WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2170
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2170
ตอนที่ 2,170 : เค่อเอ๋อ
“ท่านจ้าว…ยังมีอีกข่าว…แต่ข่าวนี้สมควรเป็นแค่ข่าวปลอม”
รองจ้าวลัทธิบูชาไฟที่ลอยร่างไม่ห่างจากถังซวน ยึกยักลังเลอยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าวสืบต่อ
“ข่าวอันใด?”
ถังซวนกล่าวถามด้วยความสนใจ
“เป็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ว่ากันว่าตอนที่ต้วนหลิงเทียนย้อนกลับมาประกาศเรื่องราวที่นครแห่งบาปนั้น…ต้วนหลิงเทียนได้ใช้ 3 กระบี่สังหารจ้าวราชสีห์ขนทองเซ่ยคังฉวิน 1 ใน 4 มหาธรรมราชาของลัทธิอารามทมิฬต่อหน้าต่อตาผู้คนขอรับ…”
รองจ้าวลัทธิบูชาไฟกล่าว
“หืม? 3 กระบี่ ฆ่าเซี่ยคังฉวิน?”
หลังได้ยิน ถังซวนเลิกคิ้วขึ้นมาทันที “หากข้าจำไม่ผิด…จ้าวราชสีห์ขนทองของลัทธิอารามทมิฬผู้นั้น ต่อให้มองทั่วแดนดินแต่มันก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนอันร้ายกาจ หากสามารถฆ่ามันได้ภายใน 3 กระบี่จริง เกรงว่าหากไม่มีพลังฝีมือเทียบได้กับเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนย่อมไม่มีทางเป็นไปได้เลย!”
“ทุกคนก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันขอรับ…”
รองจ้าวลัทธิบูชาไฟพยักหน้า ค่อยพูดต่อ “ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อข่าวลือดังกล่าว…พรสวรรค์ต้วนหลิงเทียนนั้นอาจร้ายกาจ แต่หากจะบอกว่าสามารถฆ่าเซี่ยคังฉวินได้ใน 3 กระบี่… เกรงว่าคงเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างที่ไม่ต้องสงสัยเลย…”
ถังซวนพยักหน้าเห็นด้วย
ในรายงานความเป็นไปต่างๆ ย่อมมีรายงานเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ถังซวนจึงพอประมาณพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนจากพรสวรรค์ที่เผยออกมาได้ ซึ่งไม่มีทางเลยที่ต้วนหลิงเทียนจะก้าวหน้าขึ้นถึงขั้นใช้ 3 กระบี่สังหารเซี่ยคังฉวินได้ในเวลาแค่ 3 ปี…
“เอาล่ะ ตอนนี้เมื่อเรื่องการรุกรานของเผ่าพันธุ์ปีศาจได้รับการยืนยันแล้ว เจ้ายังต้องไปเตรียมการรับมืออีกมาก…กว่า 3 ปีแล้ว ไม่พ้นป่านนี้พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจคงลงหลักปักฐานที่ภูมิภาคเบื้องล่างได้แล้ว ข้าเกรงว่าอีกไม่นานยอดฝีมือระดับสูงของเผ่าพันุ์ปีศาจที่ชำนาญค่ายกล พวกมันต้องจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค และยกทัพบุกขึ้นมาภูมิภาคเบื้องบนแน่…”
ถังซวนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านั้นพวกเราต้องเตรียมพร้อมรับมือทุกทาง ลัทธิบูชาไฟของพวกเราต้องพร้อมตีโต้สวนกลับ!”
“ผู้น้อยรับบัญชาท่านจ้าว!”
รองจ้าวลัทธิรีบขานรับด้วยเคารพ หากแต่มันกลับไม่ได้จากไปหลังตอบกลับ ทว่าเผยทีท่าอ้ำๆอึ้งๆคล้ายลังเลว่าจะพูดต่อหรือไม่พูดต่อดี
“เจ้ายังมีเรื่องอันใดอีก?”
ถังซวนถาม
“ท่านจ้าวลัทธิ…”
หลังสุดลมหายใจเข้าลึกๆรอบหนึ่งรองจ้าวลัทธิก็รวบรวมความกล้าพูดออกมาว่า “เท่าที่ข้ารู้หลังจากท่านออกจากการปิดด่านมา ท่านก็นำตัวธิดาเทพพร้อมบุตรีของนางออกจากหอคุมกฏมาไว้ในพื้นที่ส่วนตัวของท่าน…ไม่ทราบท่านคิดจะลงทัณฑ์ธิดาเทพกับบุตรีของนางเมื่อใดหรือขอรับ?”
