WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2142
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2142
ตอนที่ 2,142 : มีคนตาย!
พร้อมกันกับที่เสียงดั่งกลองศึกลั่นดังขึ้นมาเป็นทำนองอันบีบคั้นหัวใจนั้นเอง
ในถ้ำอันกว้างใหญ่พลันปรากฏร่างจำนวนมาก ผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า
ร่างเหล่านี้เริ่มปรากฏจากส่วนหัว เพียงแลจากขนาดหัวก็รู้ว่าคนสมควรสูงใหญ่เข้มแข็ง เมื่อร่างเริ่มปรากฏถึงส่วนอกก็เห็นได้ชัดเจนว่าพวกมันเป็นทหาร! เพราะแต่ละคนล้วนมีชุดเกราะครบเครื่อง ในมือกำชับหอกยาวให้กลิ่นอายฆ่าฟันเหี้ยมหาญ ปลายหอกเปล่งประกายคมกล้าเยียบเย็นเสียดใจ!
หลังจากร่างทหารปรากฏออกมาได้ครึ่งตัว ต่อมาพลันปรากฏร่างม้าตัวเขื่องที่ถูกควบขี่! ม้าพวกมันไม่เหมือนม้าทั่วไป แต่ละตัวแลดูแข็งแกร่งบึกบึนทั้งดุร้าย ชุดเกราะถูกติดตั้งพร้อมรบ กีบเท้าหุ้มด้วยเกือกเหล็ก หากถูกย่ำลงน่ากลัวจะบาดเจ็บไม่ใช่เล่น!
เพียงเวลาชั่วพริบตา ทัพม้าก็ปรากฏเรียงรายเป็นแถวมีระเบียบ หอกตั้งขึ้นเผยประกายแหลมคมน่ากลัว
ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้พูดหรือขยับอะไรมากมาย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ให้ความรู้สึกบีบคั้นประการหนึ่ง ปานมีมือที่มองไม่เห็นกอบกุมหัวใจคนทั้งหมดในถ้ำ
‘ทหารม้าพวกนี้…มีเป็นกองร้อยเลย!’
เพียงมองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็กะจำนวนทหารม้าคร่าวๆได้ทันที เขาตระหนักได้ว่าพวกมันสมควรมีหนึ่งกองร้อย!
‘แถมม้าของพวกมันก็ตัวใหญ่กว่าม้าศึกทั่วไปมาก ท่าทางจะไม่ง่ายแล้ว!’
ต้วนหลิงเทียนที่สังเกตม้าตัวเขื่องใต้ร่างทหารแต่ละนายอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียดขึ้นมา เพราะการที่ม้าศึกแข็งแกร่งหมายถึงอะไรเขารู้ดี…พลังบุกทะลวงสมควรร้ายกาจแน่แล้ว!
“ฆ่า!!”
ทันใดนั้นเสียงอำมหิตพลันดังขึ้นพร้อมเพรียง ทัพม้าหนึ่งกองร้อยชูหอกแหลมขึ้น ทั้งหมดควบม้าบึ่งทะยานจี้หอกมาเบื้องหน้า สภาวะทะลวงเข่นฆ่าพุ่งเข้ามาทางต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆอย่างเกรี้ยวกราด ความเร็วยังน่ากลัวปานสายฟ้าฟาด!
ครู่ต่อมาทัพม้าหนึ่งกองร้อยนี้ ก็แปรขบวนทัพแยกออกไปดั่งปีกทั้ง 2 ข้างเปิดกาง แลไปคล้ายคิดกระหนาบพวกต้วนหลิงเทียนจากทั้งซ้ายขวาปานห่อเกี๊ยว!
อีกทั้งในระหว่างที่พวกมันบึ่งทะยานเข่นฆ่าสังหารเข้ามานั้น ความเร็วในการบุกทะลวงของมันยังเหนือกกว่าที่ต้วนหลิงเทียนคาดเดาไว้เสียอีก!
เรียกว่าความเร็วในการบุกทะลวงเข้ามาของทหารม้าแต่ละคน เทียบได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนทั่วไปเลยทีเดียว!
ทหารม้าหนึ่งกองร้อย บึ่งทะยานเข้ามาปานสายฟ้า ชั่วเวลาแค่พริบตาพวกมันก็เข่นฆ่าสังหารเข้ามาห่างจากพวกต้วนหลิงเทียนไม่ถึง 10 หมี่!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆกำลังชักหน้าเข้มด้วยความตึงเครียดนั้นเอง
ปงงง!
เสียงอากาศแตกกระเบิดพลันดังสนั่นลั่นขึ้น เป็นไป๋ลี่ ที่ลงมือ!
