WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2130
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2130
ตอนที่ 2,130 : รอยแยกท่ามกลางความว่างเปล่า!
ทางตอนเหนือของนครแห่งบาปตอนนี้ นับว่ามีผู้คนมารวมกันอุ่นหนาฝาคั่งนัก
ทั้งหมดลอยร่างอยู่รอบๆเขาลูกหนึ่ง
กล่าวให้ชัดคือมารวมตัวกันรอบๆ ‘ความว่างเปล่า’ จุดหนึ่งของขุนเขา
ในความว่างเปล่าที่ว่า ยามนี้คล้ายมีรอยปริแตก! มองไปคล้ายประตูที่แหวกเปิดท่ามกลางความว่างก็ไม่ปานปรากฏอยู่!!
และหากผู้ใดอยากทราบว่าภายในรอยแตกดังกล่าวมีอะไร คงยากที่จะล่วงรู้ได้ เพราะไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้ทั้งสิ้น
“ข้างในรอยแยกนี้คือคลังสมบัติของยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่เหลือทิ้งไว้จริงๆหรือ…ไฉนข้ารู้สึกใจไม่ค่อยดีอย่างไรก็ไม่ทราบยามมองไปยังรอยแยกน่าขนลุกนั่น”
ท่ามกลางผู้คนมากมาย ชายวัยกลางคนที่แลดูไม่โดดเด่นคนหนึ่งกล่าวออก สองตาหยีมองไปยังรอยแตกท่ามกลางความว่างเปล่าด้วยคววามหวั่นกลัว
“ข้าเองก็รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล…รอยแยกนี่กลับอยู่กลางอากาศ มองไปยังคล้ายปากกระหายเลือดของสัตว์ร้ายที่กำลังรอกลืนกินผู้คน!”
ชายอีกคนที่อยูข้างๆชายวัยกลางคน กล่าวออกด้วยความหวั่นใจ
“คลังสมบัติที่ยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือทิ้งไว้ในอดีต ทางเข้าของพวกมันเป็นเช่นนี้ด้วยหรือ?”
หลายคนอดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยสงสัย
“เมื่อร้อยปีก่อนข้ามีวาสนาได้เข้าไปแสวงโชคในคลังสมบัติที่ยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเหลือทิ้งไว้ ด้านในนั้นมีสมบัติเลิศล้ำสมกับเป็นสิ่งของๆเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆ อย่างไรก็ตามแม้ด้านในจะเต็มไปด้วยค่ายกลอันใดมากมาย ทว่าทางเข้าของมันกลับธรรมดานัก ห่างจากรอยแยกกลางอากาศที่แลดูน่ากลัวอย่างที่เห็นกันอยู่มาก”
ชายชราที่แลดูผ่านอะไรมามากคนหนึ่งกล่าวออก ในวาจายังเผยความหวาดกลัวต่อรอยแยกเบื้องหน้าชัดเจน
“ข้าว่าพวกเจ้ากังวลกันไปเกิดเหตุหรือไม่?”
ทันใดนั้นชายวัยกลางคนพลันกล่าวแทรกขึ้นมา “พวกเจ้ามิเห็นหรือว่าผู้นำพันธมิตรระดับสูงอย่าง พันธมิตร 7 สังหาร พันธมิตรพันสารท และพันธมิตรหมื่นโบราณ ยังกล้าเข้าไปโดนไม่กลัวอันใด หากมีอันตรายอันใดอยู่ด้านหลังรอยแยกนั่นจริง มีหรือตัวตนระดับนั้นจะกล้าเข้าไปง่ายๆ?”
และวาจานี้ของมันก็เป็นที่เห็นด้วยของผู้คนไม่น้อย “ใช่…หากกระทั่งผู้นำพันธมิตรที่มีฐานะสูงส่งทั้ง 3 ของนครแห่งบาปยังเข้าไปแสวงโชค…เช่นนั้นพวกเรายังจะกลัวอันใด?”
