WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2110
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2110
ตอนที่ 2,110 : เซี่ยจงมาเคาะประตูถึงหน้าบ้าน?
ฟืด!
ฟืด!
ฟืด!!
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าเขากำลังจะสติแตกเต็มที!
อันที่จริงหลายๆคนในภูมิภาคเบื้องบนก็มีอาการดุจเดียวกันนี้
เพราะหากปีศาจมันเตรียมความพร้อมและบุกขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนได้จริงๆล่ะก็ ไม่แน่ว่าพวกมันยังจะหลงเหลือคืนวันอันดีอีกต่อไป
แค่นั้นยังไม่พอ
หากยุคมนุษย์ปีศาจหวนกลับมาอีกครั้งจริงๆ ปีศาจจะประหนึ่งฝูงตั๊กแตนห่าใหญ่ที่กวาดผ่านไปทั่วทุกซอกทุกมุมของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบน ถึงตอนนั้นไม่ว่าผู้ฝึกตนมนุษย์จะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็ไม่พ้นถูกเจอในที่สุด
“ให้ตายเถอะ! ไฉนในโลกนี้ถึงได้มีพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจนั่นอยู่ด้วยเล่า!?”
“หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ข้าคงไม่รู้เลยว่าที่แท้ผู้ฝึกมารทั้งหลาย ได้วิถีแห่งมารมาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจนั่นเอง…ยุคมนุษย์ปีศาจช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”
“ข้าเพียงหวังว่าทุกเรื่องราวเป็นแค่การคาดเดาไปเองเท่านั้น และที่จริงค่ายกลที่ภูมิภาคเบื้องล่างสมควรเกิดเหตุขัดข้องเป็นการชั่วคราว…”
……
ในนครแห่งบาปวาจาทำนองนี้ดังระงมไปทั่ว
เมื่อเวลาผ่านไป อาการแตกตื่นของผู้คนก็ค่อยๆสงบลง ถึงแม้พวกมันจะกังวลใจและหวาดกลัวปีศาจบุกรุกขึ้นมาในภูมิภาคเบื้องบน แต่พวกมันก็ไม่ได้กลัวจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนตอนได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ครั้งแรก
เพราะไม่ว่าจะพูดอย่างไร เผ่าพันธุ์ปีศาจก็ยังไม่ได้บุกมาถึงภูมิภาคเบื้องบน
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นการคาดเดาไปเอง จากการที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคใช้การไม่ได้เท่านั้น! ไม่แน่ว่าค่ายกลที่ภูมิภาคเบื้องล่างอาจจะยังไม่ได้ถูกทำลาย แต่มีปัญหาอะไรบางประการที่ขัดขวางคนไม่ให้เดินทาง…!
แต่แน่นอนว่าถึงเรื่องที่คาดเดาไปจะเป็นความจริงขึ้นมา แต่ตอนนี้พวกมันก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย
ทำได้แค่รอเท่านั้น
‘ตอนนี้ไม่ว่าข้าจะร้อนรนอะไรไปมันก็เท่านั้น…ได้แต่หวังว่าทุกสิ่งอย่างจะเป็นแค่การคาดเดาเรื่อยเปื่อย และไม่เกิดขึ้นจริงๆ’
หลังย้อนกลับมาถึงนครแห่งบาป ต้วนหลิงเทียนก็พยายามสงบสติอารมณ์ เลือกที่จะภาวนาในใจแทน
ไม่นานนักบรรยากาศภายในนครแห่งบาปก็ค่อยๆหวนสู่ความสงบ ความตื่นตระหนกสลายหายไปหลายส่วน
แน่นอนว่าแม้คนส่วนมากจะสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ แต่ก็ไมใช่ว่าจะไม่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวอยู่ในใจ
ทว่าทั้งหมดเพียงสงบกันได้ไม่ทันไร ความเคลื่อนไหวของผู้คนจากกองกำลังและขุมพลังระดับสูงๆ ก็ทำให้บรรยากาศในนครแห่งบาปกลายเป็นตึงเครียดอีกครั้ง
นั่นเพราะผู้คนจากขุมพลังระดับสูง ได้ออกมารวบรวมทรัพยากรทุกชนิด!