“เรื่องนี้รองจ้าวลัทธิอีกคน รวมถึงอาวุโสระดับสูงหลายคนเริ่มบ่นกันแล้วขอรับ…”
หลังกล่าวถึงจุดนี้ รองจ้าวลัทธิก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มฝืนๆ
“อ้อ รองจ้าวหอคุมกฏเริ่มบ่นกันแล้วงั้นหรือ?”
ถังซวนยิ้มเยาะ “จ้าวหอของพวกมันยังไม่ทันกล่าวอันใดแท้ๆ แล้วพวกมันจะกังวลใจกันหาอะไร! ว่าแต่ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้าถังซวนผู้นี้คิดจะทำอะไรต้องดูสีหน้าพวกมัน?”
“เจ้าเอาคำข้าไปบอกให้พวกมันทุกคนฟังกันชัด…หากมีหน้าไหนไม่พอใจให้มันมาหาข้าเป็นการส่วนตัวเสีย! หาไม่แล้วหากข้ายังได้ยินว่าพวกมันพูดอะไรถึงเรื่องนี้อีก ข้าจะเป็นคนไปหาพวกมันด้วยตัวเอง!!”
ยิ่งมาน้ำเสียงของถังซวนยิ่งเย็นขึ้น ท้ายประโยคยังดังจนแทบจะเป็นการตะคอก เห็นชัดว่ามีโทสะไม่น้อย
รองจ้าวลัทธิเองก็ไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้ มันถึงกับผงะไปด้วยขวัญหนีดีฝ่อ แผ่นหลังชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็น เร่งอธิบายอย่างร้อนรน “ทะ…ท่านจ้าวลัทธิขอรับ พวกมันแค่บ่นไปอย่างนั้นเองขอรับ มิได้คิดจะทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตอันใด…ในเมื่อท่านจ้าวตัดสินใจไปแล้ว ก็อย่าได้ไปสนใจอะไรพวกมันเลยขอรับ!!”
แม้จะกล่าวไปแบบนั้น แต่รองจ้าวลัทธิบูชาไฟ ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนในใจ
จ้าวลัทธิของมัน ดูเหมือนไม่ได้คิดจะลงโทษอะไรธิดาเทพจริงๆเสียแล้ว…
เทพธิดากลับชาติมาเกิด?
หรือจ้าวลัทธิของพวกมันจะเสียสติไปแล้ว กลับเชื่อเรื่องนี้จริงๆ!?
‘โชคยังดีที่ในเรื่องอื่นๆท่านจ้าวลัทธิยังเป็นปกติ มิได้หน้ามืดตามัวอันใด…’
พอคิดได้ดังนี้ รองจ้าวลัทธิก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกกหนึ่ง
จ้าวลัทธิบูชาไฟจะอย่างไรก็เป็นดั่งเสาหลักของลัทธิบูชาไฟ เป็นตัวตนดั่งเทพผู้พิทักษ์ของลัทธิบูชาไฟ! หากเกิดเรื่องใดขึ้นกับจ้าวลัทธิบูชาไฟจริง ลัทธิบูชาไฟไม่เพียงแต่จะตกต่ำ…อาจถึงกาลอวสาน!!
“ช้าก่อน”
ทว่าในขณะที่จ้าสลัทธิบูชาไฟกำลังจะเดินจากไปนั้น ถังซวนกลับเรียกรั้งมันเอาไว้เสียก่อน
“มิทราบท่านจ้าวมีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้เพิ่มหรือขอรับ?”
รองจ้าวลัทธิก็หยุดร่างลงทนัที ค่อยมองถามถังซวนออกไปด้วยเคารพ
“เจ้าไปออกแถลงการณ์ประกาศให้ทั้งแดนดินรับทราบในนามของข้า…”
ถังซวนมองรองจ้าวลัทธิค่อยกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด “เนื้อหาถ้อยคำแถลงนั่นคือ…ขอให้ต้วนหลิงเทียนกลับคืนสู่ลัทธิบูชาไฟของพวกเราอย่างวางใจ…นอกจากนี้ให้ประกาศว่าทางเรารับประกันว่าจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงตราผนึกมารไปจากมัน”
“หากมันไม่เชื่อก็ให้มันซ่อนตราผนึกมารเอาไว้ที่ใดก่อนก็ได้ค่อยกลับมาลัทธิ และเมื่อมาถึงแล้วข้าถังซวนคนนี้ยินดีที่จะกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ”
วาจาถังซวนนั้นเผยเจตนาชัดเจนว่ามันปรารถนาให้ต้วนหลิงเทียนหวนกลับมายังลัทธิบูชาไฟ
“ทะ…ท่านจ้าว…ต้วนหลิงเทียนมีค่าพอให้ท่านกระทำถึงขั้นนี้เลยหรือขอรับ?”
