลอยหดหู่ไปด้วยนัก
“อือ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าค่อยกล่าวออกมาอีกครั้ง “เอาล่ะ ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้ว…มู่ชิง ชายชราทั้ง 3 นั่นเป็นของขวัญที่ข้าตั้งใจทิ้งไว้ให้เจ้าก่อนจากไป…”
“ตราบใดที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ในเมืองคงหมิงแห่งนี้ เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครหน้าไหนมาบีบคั้นบังคับให้เจ้ากระทำในสิ่งที่เจ้าไม่อยากกระทำอีก…”
สิ้นเสียงกล่าว ไม่ทันที่ชิวมู่ชิงจะรู้สึกตัว ร่างต้วนหลิงเทียนก็วูบหายจากไปต่อหน้าชิวมู่ชิง หายไปจากเขตที่พักตระกูลชิวไปในชั่วพริบตา…
ด้วยความเร็วของต้วนหลิงเทียน ชิวมู่ชิงย่อมไม่อาจมองเห็นได้แม้แต่เงา
ต้วนหลิงเทียนหายตัวไปแบบนี้ ชิวมู่ชิงก็รู้สึกใจหายอยู่บ้าง ทว่าสุดท้ายนางก็สงบอารมณ์ได้
ในหูของนางพลันมีเสียงต้วนหลิงเทียนดังซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“ในเมืองคงหมิงแห่งนี้เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครหน้าไหนมาบีบคั้นบังคับให้เจ้ากระทำในสิ่งที่เจ้าไม่อยากกระทำอีก…”
วาจานี้นับว่ากระทบใจของชิวมู่ชิงให้บังเกิดความหวั่นไหวอย่างแท้จริง
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะปรากฏตัว นางยังต้องกังวลถึงเรื่องที่จะต้องแต่งกับตงฟางฉู่ทุกเมื่อเชื่อวัน…
ทว่าหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัว ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหานี้ให้นางได้อย่างหมดจด! ยังมอบองครักษ์ที่มีพลังฝีมือสูงส่งให้นางถึง 3 คนด้วยกัน! ทำให้นากลายเป็นผู้ที่มีขุมพลังกล้าแข็งและมีอำนาจสูงที่สุดในเมืองคงหมิงคนหนึ่ง!!
ตอนนี้ฐานะของนางในตระกูลชิวได้เหนือบิดาของนางที่เป็นประมุขไปแล้ว กระทั่งอาวุโสหลักที่นางเคารพมากที่สุด นางก็ยังถือว่ามีอำนาจเหนือกว่า…
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…”
ไม่ทราบว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าตอนนี้ชิวมู่ชิงกลับหันหน้าไปมองฟ้าไกลทิศทางหนึ่ง ยังเป็นทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนจากไป แววตาของนางยิงมาก็ยิ่งเผยประกายเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทราบว่าในใจครุ่นคิดอันใดอยู่
แน่นอนว่าสาเหตุที่นางสามารถตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเหินร่างจากไปทางนี้ เพราะนางสังเกตเห็นทิศทางการเอนล้มของบุปผามากมายที่ปลูกไว้ในลานว่าง กระทั่งจนบัดนี้พวกมันยังโบกไหวๆ ราวถูกกสายลมแรงพัดพา…
ต้วนหลิงเทียนก็เช่นกัน คนดั่งสายลมพัด…ผ่านมาแล้วก็จากไป หายลับไปต่อหน้าต่อตาชิวมู่ชิงอย่างไร้ร่องรอย
แน่นอนว่าแม้ต้วนหลิงเทียนจะหายลับไปต่อหน้าต่อตา ผ่านมาแล้วก็จากไปดั่งสายลมไร้ร่องรอย ทว่าชิวมู่ชิงก็จดจำทุกสิ่งอย่าง และตราตรึงร่างชุดม่วงเอาไว้ในใจดั่งตราประทับที่มิอาจลบเลือน
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนคงไม่คิดไม่ฝัน
ว่าอีกไม่นานเขาจะได้พบเจอชิวมู่ชิงอีกครั้ง และยังไม่ใช่ในเมืองคงหมิงแห่งนี้…
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวในภายหลัง
ส่วนในปัจจุบันนั้น ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างออกจากเขตที่พักตระกูลชิว ก็มุ่งหน้าไปยังฐานของพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจร เพื่อตามหาตัวผู้ฝึกตนพเนจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน ที่เป็นผู้ก่อตั้งทันที
…
หอเมฆมรกต…นับเป็น 1 ในหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองคงหมิงแห่งนี้ และยังเป็นกิจการที่ทำกำไรได้สูงล้ำของตระกูลเฝิงอีกด้วย..