และจุดประสงค์ในการสะสม ‘เสบียง’ ของพวกมันก็แลเห็นได้ชัดเจน!
รับมือการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจ!
ตระเตรียมเสบียงให้พร้อมพรั่ง ยามเมื่อปีศาจบุกขึ้นมาจริงๆพวกมันจะได้ตั้งรับได้อย่างมั่นคง เพื่อหยั่งถึงกำลังพลฝ่ายตรงข้าม!!
แน่นอนว่าก่อนที่เสบียงจะหมดลง พวกมันย่อมวางมาตรการตอบโต้เสร็จเรียบร้อย!
สำหรับการรับกับมือปีศาจที่ไม่ทราบว่าจะบุกรุกขึ้นมาตอนไหน…นี่นับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“จึกๆ…ไม่ทันไรก็มีคนของอารามทมิฬมากว้านซื้อทรัพยากรบ่มเพาะไปทั่วนครแห่งบาป แถมพวกมันยังให้ราคาสูงกว่าขุมกำลังอื่นๆถึง 2 เท่า”
“ขุมกำลังอื่นๆเองก็เสนอราคาในการซื้อขายที่สูงกว่าเดิมไม่น้อยแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่มีใครคิดจะขายให้พวกมันเลย”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว ตอนนี้ปีศาจจะบุกขึ้นมาหรือเปล่าก็ยังไม่อาจตอบได้ชัด…อย่างไรเสียก็จำต้องป้องกันไว้ก่อน มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่ส่งมอบวัตถุดิบและทรัพยากรทั้งหมดออกไปในเวลาแบบนี้”
……
เหลาอาหารในนครแห่งบาป ที่ดังๆก็มีอยู่ไม่กี่แห่ง เหล่าผู้ที่มาดื่มกินก็กล่าวถึงเรื่องนี้กันอย่างหนาหู
ในวาจายังฉายถึงความดูแคลนการกระทำของขุมกำลังทั้งหลายที่เข้ามากว้านซื้อหาทรัพยากรในเมือง ในนั้นรวมถึงลัทธิอารามทมิฬด้วย!
“ลัทธิอารามทมิฬ”
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างเหลา พอได้ยินบทสนทนาของผู้ที่มาดื่มกินโต๊ะนั้น สองตาเขาหดเล็กลงทันใด ยังมีประกายเยียบเย็นสว่างวาบขึ้นมา
ทันทีที่ได้ยินคำ ‘ลัทธิอารามทมิฬ’ สิ่งแรกที่เขานึกถึงก็คือ ‘เซี่ยจง’ อาวุโสของลัทธิอารามทมิฬที่ชิงตราผนึกมารของเขาไปในอดีต!
บางครั้งโลกใบนี้ก็ช่างแคบนัก
“จะว่าไปคนของลัทธิอารามทมิฬที่มาตระเวนรวบรวมทรัพยากรครั้งนี้ หากข้าดูไม่ผิดสมควรเป็นเซี่ยจง!”
ทันใดนั้นเองเสียงจากนักดื่มคนหนึ่งพลันทำให้ต้วนหลิงเทียนหูผึ่งทันที แววตายิ่งมายิ่งเยียบเย็น ยังคมกล้าปานมีดดาบ
เซี่ยจงมันมานครแห่งบาป?
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนเสมือนได้เห็นโอกาสในการล้างแค้น!
“เซี่ยจงไหน? เซี่ยจงที่เป็นบุตรชายของจ้าวราชสีห์ขนทองน่ะรึ?”
“เป็นมันนั่นล่ะ!”
“พอพูดถึงมันขึ้นมา จะว่าไปเจ้าเซี่ยจงผู้นี้มันก็โชคดีไม่น้อยเลย…เห็นว่ามันลงไปภูมิภาคเบื้องล่างเมื่อหลายปีก่อน เพื่อช่วงชิงตราผนึกมารจากผู้ฝึกตนที่นั่นมานี่!”