ฟุ่บ!
มองไปเห็นไป๋ลี่ทะยานร่างขึ้นไปในอากาศปานลูกเกาทัณฑ์ยิงส่องฟ้า เพียงชั่วพริบตาก็ปรากฏตัวอยู่เหนือศีรษะของคนทั้งกลุ่ม คนหยุดยืนค้างกลางหาวด้วยท่วงท่าราวกับเทพสงครามไร้พ่าย
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนเพียงเห็นว่าไป๋ลี่สะบัดมือออกไปส่งๆเท่านั้น
ชิ้งงงง!!
ช่วงเวลาเสี้ยวพริบตาดุจอัสนีวาบลั่น เสียงคมมีดหนึ่งพลันดังสะท้านเสียดหูขึ้นในอากาศ และเพียงห้วงเวลาชั่วพริบตานั้นเอง ก็เสมือนมีประกายแหลมคมหนึ่งวาบสว่าง คล้ายบางสิ่งทะยานออกไปอย่างไร้ร่องรอย!
“เร็วจริง!”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลง ให้เห็นความตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
เขารู้ดีแก่ใจว่าไฉนถึงไม่อาจแลเห็นร่องรอยใดๆได้ ทั้งหมดเสมือนมีเพียงประกายแสงของบางสิ่งพุ่งวาบออกไปเท่านั้น …นั่นเป็นเพราะความเร็วของ ‘รังสีพลังสะบั้น’ ที่พุ่งวาบออกจากฝ่ามือของไป๋ลี่มันรวดเร็วเกินกว่าที่สองตาของเขาจะแลเห็นได้ทัน!
ถึงแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะทะลวงถึงขอบเขตเซียนสวรรค์แล้ว อีกทั้งด้วยการทะลวงจุดชีพจรดวงตากอปรกับใช้พลังของเนตรพิสดาร ทำให้สายตาเขาเลิศล้ำเหนือคนทั่วไปหลายเท่าถึงขั้นแลเห็นการลงมือของเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนได้ชัดตาแม้ยังอยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนก็ตาม…
ทว่าอย่างไรสายตาเขาก็ยังมิอาจสู้เนตรวิญญาณที่จะได้รับการขัดเกลาตอนบรรลุขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้! เช่นนั้นแล้วสายตาของเขายังอ่อนด้อยอยู่บ้าง!
อย่าได้กล่าวถึงไป๋ลี่ที่เป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนเลย…ต่อให้ไป๋ลี่เป็นแค่เซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจมองตามสิ่งใดได้ทันแล้ว
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
…
แทบจะพร้อมกันกับห้วงเวลาที่รังสีพลังสะบั้นพุ่งไปดั่งประกายไฟวาบ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงของมีคมเฉือนหั่นกระดูกเลือดเนื้อตามติดมาทันที ทำให้เขาดึงสติกลับคืนทันใด ตายังเร่งมองตามเสียงไปอย่างไม่รู้ตัว
ครู่ต่อมาฉากเรื่องราวเบื้องหน้าก็เผยให้เห็นคาตา เป็นร่างทหารม้าทั้งกองร้อย…ถูกบางสิ่งเฉือนสะบั้นกลางลำตัวไปพร้อมๆกันกับหัวม้า…!
ในเวลาไม่ถึงครึ่งลมหายใจหลังจากไป๋ลี่ลงมือ ทัพม้าทั้ง 1 กองร้อยก็สลายกกลายเป็นละอองพลัง อันตรธานหายไปเช่นนี้…
แต่เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก เพราะตอนที่เผชิญหน้ากับคลื่นทัพศัตรูที่ประดังเข้ามาในการทดสอบรอบแรก เขาไม่ใช่แค่เจอกับสัตว์ร้ายเท่านั้น ยังมีศัตรูที่รูปลักษณ์เป็นมนุษย์อีกด้วย และเมื่อพวกมันถูกฆ่าตาย พวกมันก็จะสลายกลายเป็นละอองพลังทันที
ฟังจากที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอก
มนุษย์หรือสัตว์ร้ายเหล่านั้น ล้วนเป็นการขึ้นรูปก่อร่างของพลังงานเท่านั้น ทั้งหมดเกิดจากค่ายกลบางประการที่ถูกจัดตั้งไว้ในระนาบเทียมแห่งนี้
พวกมันนั้นมีสภาพจับต้องได้แถมความแข็งแกร่งยังไม่ใช่ชั่ว แต่หากถูกฆ่าตายก็จะอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที ราวกับพวกมันไม่เคยปรากฏออกมาก่อน
‘ความแข็งแกร่งของเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนช่างร้ายกาจจริงๆ!’