“นั่นสิ มิใช่หากยอดฝีมือที่ร้ายกาจระดับแนวหน้าของนครแห่งบาปเหล่านั้นเข้าไป อันตรายใดๆก็ไม่พ้นต้องถูกจัดการหมดสิ้นหรือไร ยังจะเหลือมาถึงพวกเราอีกหรือ?”
“ข้าก็ว่างั้น”
…
มีคนเห็นด้วยกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ยังไม่มีใครกล้าประเดิมเข้าไปในรอยแยกเป็นคนแรก
เพราะสุดท้ายแล้วรอยแยกเบื้องหน้า ก็เป็นอะไรที่ทุกคนคาดเดากันไปเองว่าอาจจะเป็นทางเข้าของคลังสมบัติยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเท่านั้น
จะใช่แน่หรือไม่ก็ไม่มีใครมั่นใจ
และสิ่งที่ไม่รู้ย่อมน่ากลัวที่สุด
ทุกคนรู้ความจริงข้อนี้ดี
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะมีคนมารวมตัวกันที่นี่มากมาย แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไป
‘สมบัติ’ ในคลังสมบัติของยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้นล้ำค่าน่าสนใจ แต่หากให้เทียบกับหนึ่งชีวิตของตัวเองแล้ว เกรงว่าจะยังไม่สำคัญพอ…
ไม่เป็นไรหากไม่ร้ายแรงถึงตาย
แต่ถ้าตกตายไปแล้วย่อมไม่เหลืออะไรเลย!
“เฮ่! ในเมื่อพี่ชายท่านนี้กล่าวว่าพวกเราอย่าได้กังวลจนเกินเหตุ…เช่นนั้นใยพี่ท่านไม่เปิดคนแรกเลยเล่า! ทันทีที่พี่ท่านโดดเข้าไป ข้าจักโดดตามเข้าไปเลยเป็นไร?”
ทันใดนั้นพลันมีชายหนุ่มคนหนึ่งหันไปกล่าวาคำกับชายวัยกลางคนที่เอ่ยถึงเรื่องกังวลเกินเหตุขึ้นมา
และวาจาของมันก็ชักนำสายตาของมวลชนที่ได้ยินเรื่องราว ให้หันไปจับจ้องมองชายวัยกลางคนๆดังกล่าวเพื่อรอฟังคำตอบทันที “ใช่ๆ เมื่อครู่เจ้าถามว่าพวกเราใช่กังวลเกินเหตุหรือไม่…เช่นนั้นใยผู้กล้าเช่นเจ้ามิเข้าไปประเดิมก่อนเล่า?”
“เอ้า! รออันใดยังไม่เข้าไปอีก! มิใช่เมื่อครู่เจ้ากล่าวราวกับมันไม่มีอันใดน่ากังวลมิใช่หรือไร?!”
“นั่นสิ มิใช่เจ้าบอกว่ายอดฝีมือชนชั้นผู้นำ 3 พันธมิตรใหญ่ของนครแห่งบาปเรายังเข้าไปอย่างไม่กลัวอันตรายหรือไร? ไฉนเจ้าไม่เข้าไปด้วยเลยเล่า?”
“อะไรๆ…ที่แท้เจ้าไม่กล้าหรอกรึ?!”
“ผายลมสุนัขมารดาเจ้า! ทีหลังหากตัวเจ้าเองยังกลัวอยู่ก็อย่าได้สะเออะมาบอกผู้อื่นว่าอย่าได้กังวล! กล้าพูดมาได้ไม่อายปาก!!”