“ใช่ เรื่องนี้นับว่ามันมีโชคจริงๆ แต่เดิมตราผนึกมารนั่นก็จัดการได้แต่พวกผู้ฝึกมารเท่านั้น ทว่าหากพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจมันบุกรุกขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนของพวกเราจริงๆ ตราผนึกมารที่มันมีย่อมให้ผลลัพธ์อันเลิศล้ำแน่! ว่ากันว่าตราผนึกมาจะยิ่งทรงพลังมากขึ้นหากพบพานกับเผ่าพันธุ์ปีศาจที่แท้จริง!!”
“มิผิด! หากจ้าวลัทธิอารามทมิฬ หรือชนชั้นมหาธรรมราชาทั้ง 4 นั่นใช้ตราผนึกมารล่ะก็ ต่อให้เป็นปีศาจที่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็ต้องมีหนาวๆร้อนๆกันบ้าง พวกมันคงไม่กล้าหืออือทำอะไรวู่วามลัทธิอารามทมิฬแน่!”
“จริง หากยุคมนุษย์ปีศาจหวนกลับมาจริงๆ ในบรรดายอดศาสตราเซียนทั้งหมด เห็นทีจะเป็นตราผนึกมารที่เดิมทีไม่ติดแม้แต่ 3 อันดับยอดศาสตราเซียนที่ร้ายกาจที่สุด จักได้เฉิดฉายโดดเด่นเหนือยอดศาสตราเซียนใดๆยามเผชิญหน้ากับพวกปีศาจแน่!”
….
หลังมีคนเปิดประเด็นเรื่องเซี่ยจงขึ้นมา เหล่าสิงห์สุราโต๊ะนั่นก็กล่าวถึงเรื่องตราผนึกมารราวกับพหูสูตร
ยังยกประเด็นเรื่องตราผนึกมารที่เคยเป็นประเด็นในอดีตขึ้นมาถกกันยกใหญ่
“ตราผนึกมาร?”
หน้าต้วนหลิงเทียนบิดเบี้ยวปั้นยากทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้จากปากนักดื่มทั้งหลาย
เพราะเดิมทีตราผนึกมารนั่นมันอยู่ในมือเขา! ทว่าเป็นเซี่ยจง ที่บุกมาทำร้ายทั้งชิงของไปต่อหน้าต่อตาเขาอย่างที่ไม่อาจต่อต้านขัดขืนมันได้!!
‘เซี่ยจง…ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไสหัวออกมาจากลัทธิอารามมายังนครแห่งบาปนี่ถึงที่…ในเมื่อเจ้ามาแล้วก็อย่าได้หวังจะกลับไป!’
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ยิ่งมาแววตาต้วนหลิงเทียนยิ่งกลายเป็นเนียบเย็นนัก หากใครถูกมองด้วยสายตาดังกล่าวเกรงว่าคงรู้สึกหนาวสะท้านปานตกอยู่ในหล่มน้ำแข็ง
‘ตอนนี้หวังแค่ให้ตราผนึกมารอยู่กับตัวมันเถอะ…พอฆ่ามันได้ ตราผนึกมารจะได้กลับมาเป็นของข้าอีกครั้ง!’
ต้วนหลิงเทียนลอบคาดหวังในใจ
แต่แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ยากนัก
เพราะสุดท้ายแล้วตราผนึกมารก็เป็นยอดศาสตราเซียน หลังเซี่ยจงกลับไปถึงลัทธิอารามทมิฬไม่พ้นมันต้องมอบให้บิดามันที่เป็น 1 ในมหาธรรมราชา จ้าวราชสีห์ขนทองแน่
มหาธรรมราชาทั้ง 4 ของลัทธิอารามทมิฬ ก็เป็นดั่งผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ของลัทธิบูชาไฟ ทั้งหมดล้วนเป็นตัวตนในขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนทั้งสิ้น
‘อย่างไรก็ตามไม่ว่าตราผนึกมารจะอยู่กับตัวมันก็ดี ไม่อยู่ก็ช่าง…ในเมื่อมันถ่อมานครแห่งบาปด้วยตัวเอง ข้าจะส่งมันไปตามทางกับมือ ไม่เพียงล้างอัปยศวันนั้น ยังเพื่อชำระแค้นให้พี่น้องทหารองครักษ์เกราะทมิฬของตำหนักเมฆาครามที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมรวมทั้งอาวุโสกู่มี่ด้วย!’