เห็นการลงมือของไป๋ลี่ ใจต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ ‘ทหารม้าทั้งกองร้อยนี่ ตั้งแต่ที่พวกมันปรากฏตัวก็ทำให้ข้าสัมผัสได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง…’
‘จากสิ่งนี้บอกให้รู้ว่าพลังของพวกทหารม้าแต่ละคนในกองร้อย ล้วนเป็นขอบเขตเซียนสวรรค์ 2 เปลี่ยนหรือเหนือกว่านั้นแน่นอน…’
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนค่อนข้างมั่นใจมาก
หากทัพม้าหนึ่งกองร้อยเมื่อครู่เป็นแค่เซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยน เป็นไปไม่ได้ที่ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกดดันแบบนี้
เพราะอย่างไรพลังฝึกปรือของเขาก็บรรลุถึงสุดปลายขอบเขตเซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน การทดสอบระลอกที่ 2 ก็ตามมาติดๆ
คราวนี้เป็นจ้าวค้างคาวปีกเขียวที่เป็นผู้ลงมือ ไม่ทันที่ไป๋ลี่จะทันได้ทำอะไร ก็เป็นมันชิงโจนทะยานออกไปใช้ออกด้วยพลังสังหารแยบคายบางอย่าง สะกดทั้งระเบิดร่างศัตรูในระลอกที่ 2 ทิ้งจนหมด
ตั้งแต่ต้นจนจบ มันใช้เวลาลงมือไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
ด้วยพลังอำนาจของขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ย่อมเข่นฆ่าสังหารศัตรูชุดแรกๆแบบนี้ได้ในพริบตา!
หลังจากนั้นศัตรูในระลอกที่ 3 ก็มาถึง
หลังผ่านไปอย่างราบรื่น คลื่นทัพศัตรูรอบที่ 4 ก็มาถึง…
ตอนแรกเหวยสั่วก็ลงมือฉายเดี่ยวอยู่คนเดียว เข่นฆ่ามาทุกกระลอกคลื่นทัพของศัตรูด้วยทีท่าปลอดโปร่ง
แต่หลังจากนั้นกระทั่งเหวยสั่วเองก็รู้สึกตึงมือขึ้นมาบ้างแล้ว
และตอนนี้เองไป๋ลี่ก็ลงมืออีกครั้ง
พอทั้งคู่ช่วยกันลงมือ เรื่องราวก็จบลงง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม ต่อมาเมื่อระลอกทัพศัตรูหลังๆปรากฏขึ้น กระทั่งให้ทั้งคู่ร่วมมือกันก็เริ่มรู้สึกยากลำบากบ้างแล้ว
“ผู้นำตงกั๋ว ประมุขเหอ!”
ทันใดนั้นเหวยสั่วพลันหันไปสังการตงกั๋วอี้และเหอเฟยยี่ ผู้นำพันธมิตรพันสารทและประมุขพรรคธลุลืมเลือนทันที! ถึงเวลาแล้วที่พวกมันต้องเข้ามาช่วยสนับสนุน!!
ด้วยมีตงกั๋วอี้และเหอเฟยยี่ช่วยเก็บงาน ทำให้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นมาก
ด้วยมีทั้ง 4 ช่วยกันลงมือ ระลอกทัพของศัตรูมากมายหลายระลอกก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
หนึ่งเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน หนึ่งเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน กับอีก 2 เซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยน…เมื่อ 4 ตัวตนระดับนี้ผนึกกำลังกัน ศัตรูของการทดสอบรอบที่ 2 ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ดั่งลำไผ่แตก
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเงียบงัน
บัดนี้ แม้จะเป็นไป๋ลี่ เหวยสั่ว ตงกั๋วอี้ และเหอเฟยยี่ที่ผนึกกำลังกัน ทั้ง 4 ก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องราวชักตึงมือบ้างแล้ว!
กระทั่งบางครั้ง ศัตรูบางส่วนก็ดั่งปลาเล็ดลอดร่างแห หลุดแนวต้านของพวกมันทั้ง 4 พุ่งเข้าไปจู่โจมพวกต้วนหลิงเทียนด้านหลัง!