สถานที่แห่งนี้มีทั้งนางโลมที่เป็นเลิศเรื่องดนตรีทั้งร่ายรำยึดถือหลักขายศิลปะไม่ขายตัว รวมถึงนางโลมที่ขายบริการและมีรูปโฉมงดงามเป็นที่สุดอยู่…ผู้ใดก็ตามที่ร่ำรวยมั่งคั่งและมีฐานะสูงส่งในเมืองคงหมิง หากจะเที่ยวก็มักจะแวะเวียนมาเที่ยวสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งคราวเพื่อผ่อนคลาย…
ไม่ว่าจะชมดูสาวงามเต้นรำก็ดี ฟังเพลงกระทั่งหาคนร่ำสุราสนทนาคลายเหงาก็ดี หรือแม้แต่เสพย์สุขกับหนั่นเนื้อรับความหฤหรรษ์จากสัมพันธ์ข้ามคืนก็ดี หอเมฆมรกตแห่งนี้ล้วนตอบทุกโจทย์ของท่านได้อย่างครบสมบูรณ์
หอเมฆมรกตแห่งนี้ไม่เพียงหรูหรามีระดับ ยังกว้างใหญ่ไพศาล มีหอห้องเรือนพักพร้อมลานส่วนตัวปลูกสร้างเอาไว้มากมาย
ณ ศาลาริมสระของเรือนพักหลังหนึ่ง ปรากฏร่างชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาแลดูธรรมดาคนหนึ่งกำลังนั่งๆนอนๆบนเก้าอี้เอนที่สร้างจากหินอ่อนอย่างดีอันตั้งอยู่ริมศาลาข้างหนึ่ง
ข้างกายของมันทั้งซ้ายขวาปรากฏสตรีรูปร่างหน้าตาจิ้มลิ้มไร้ตำหนิคอยปรนนิบัติอยู่ 2 คน
สตรีนางหนึ่งกำลังเด็ดองุ่นออกจากพวง ใช้มือน้อยคอยปอกเปลือกองุ่นอย่างละเมียดละไม ยื่นป้อนถึงปากมันอย่างช้าๆทีละลูกๆ
ส่วนสตรีอีกนางนั้นกำลังบีบนวดหน้าแข้งของมันอย่างแข็งขัน การเคลื่อนไหวแลดูอ่อนโยนแช่มช้อย เมื่อมองลงมาก็เห็นเนินเนื้อขาวกระจ่างแต่พองาม เนื่องเพราะชุดเสื้อผ้าของพวกนางที่สมควรเปิดเผยก็เปิดเผย ที่สมควรปกปิดก็ปกปิดเชิงกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นได้อย่างเย้ายวนนัก
หากทว่าสายตาและความสนใจของผู้ที่นั่งๆนอนๆบนเก้าอี้เอนหินอ่อน หาได้อยู่ที่สตรีที่ปรนนิบัติทั้งสองไม่ กลับเป็นเวทีขนาดกลางๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางศาลา
เวทีกลางศาลาที่ว่านับว่าตกแต่งอย่างประณีตไม่น้อย ขอบเวทีด้านหนึ่งปรากฏสตรีร่างบางกำลังดีดกู่ฉินอย่างคล่องแคล่วว่องไว นิ้วนางยามรัวดีดสายสร้างสำเนียงพริ้งเพราะ ยังรัวจนเห็นเป็นเงาเลือน
ถัดมาบนเวทีนั้นก็มีนางรำที่กำลังร่ายรำประกอบจังหวะเพลงอยู่ 9 คน ทุกท่วงท่าของพวกนางนับว่าแช่มช้อยงดงามคล้อยตามท่วงทำนอง ที่อ่อนโยนก็แลดั่งสายน้ำไหล ที่แผ่วพริ้วก็ดั่งสายลมปลิวพัด นับว่าต่อให้คนที่ไม่รู้จักศิลปะการร้องรำทำเพลงอันใดมาก่อนเลยมาดูชม ก็ถึงกับต้องชมดูอย่างเพลินตาจนลืมเลือนเวลา
“จึกๆๆ…ผู้นำหวังช่างรู้จักเสพย์สุขและใช้ชีวิตอย่างเกษมสำราญเสียจริง เป็นอย่างไรบ้างเล่า…ที่เมืองคงหมิงแห่งนี้ความเป็นอยู่ของผู้นำหวังใช่ดีกว่าที่นครแห่งบาปมากหรือไม่?”
ทว่าทันใดนั้นเองพลันปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้นในอากาศว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย พาลให้ผู้คนในศาลาริมสระแห่งนี้ถึงกับตกใจอยู่บ้าง ชายวัยกลางคนที่นั่งๆนอนๆอยู่ถึงกับลุกพรวดขึ้นมา ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
สำหรับสตรีที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายมันทั้ง 2 เมื่อพบเหตุเปลี่ยนแปลงก็หวาดกลัวจนหน้าเสียทันที
“ผู้ใด?!”
ชายวัยกลางคนที่ลุกขึ้นมา เร่งหันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวัง ตะโกนถามออกเสียงดัง จนเหล่านางรำทั้ง 9 บนเวทีไม่เว้นสตรีผู้บรรเลงเพลงก็แตกตื่นกันไม่น้อย ต่างนิ่งค้างไปด้วยความหวาดกลัว ด้วยรู้ดีว่าเรื่องราวบัดนี้ผิดท่าแล้ว…
วูบ
ทันใดนั้นเอง ปรากฏสายลมแผ่วเบาหอบหนึ่งพัดโชยเอื่อยๆในศาลา เป็นร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่ไม่ทราบว่าไปอยู่บนขื่อศาลาตั้งแต่เมื่อไหร่โรยตัวลงมายืนบนพื้นด้วยท่าทีสบายๆไม่รีบไม่ร้อน
เป็นต้วนหลิงเทียนที่ออกจากตระกูลชิวมาก่อนหน้านี้นั่นเอง!