…
เรียกว่ามวลชนต่างถล่มวาจาใส่ชายวัยกลางคนที่กล่าวออกมาก่อนหน้าปานระเบิดลง
เจอกับวาจาดุร้ายเผ็ดร้อนที่ประดังถล่มเข้ามา ชายวัยกลางคนที่ทำเป็นพูดดีก่อนหน้าถึงกับหน้าซีด ที่มันกล่าวออกไปแบบนั้นเพียงคิดให้ผู้อื่นเข้าไปกันก่อนเท่านั้น จะได้รู้ว่าที่แท้ปลอดภัยหรือไม่
เพราะจนถึงตอนนี้ ก็มีเพียงแค่ยอดฝีมือระดับสูงๆจากกองกำลังพันธมิตรที่ร้ายกาจของนครแห่งบาปเท่านั้นที่หาญกล้าเข้าไปในรอยแยกดังกล่าว รอยแยกที่พวกมันคิดว่าสมควรเป็นทางเข้าของคลังสมบัติยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน
ส่วนผู้ฝึกตนพเนจรจากพันธมิตรที่ไม่เข้มแข็ง ทั้งผู้ที่ไร้สังกัด ไม่กล้าเข้าไปทั้งสิ้น
สุดท้ายแม้จะโดนผู้คนกล่าววาจาเสียดสีทั้งหัวเราะเยาะจนไม่มีชิ้นดี แต่ชายวัยกลางคนที่กล่าวห้าวหาญเมื่อครู่ก็ได้แต่ทำตัวลีบๆไม่พูดไม่จา และไม่บ้าจี้โดดเข้าไปในรอยแยกนั่น…
ถึงแม้มันจะรู้สึกอายจนอยากแทรกแผ่นดีหนีที่โดนถล่มคำหยันหยามใส่ แต่อับอายเพียงเท่านี้ก็ไม่อาจเทียบได้กับชีวิตมัน…
“เฮ่! นั่นชายชุดดำ!!”
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงหนึ่งโพล่งขึ้นมาดังลั่น ทำให้ผู้ฝึกตนพเนจรที่มามุงออกรอบๆรอยแยกท่ามกลางความว่างเปล่าตกใจอยู่บ้าง
หลังจากนั้นทุกคนก็ไม่คิดเยาะเย้ยชายวัยกลางคนหน้าเสียอีกต่อไป เพียงหันไปมองเจ้าของเสียงที่โพล่งออกมาดังลั่นเมื่อครู่ ก่อนที่จะหันมองไปตามสายตาของมัน…
มีร่างหนึ่งกำลังโรยตัวลงมาจากม่านเมฆ
คนผู้นี้มาในชุดคลุมลมดำที่ปกปิดร่างกายมิดชิดนัก กระทั่งใบหน้าก็ไม่อาจแลเห็นได้ชัดเจน
“ข้ามิรู้ว่านั่นจักใช่ชายชุดดำตัวจริงหรือไม่?”
หลายคนอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“หากเป็นชายชุดดำตัวจริง…ไม่รู้ว่าจะกล้าเข้าไปในรอยแยกนั่นรึเปล่า?”
บางคนก็กล่าวออกมาด้วยสงสัย
ชายชุดดำที่พึ่งปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนที่มุงล้อมรอยแยกกลางอากาศ ย่อมไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น ต้วนหลิงเทียน เอง
ต้วนหลิงเทียนนั้นมาถึงที่นี่ได้สักพักแล้ว หากแต่เขาเลือกจะเงี่ยหูฟังบทสนทนาโดยรอบก่อน จนได้รู้ว่าตอนนี้ผู้นำพันธมิตร 7 สังหาร ผู้นำพันธมิตร พันสารท และผู้นำพันธมิตรหมื่นโบราณ ได้เข้าไปในรอยแยกที่บังเกิดขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าที่ทุกคนสงสัยว่าเป็นคัลงสมบัติของยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั่นแล้ว
และกลุ่มคนที่ยังออมุงกันอยู่ไม่กล้าเข้าไปนั้น ล้วนแต่ไม่มั่นใจทั้งสิ้น ว่ารอยแยกท่ามกลางความว่างนี้ ที่แท้จะใช่ทางเข้าคลังสมบัติยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆหรือไม่…
‘ถ้าพวกมันกลัวตายแล้วจะถ่อมาที่นี่ทำอะไร?’