จังหวะนี้คนที่เหลือเองก็ต้องลงมือกันแล้ว
แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่สะดวกใช้กระบี่นิลสวรรค์ลงมือแม้แต่น้อย ทำให้ยากจะเร่งเร้าพลังรบให้ทัดเทียมกับขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนได้
ตอนแรกก็ไม่ได้สำคัญอะไร ว่าเขาจะลงมือหรือไม่ลงมือเต็มกำลัง
อย่างไรก็ตามยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้าทั้งกลุ่มเริ่มบังเกิดแรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆไม่หยุด…
“บัดซบ! นานขนาดนี้แล้ว แต่อีก 2 กลุ่มยังไม่มีใครตายอีกงั้นเหรอ!!”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนกล่าวสบถออกมาหลังมันปะทุพลังชั่วชีวิตซัดออกไปเข่นฆ่าศัตรูที่หลุดมาจากแนวหน้ายอดฝีมือทั้ง 4 ตอนนี้มันปรารถนาให้อีก 2 กลุ่มที่เหลือมีคนตายเร็วๆเหลือเกิน
เพราะมีเพียงแต่วิธีนี้ พวกมันจะได้ผ่านการทดสอบรอบที่ 2 นี่และเข้าสู่การทดสอบรอบที่ 3 ได้อย่างราบรื่นเสียที
วูบบ!!
ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนพลันสัมผัสได้ถึงสายลมหอบหนึ่งตีปะทะเข้าหน้าเขา แถมตอนนี้ทุกคนก็ตึงมือกันหมด ไม่มีใครว่างจะช่วยเหลือหรือปกป้องต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป!
และสิ่งที่พุ่งกระโจนเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนก็เป็นอสูรกายตัวเขื่องตัวหนึ่ง ที่ไม่ค่อยแข็งแกร่งสักเท่าไหร่
แน่นอนว่าไม่ค่อยแข็งแกร่งในที่นี้เพราะมันถูกนำไปเทียบกับอสูรกายที่ปรากฏในคลื่นทัพระลอกปัจจุบัน! แต่จะอย่างไรพลังของมันก็เทียบได้กับยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน!!
‘บ้าจริง! ไอ้เจ้านี่มันร้ายกาจยิ่งกว่า หวังติ่งชัน อาวุโสของพันธมิตรพันสารทที่ข้าฆ่าไปนั่นอีก!’
สีหน้าต้วนหลิงเทียนกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที เมื่อเผชิญหน้ากับอสูรกายตัวเขื่องที่แลดูดุร้ายเบื้องหน้า!
ทันใดนั้นเขาเร่งสะบัดมือออกฉับไว ปรากฏเป็นบรรทัดจักรวาล ที่เตรียมไว้แต่แรกกระชับเข้ามือ ไม่กล้ารอช้า เร่งโบกสะบัดบรรทัดออกไปเบื้องหน้า
เมื่ออสูรกายตัวเขื่องกระโจนมาเจียนบรรลุถึงตัวต้วนหลิงเทียน ความว่างเปล่าโดยมีร่างต้วนหลิงเทียนเป็นจุดศูนย์กลางก็เริ่มกระเพื่อมสั่นไหวทันที มองจากสายตาคนอื่น คล้ายพื้นที่กำลังบิดเบือน ฉากเรื่องราวคล้ายถูกบิดพับไปพับมา ดั่งผิวสระสงบที่ปรากฏคลื่นแรงหลังหินใหญ่ร่วงตก!
“เคลื่อนย้ายจักรวาล!”
ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ต้วนหลิงเทียนใช้พลังวิเศษเฉพาะของบรรทัดจักรวาลออกไปทันที ทำให้ร่างอสูรกายตัวเขื่องที่โจนทะยานเข้ามาความเร็วตกฮวบลง!
อย่างไรก็ตาม มันแค่ช้าลงเท่านั้นไม่ได้หยุดลงอย่างสมบูรณ์!
‘ปฐมเวทย์กลืนกิน’
พริบตาดุจฟ้าผ่า ต้วนหลิงเทียนใช้ออกด้วยเวทย์พลังสนับสนุน เพื่อเสริมพลังเซียนสุริยัน ยกระดับพลังเซียนสุริยันให้มากเท่าที่จะมากได้ในเวลาอันสั้น!
แน่นอนว่าแม้พลังเซียนสุริยันของเขาจะถูกเพิ่มพูนถึงขีดสุด แต่พลังอำนาจของมันก็เทียบได้กับเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเท่านั้น
ด้วยสภาพแวดล้อมพิเศษของระนาบเทียมแห่งนี้ กอปรด้วยความว่างเปล่าที่บิดเบือนไปเพราะพลังของบรรทัดจักรวาล ทำให้ไม่มีใครทันได้สัมผัสถึงผลจากเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินของต้วนหลิงเทียน
ครู่ต่อมาอสูรกายตัวเขื่องก็หลุดออกจากพลังอำนาจของบรรทัดจักรวาล มันยังคงโจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนไม่ลดละ
ปากกระหายเลือดอ้าออกกว้างราวคิดจะเขมือบต้วนหลิงเทียนลงไปในหนึ่งคำ
วูบ!