รองจ้าวลัทธิถึงกับผงะไปด้วยความตกใจ
“ต้วนหลิงเทียน? ตัวมันย่อมไม่มีค่าอันใด!”
ถังซวนกล่าวออกเสียงเรียบ “ทว่าตราผนึกมารในมือของมันนั้นมันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ตราบใดที่มันยินดีหวนกลับสู่ลัทธิบูชาไฟ และยังเป็นศิษย์ของลัทธิบูชาไฟเราอยู่ ด้วยตราผนึกมารในมือของมัน…ก็คือไพ่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลัทธิบูชาไฟเราในการต่อกรกับเผ่าพันธุ์ปีศาจในภายภาคหน้า!!”
“หากเผ่าพันธุ์ปีศาจมันรุกรานขึ้นมายังภูมิภาคเบื้องบนจริงๆ และสถานการณ์ของมนุษย์เริ่มไม่ค่อยสู้ดี ข้าเชื่อว่ามันต้องเห็นแก่ส่วนรวม เต็มใจให้ข้าหยิบยืมตราผนึกมารเพื่อกำราบปีศาจแน่นอน!”
“ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ หากข้ามีตราผนึกมารล่ะก็ ข้าเชื่อมั่นว่าไม่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจหรือผู้ฝึกมารคนใดที่พลังฝึกปรือยู่ใต้ขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะจะเป็นคู่มือให้ข้าได้!!”
วาจาประโยคต่อมาของถังซวน ขณะกล่าวสองตายังทอประกายแหลมคมนัก
ในความคิดของมัน
ตราบใดที่มันมันสามารถใช้ตราผนึกมารได้ในช่วงเวลาที่จำเป็นล่ะก็ ไม่สำคัญว่าตราผนึกมารนั่นจะเป็นของๆมันเองหรือเพียงหยิบยืมมาจากต้วนหลิงเทียน!
ความสำคัญของตราผนึกมารก็คือพลังอำนาจในการสะกดกข่มปีศาจ กำราบมาร!
หากเผ่าพันธุ์ปีศาจแตกพ่ายปราชัยไป หลังจากนั้นตราผนึกมารก็ไม่มีค่ามีราคาอะไรสำหรับมันอีกต่อไป! จะมีหรือไม่มีก็ไม่ได้มีผลอะไรกับมันทั้งสิ้น!!
ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่บังเกิดจิตคิดแย่งชิงตราผนึกมารมาจากต้วนหลิงเทียนแม้แต่นิดเดียว!
ได้ยินวาจาของถังซวน รองจ้าวลัทธิก็รับคำเป็นมั่นเหมาะค่อยจากไป
ถังซวนเองก็ย้อนกลับไปยังคฤหาสน์หลังเขื่องบนเกาะส่วนตัว เข้าสู่สถานที่บ่มเพาะ เพื่อบ่มเพาะปรับด่านพลังสืบต่อ
ในช่วงเวลาเดียวกัน…
ส่วนตะวันออกของคฤหาสน์หลังเขื่องอันตั้งอยู่ในเกาะส่วนตัวของถังซวน ในบ้านลานหลังหนึ่งจากบรรดาบ้านลานมากมายของคฤหาสน์
บ้านลานเหล่านี้ปกติถังซวนมักใช้เพื่อรับรองแขก…
แน่นอนว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติสูงพอให้ถังซวนเชื้อเชิญมาพักที่นี่
ตอนนี้ในห้องหับของบ้านลานหลังหนึ่งจากในบรรดาบ้านลานมากมาย นอกจากสตรีสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันเพราะเป็นฝาแฝดแล้ว ยังมีเด็กสาววัยกำลังซุกซนอายุประมาณ 8 หรือ 9 ขวบ ถักเปียสองข้างอาศัยอยู่
ฝาแฝดคู่นี้ หนึ่งก็คือภรรยาของต้วนหลิงเทียนเค่อเอ๋อ ส่วนอีกคนก็พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อ ก่านหรูเยี่ยน!
สำหรับเด็กหญิงตัวน้อยวัยซุกซนนั่น ก็คือลูกสาวของต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อ ต้วนซือหลิง!
“อวี่เยียน…ข้าเห็นมาสักพักแล้วว่ายามที่จ้าวลัทธิบูชาไฟพบเจ้า มันคล้ายเคารพและเกรงใจเจ้านัก เจ้าทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด?”