ต้วนหลิงเทียนถึงกับพูดไม่ออกอยู่บ้าง
ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวออกมา เขาก็ได้ขอให้ผู้เฒ่าหั่วช่วยตรวจสอบดูแล้ว
“รอยแตกกลางอากาศนั่นคือรอยแยกมิติที่จักนำเจ้าไปสู่ระนาบเทียม”
และนี่คือคำตอบที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกเขา
พอได้ยินคำตอบนี้ของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา ยังอดไม่ได้ที่จะยิงคำถามกลับไปยังผู้เฒ่าหั่วทันที “ท่านผู้เฒ่าหั่วข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ท่านก็เคยบอกข้าว่า…ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ก็คือระนาบเทียมไม่ใช่หรือ?”
“ก็ใช่”
สำหรับคำถามนี้ ผู้เฒ่าหั่วก็ตอบกลับมาทันทีเช่นกัน “ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้ เป็นระนาบเทียมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ…สำหรับระนาบเทียมที่อยู่ด้านหลังรอยแตกนั่นมิใช่ระนาบเทียมที่เกิดขึ้นเองแต่เป็นระนาบเทียมจากฝีมือของมนุษย์…”
“ในระนาบโลกียะทั้งมวล เมื่อใดก็ตามที่มีคนข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ พลังในร่างก็จักเปลี่ยนแปลงไป… ถึงแม้มันจะยังมิได้เป็นพลังอมตะก่อนกำเนิดโดยสมบูรณ์ แต่ก็มีอำนาจมากพอจะสร้างระนาบอิสระบนระนาบโลกียะที่อาศัยอยู่ได้อย่างไม่ยากเกินแรง….”
“และระนาบอิสระนั่นมินานก็จักพัฒนาไปเป็นระนาบเทียมไปในที่สุด…เช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่าระนาบเทียมที่อยู่เบื้องหลังรอยแยกมิตินี้ก็เป็นระนาบเทียมที่เกิดขึ้นจากเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่ได้ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์จริงๆ”
“อย่างไรก็ตามระนาบเทียมเบื้องหลังรอยแยกมิตินั่น ก็มิใช่ว่าจะเป็นคลังสมบัติที่มันเหลือทิ้งไว้เสมอไป”
“แต่แน่นอนว่า มิใช่ว่าจะเป็นก็มิได้หมายความว่าจะมิใช่ อย่างไรก็มีโอกาสไม่น้อยที่มันอาจจะเป็นคลังสมบัติที่เหลือไว้จริงๆ…เพราะเจ้าต้องทราบด้วยว่าแม้จะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้แล้ว แต่คิดใช้พลังฉีกเปิดห้วงมิติและสร้างระนาบเทียมเช่นนี้ก็ต้องทุ่มเทลงแรงมิใช่น้อย”
“โดยปกติแล้ว ผู้ที่ยินดีทุ่มเทลงแรงทำถึงขนาดนี้ ก็สมควรทำเพื่อเก็บมรดกชั่วชีวิตของตัวไว้ให้ชนรุ่นหลังทั้งผู้สืบทอด และแน่นอนว่าสิ่งของบางชิ้นที่มันเหลือทิ้งไว้ ก็อาจเป็นสมบัติชั้นยอดสำหรับผู้คนในระนาบโลกียะ”
นี่คือคำตอบของผู้เฒ่าหั่ว
หลังได้ยินคำตอบของผู้เฒ่าหั่วแล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงโรยตัวลงมาจากฟ้าเหนือเมฆ และเตรียมเหินร่างเข้าสู้รอยแตกท่ามกลางความว่างที่เป็นรอยแยกมิตินำไปสู่ระนาบเทียมที่ผู้เฒ่าหั่วว่า
และจากคำของผู้เฒ่าหั่วเขาก็ได้รับรู้ข้อมูลสำคัญมากเรื่องหนึ่ง…
ยอดฝีมือที่ทิ้งระนาบเทียมแห่งนี้เอาไว้ ไม่ใช่แค่เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน หากแต่เป็นเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์เรียบร้อยแล้ว!