ช่วงเวลาพริบตาดุจละอองไฟ ยอดสมบัติอีกชิ้นพลันปรากฏขึ้นในมือต้วนหลิงเทียน เป็นกระบี่นิลสวรรค์! และเมื่อมันปรากฏ พลังเซียนสุริยันทั้งเคล็ดกระบี่อยู่ที่ใจก็ถูกใช้ออกเต็มกำลัง พาลให้กระบี่เหินบินทะยานออกไปด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว!
กลิ่นอายพลังคมกล้าที่ฉาบทั่วกระบี่นิลสวรรค์ยามนี้ ราวกับจะทะลุทะลวงผ่านได้สามพันโลก!
อสูรกายตัวเขื่องแม้โจนทะยานมาด้วยสภาวะอันดุร้ายเกรี้ยวกราด อนิจจาภายใต้พลังของกระบี่นิลสวรรค์ ร่างมันก็ถูกเสียบทะลวง กระทั่งโดนคลื่นพลังคมกล้ารอบตัวกระบี่สับสะบั้นเป็นชิ้นๆ แหลกสลายกลับกลายเป็นละอองแสงอันตราธานหายไปในพริบตา!
เหมือนมันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!
หนึ่งกระบี่อันน่ากลัวนัก! หากผู้คนแลเห็นคงได้หนาวสะท้านจับใจ!!
ไม่มีอะไรรวบรัดไปกว่านี้อีกแล้ว!
‘ให้ตายเถอะ ด้วยปริมาณพลังเซียนสุริยันที่เหลืออยู่ ถ้าลงมือแบบเมื่อครู่อีกครั้ง…พลังเซียนสุริยันในร่างคงไม่มีเหลือถึงตอนนั้น…ไม่ต้องถึงขั้นตัวเมื่อครู่แค่ตัวอะไรข้าก็ตายอนาถแน่!’
พอคิดถึงจุดนี้อารมณ์เขาก็กลายเป็นหนักอึ้งทันที
ทันใดนั้นเอง!
“ไม่!!!”
เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวหนึ่งพลันดังขึ้น ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเหมือนมีไอเย็นเยียบขุมหนึ่งแล่นวาบไปทั้งสรรพางค์กาย พาลให้ต้วนหลิงเทียนหนาวสะท้านจับไขสันหลัง ไม่ต้องหันไปมองเขาก็ตระหนักได้ว่าเป็นเสียงร้องของประมุขพรรธุลีลืมเลือน เหอเฟยยี่
และตอนนี้เหอเฟยยี่ที่กรีดร้องก็กำลังจับจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยสองตาตื่นกลัว
“ฉิบหายแล้ว!”
ใจต้วนหลิงเทียนสมัผัสได้ถึงสังหรณ์อัปมงคลโดยไม่ต้องหันไปมองด้วยซ้ำ ส่วนคนอื่นๆนั้นพอหันมองไปตามทิศทางสายตาของเหอเฟยยี่ ก็หน้าซีดลงทันที
เพราะต่างเห็นว่า มีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง กำลังถูกอสูรกายร้ายขย้ำจนหัวหลุดขาด ร่างไร้หัวชักกระตุกไม่หยุดโลหิตฉีดพุ่งออกจากลำคอที่ขาดวิ่นปานน้ำพุ…
ให้มีเทพยาดามาปรากฏกายก็ช่วยไม่ได้!!
“มันตายแล้ว!!”
สีหน้าไป๋ลี่เปลี่ยนไปมหันต์ สีหน้าเหวยสั่วเองก็บิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
ต่อให้พวกมันเก่งกล้าสามารถมากกว่านี้ ร้ายกาจมากกว่านี้ พวกมันก็ไม่มีปัญญาชุบชีวิตคนตาย!
“มารดาของมัน…”
ผู้นำพันธมิตรพันสารทตงกั๋วอี้ สบถออกมาอย่างเลื่อนลอย ตอนนี้คล้ายมันชราลงนับสิบปี คนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้จะยืน…
การทดสอบรอบที่ 2 ‘อยู่หรือตายไปด้วยกัน’ ตราบใดที่ใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มตาย คนที่เหลือก็จะถูกฉุดลากลงสู่หุบเหวแห่งความตายไปด้วยกัน…!