คิดถึงจุดนี้แววตาต้วนหลิงเทียนก็ท่วมท้นไปด้วยจิตสังหาร
ไม่รอช้าต้วนหลิงเทียนเร่งชำระค่าอาหารทันที
หลังออกจากเหลาอาหารแล้วต้วนหลิงเทียนก็เร่งเร้าโสตประสาทรับฟังเต็มกำลัง สืบหาที่อยู่ของเซี่ยจงทันที
เขาเหินร่างฟังเรื่องราวไปทั่วเมือง เค่อแรกนั้นยังไม่ได้อะไร
2 เค่อก็ยังไม่เจอคน
ทว่าเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดเขาก็สามารถระบุตำแหน่งที่แน่ชัดของเซี่ยจงได้
“เซี่ยจงนั่นพลังฝึกปรือของมันยังมิเสถียรดี สมควรพึ่งทะลวงมาถึงเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้มินาน…หากแต่ข้างกายมันมีเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนที่คอยคุ้มกันอยู่ แม้บางครั้งพวกมันจะแยกกันแต่ก็มิห่างกันมาก ยังอยู่ในระยะที่มันลงมือถึง…”
“หากเจ้าเลือกจะลงมือสังหารมันโดยตรง แน่นอนว่ามีโอกาสสูงที่เจ้าจักประสบผลสำเร็จ ทว่าเจ้าก็มิอาจรอดพ้นเงื้อมมือผู้คุ้มกันขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนคนนั้นได้…”
เสียงผู้เฒ่าหั่วดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน กล่าวเตือนเขาเอาไว้ด้วยความหวังดี ไม่ให้เขาลงมือวู่วามผลีผลาม
เพราะตอนที่ต้วนหลิงเทียนขอให้ผู้เฒ่าหั่วตรวจสอบพลังฝึกปรือเซี่ยจงกับชายชราที่อยู่ใกล้ๆเซี่ยจงนั้น
ผู้เฒ่าหั่วได้ยินความเร่งร้อนในน้ำเสียงต้วนหลิงเทียนชัดเจน ราวกับแทบทนรอฆ่าคนนามเซี่ยจงไม่ไหว!
“เจ้าสมควรเฝ้ารอโอกาสเหมาะ…เมื่อพวกมันแยกกันไกลแล้วจริงๆถึงค่อยลงมือฆ่าคน”
ผู้เฒ่าหั่วยังคงกล่าวเตือนออกมาอีกครั้ง ด้วยกลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ฟังแล้วลงมือฆ่าคนอย่างผลีผลามขึ้นมาจริงๆ
“ผู้เฒ่าหั่วท่านอย่าได้ห่วงไป เจ้านั่นไม่มีค่าพอให้ข้าเสี่ยงชีวิตหรอก…”
ได้ยินความกังวลใจของผู้เฒ่าหั่วต้วนหลิงเทียนก็ซาบซึ้งนัก ถึงแม้จริงๆแล้วน้ำเสียงเขาจะเร่งรีบฟังดูกระเหี้ยนกระหือรืออยู่บ้าง หากแต่ในใจนั้นยังคงนิ่งดั่งน้ำแข็ง ไม่ได้คิดทำอะไรผลีผลามแต่แรกหาไม่แล้วคงไม่อาจสะกดรอยตามชนชั้นเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนได้โดยทีอีกฝ่ายไม่รู้ตัว…
‘เซียนสวรรค์อมตะ 3 เปลี่ยนงั้นเหรอ…ยิ่งไปกว่านั้นฟังจากผู้เฒ่าหั่วแล้วดูเหมือนมันพึ่งจะทะลวงผ่านมาไม่นาน…’
‘เซี่ยจง…ดูเหมือนหลายปีที่ผ่านมาเจ้าแทบย่ำอยู่กับที่ไม่ได้ก้าวหน้าอะไรมากมาย! บางทีเจ้าคงไม่เคยคิดเคยฝันกระมัง ว่าในเวลาไม่นานมดปลวกในสายตาเจ้าวันนั้น วันนี้ลำบากเพียงท่าเดียวก็ฆ่าเจ้าได้!’