ต้องทราบด้วยว่าเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่ยังไม่ข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ กับเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนที่สามารถข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ไปแล้วนั้น…เป็นอะไรที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
อย่างแรกนั้นเพียงมีพลังอำนาจใกล้เคียงกับเซียนอมตะในแง่ของระดับพลังบ่มเพาะ
หากทว่าอย่างหลังนั้น ถือเป็นเซียนอมตะไปแล้วครึ่งหนึ่ง!
และกว่า 9 ส่วนของระนาบเทียมแห่งนี้ที่ตัวตนดังกล่าวลงแรงสร้างขึ้น สมควรเป็นคลังสมบัติของมันก่อนที่จะขึ้นสู่ระนาบเทวโลกแล้วจริงๆ!
และในคลังสมบัติย่อมมี ‘มรดก’ และทรัพยากรรวมถึงสมบัติคู่กายอยู่เช่นกัน
“พวกเจ้าว่า…ชายชุดดำจะกล้าเข้าไปในรอยแยกนั่นหรือไม่?”
“เรื่องนี้มันก็พูดยาก…ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่มิรู้ว่านั่นจักใช่ชายชุดดำตัวจริงหรือไม่ ต่อให้เป็นตัวจริงก็มิน่าจะกล้าเข้าไปในรอยแยกท่ามกลางความว่างเปล่านี่หรอก!”
“ข้าว่ามันก็น่าจักเป็นเช่นนั้น”
“พวกเจ้ามิเห็นหรือว่ากระทั่งชนชั้นผู้นำและตัวตนระดับสูงของพันธมิตรอำนาจทรราชก็ยังมิกล้าเข้าไปในรอยแยกนั่นเลย แล้วพวกเจ้าคิดว่าชายในชุดดำผู้นี้จะมีความกล้าหาญเหนือผู้นำพันธมิตรอำนาจทรราชหรือไร?”
…
บทสนทนาของผู้คนเหล่านี้ ต้วนหลิงเทียนย่อมได้ยินผ่านหูหมดสิ้น
คนส่วนใหญ่กำลังตั้งคำถามกัน ว่าเขาใช่ชายชุดดำตัวจริงหรือไม่ กระทั่งยังอยากรู้นักว่าเขาจะกล้าเข้าไปในรอยแยกท่ามกลางความว่างนี่รึเปล่า
‘ผู้นำพันธมิตรอำนาจทรราชงั้นเหรอ?’
มีบางถ้อยคำที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสนใจ หลังได้ยินเขาจึงหันไปมองตามเป้าสายตาของคนกลุ่มใหญ่ทันที
ที่นั่นปรากฏคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่
ผู้ที่ลอยร่างนำหน้ากลุ่มคนดังกล่าวเป็นชายร่างสูงแลดูกำยำแข็งแกร่ง หนวดเคราดกเฟิ้ม มาในชุดผ้าแพรแวววับ หว่างคิ้วไร้โทสะอารมณ์ใดๆแต่ให้ความรู้สึกเข้มแข็งน่าเกรงขาม เพียงมองก็บอกได้ว่าเป็นคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมานาน
‘เจ้านั่นน่ะเหรอผู้นำพันธมิตรอำนาจทรราช เฉินเฉวียนป้า!’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
เฉินเฉวียนป้า ผู้นำพันธมิตรอำนาจทรราช ยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 5 เปลี่ยน พลังฝีมือติดอยู่ในอันดับที่ 50 ของรายนามยอดเซียน!
นอกจากนี้ในนครแห่งบาป พันธมิตรอำนาจทรราชยังเป็นกองกำลังพันธมิตรของผู้ฝึกตนไร้สังกัดที่ทรงพลังไม่น้อย เพียงอ่อนแอกว่าก็แค่ พันธมิตร 7 สังหาร พันธมิตรพันสารท และพันธมิตรหมื่นโบราณเท่านั้น…
ต้วนหลิงเทียนยังคงจดจำได้ดี
ว่าโรงเตี๊ยมที่เขเข้าพักแห่งแรกอันเรียกว่า ‘โรงเตี๊ยมยินดีต้อนรับ’ นั้น มันก็เป็นกิจการที่อยู่ภายใต้การดูแลของพันธมิตรอำนาจทรราช!!