เมื่อต้วนหลิงเทียนมาปรากฏตัวที่นี่ได้ เช่นนั้นฐานะของชายวัยกลางคนที่กำลังเพลิดเพลินใจกับเสียงเพลงนางรำ และสตรีที่ปรนนิบัติอยู่เมื่อครู่ก็ถูกเปิดเผยแล้วเป็นธรรมดา!
ผู้นำกองกำลังพันธมิตรผู้ฝึกตนพเนจรแห่งเมืองคงหมิง หวังยี่ฝัว!
“เจ้าที่แท้เป็นผู้ใด ไฉนต้องมารบกวนเวลาพักผ่อนชมนางรำของข้าด้วย?”
มองไปยังต้วนหลิงเทียนที่ราวกับปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าของหวังยี่ฝัวอัปลักษณ์ปั้นยากนัก อย่างไรก็ตามด้วยฐานะที่ไม่ใช่ชั่วในเมืองทั้งมีสตรีมากมายชมดู มันยังปั้นหน้าไม่หวาดกลัว ชักหน้าชักตาขึงขังเอาเรื่อง เสียงที่กล่าวถามยังเข้มหนักดุดัน
วู้ม!
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่หวังยี่ฝัวกล่าวถาม พลังเซียนสุริยันในร่างต้วนหลิงเทียนก็ปะทุออกเกรี้ยวกราด พาลให้รอบกายบังเกิดคลื่นพลังปั่นป่วน พริบตาก็ก่อเกิดเป็นวังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่ง!
“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”
ชั่วพริบตาต้วนหลิงเทียนก็ดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆ เพิ่มพูนพลังเซียนสุริยันในร่างให้กล้าแข็งจนถึงขีดสุด!
เรื่องราวทั้งหมดล้วนบังเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ว่องไวเกินกว่าที่หวังยี่ฝัวจะตอบสนองอันใดได้ทัน!
“ฮึ่ม!”
หลังจากที่หวังยี่ฝัวตอบสนองเรื่องราว การเคลื่อนไหวของมันก็แลดูเป็นธรรมชาตินัก สองเท้าฉีกออกกระจายน้ำหนักให้ยืนหยัดมั่นคง มือสะบัดเรียกดาบใบกว้างมากระชับถือเอาไว้ แผ่นหลังงอลงเล็กน้อย ท่วงท่าสภาวะกลายเป็นพร้อมรบพุ่งในชั่วพริบตา มวลพลังทั่วร่างยังถูกเร่งเร้าโคจรให้ปกคลุมไปทั่วกาย
พลังเซียนต้นกำเนิดขุมหนึ่งยังหลั่งไหลถ่ายทอดลงสู่ดาบใบกว้างปานธารเชี่ยว ใบดาบพลันเปล่งแสงพลังเรืองรอง แผ่ซ่านกลิ่นอายพลังอันคมกล้าดุร้ายออกมากดดันในบรรยากาศ! จากแรงกดดันดังกล่าว…เผยให้รู้ชักว่าดาบใบกว้างเล่มนี้ ที่แท้คือศาสตราเซียนร้อยอาคมเซียนเล่มหนึ่ง!!
“ดาบร้อยอาคมเซียนหรือ? ไม่เลวนี่…”
ขณะเดียวกันกกับที่หวังยี่ฝัวเร่งเร้าสภาวะพร้อมรบ ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆย่างเท้าก้าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน ปากเอ่ยคำออกเสียงเบาไปพร้อมๆกัน
ทว่าพริบตาที่กล่าวจบคำ และเท้าของต้วนหลิงเทียนที่ยกย่างย่ำจรดลงพื้น…
ทันใดนั้นเอง!
ฟั่ฟฟฟฟ!!
บังเกิดเสียงหวีดหวิวของกกระบี่แหวกฝ่าสายลมฉับไวดังขึ้นสั้นๆเข้าหูหวังยี่ฝัว เสียงนี้ยังแผ่วเบาปานเสียงกระซิบของภูตผี พาลให้หวังยี่ฝัวตื่นตระหนกตกใจ กระทั่งยังสะเทือนสะท้านไปทั้งกาย!
เพราะเพียงฟังมันก็ตระหนักได้ทันทีว่าเป็นเสียงตวัดกระบี่ ยังเป็นการตวัดกระบี่อันฉับไว! สุดที่สายตามันจะจับร่องรอยกระบี่ได้ทัน! ลูกตาของมันหดหยี ใบหน้าเผยความหวาดผวาเสียขวัญ!!
แฉ็ก!!
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ลูกตาของหวังยี่ฝัวหดหยี เสียงดังเบาๆอีกเสียงพลันดังเข้าหูมัน
เสียงนี้ฟังแล้ว ยังคล้ายเสียงมีดหั่นเต้าหู้ยามลงครัวอยู่บ้าง…!