และอย่างที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกผู้เฒ่าหั่วไม่มีผิด ชีวิตสวะของเซี่ยจงไม่ได้มีค่ามากพอให้เขาเสี่ยงแม้แต่น้อย!
อย่างไรก็ตามหลังจากลอบสะกดรอยตามเซี่ยจงกับอาวุโสเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนนั่นกว่าหนึ่งชั่วยาม ทั้งคู่แม้จะตระเวนหากว้านซื้อทรัพยากรไปทั่ว แต่พวกมันก็ไม่ได้แยกย้ายกันไปไกลแต่อย่างใด ทำให้ในใจต้วนหลิงเทียนเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง
‘อาวุโสลัทธิอารามทมิฬคนนั้นทุกครั้งที่เซี่ยจงจะออกนอกระยะลงมือของมัน มันจะเป็นฝ่ายขยับเข้าใกล้เซี่ยจงด้วยตัวเองทุกที…ดูเหมือนมันจะได้รับคำสั่งมาให้ปกป้องเซี่ยจงอย่างดีที่สุด’
ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเรื่องราวนี้ได้ตั้งแต่แรกๆ จนจับตาดูผ่านไปพักใหญ่จึงมั่นใจได้เต็มสิบส่วน
‘รอนานกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์…ลงมือเลยแล้วกัน’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
แน่นอนว่าแม้เขาจะคิดลงมือแล้ว แต่ก็ไม่ใช่จะลงมือผลีผลามอย่างโง่งม ในเมื่อไม่มีโอกาส เขาก็แค่สร้างเองซะก็สิ้นเรื่อง!
ก็จริงอยู่ที่ไม่ต้องลำบากทำอะไร เขาก็สามารถสังหารเซี่ยจงได้
ทว่าหลังจากฆ่าเซี่ยจงได้แล้ว ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะรอดพ้นเงื้อมมือเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนนั่นได้ อีกฝ่ายสามารถลุถึงตัวเขาได้ในพริบตา ก่อนที่เขาจะทันได้ปลีกตัวไปอาศัยสภาพแวดล้อมในการสลัดการติดตาม…
ยังไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการฆ่าเซี่ยจงให้ได้ในกระบวนเดียว เขาก็จำต้องจ่ายพลังเซียนสุริยันไปไม่น้อยเพื่อใช้กระบี่นิลสวรรค์ ทำให้หลังจากลงมือฆ่าคนไปแล้ว พลังเซียนสุริยันทั่วร่างคงพร่องไปหลายส่วน ยิ่งไม่มีทางรับมืออะไรเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยนนั่นได้เลย
เขาฆ่าเซี่ยจงได้ในพริบตาก็จริง…
แต่อาวุโสลัทธิอารามทมิฬคนนั้นก็ฆ่าเขาได้ในพริบตาเช่นกัน!
‘ไม่ล่ออาวุโสลัทธิอารามทมิฬนั่นไปให้ห่างจากเซี่ยจง…ก็ต้องล่อเซี่ยจงไปให้ห่างจากอาวุโสนั่นสินะ จะได้มีโอกาสฆ่ามันได้ง่ายๆ’
ต้วนหลิงเทียนเริ่มคิดวิธีสร้างโอกาสฆ่าเซี่ยจงในใจ
“เอาล่ะ”
สอตาต้วนหลิงเทียนสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง
หลังผ่านไปราวๆหนึ่งก้านธูป ต้วนหลิงเทียนก็ร้อยเรียงแผนการสังหารเซี่ยจงอันดีงามเสร็จสรรพ!