ก่านหรูเยี่ยนมองถามเค่อเอ๋อ หน้างามของนางตอนนี้ไม่เพียงประหลาดใจยังสงสัยนัก
ตอนนี้ยิ่งนางได้รับทราบแล้วว่าจ้าวลัทธิบูชาไฟสามารถทะลวงด่านได้สำเร็จในการปิดด่านบ่มเพาะรอบนี้ และเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว จึงทำให้นางยิ่งตกใจมากยิ่งขึ้น
ตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้น เป็นตัวตนที่หาได้ยากดั่งเขามังกรขนหงส์ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแห่งนี้…
ทว่าตัวตนที่ยิ่งใหญ่ระดับนั้น ยามอยู่ต่อหน้าน้องสาวฝาแฝดของนาง ไม่เพียงแต่จะไม่วางตัวสูงส่งอยู่เหนือ สายตาทำราวกับมองคนที่ต้อยต่ำกว่าแต่อย่างใด ยังตรงกันข้าม…อีกฝ่ายกลับทำราวกับเป็นผู้น้อยพบพานผู้ยิ่งใหญ่! และจากแววตาก็เผยให้รู้ว่านั่นไม่ใช่ความยำเกรงและทีท่าเคารพจอมปลอม หากทว่ามาจากใจจริงๆ!!
เรื่องนี้ย่อมทำให้ในใจของนางสับสนและงุนงงถึงขีดสุด
“ข้าเองก็ไม่รู้…”
เค่อเอ๋อที่อุ้มต้วนซือหลิงที่ผล็อยหลับไปหลังจากเล่นซุกซนจนเหนื่อย ได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยความงุนงงไม่ต่าง “ครั้งแรกที่มันมาหาข้าที่หอคุมกฏ…ตอนแรกข้าคิดว่ามันจะสั่งประหารข้ากับซือหลิงทันทีที่เห็นเสียแล้ว….”
“แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยมันไม่เพียงแต่จะไม่เผยทีท่าโกรธเคืองอันใดข้าอย่างที่ควรจะเป็น…แต่ยังทำราวกับหวาดกลัวจะทำให้ข้าไม่พอใจ…เหมือนกับว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับสีหน้าของข้า”
ก่านหรูเยี่ยนถึงกับเงียบไปทันทีหลังได้ยินคำตอบของเค่อเอ๋อ
และหลังจากเงียบไปพักหนึ่งก่านหรูเยี่ยนก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “นั่นน่ะสิ ตอนแรกข้าคิดว่าหากข้าไม่ให้ความร่วมมือกับมันเรื่องบอกตัวตนบุรุษของเจ้า ข้าไม่พ้นถูกลงโทษสถานหนักแน่…แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่เจ้ากล่าววาจาไม่กี่คำ มันก็ปล่อยข้าออกจากหอคุมกฏทันที”
“ตอนนี้จากที่ข้าดู 9 ใน 10 ส่วนไม่พ้นมันต้องเชื่อมั่นจริงๆว่าเจ้าคือเทพธิดากลับชาติมาเกิด…หาไม่แล้วข้าไม่ทราบจะหาเหตุผลข้อใดมารองรับการกระทำของมันได้แล้วจริงๆ”
กล่าวถึงจุดนี้ก่านหรูเยี่ยนก็มองเค่อเอ๋อ น้องสาวฝาแฝดของนางตั้งแต่หัวจรดเท้า นอกกจากใบหน้าที่งดงามเหมือนกันทั้งมีรูปร่างใกล้เคียงกันมาก นางก็ไม่พบความแตกต่างอันใดอีกเลย…
“เทพธิดากลับชาติมาเกิด?”
ได้ยินคำนี้ของก่านหรูเยี่ยน เค่อเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า
ด้วยเห็นว่าเรื่องนี้มันเหลวไหลเกินไป
นอกจากนั้นนางเองก็เคยได้ยินพี่สาวฝาแฝดกล่าวถึงเรื่องนี้มาแล้ว ว่าในลัทธิบูชาไฟนั้น มีเพียงตัวจ้าวลัทธิบูชาไฟเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เชื่อว่านางคือเทพธิดากลับชาติมาเกิด…
คนอื่นๆไม่ว่าจะเป็นรองจ้าวลัทธิทั้ง 2 ไม่เว้นผู้พิทักษ์ทั้ง 3 ไม่มีใครเชื่อเรื่องราวเหลวไหลนี้เลย
“พี่สาว! พี่สาว…!!”
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงร้อนรนหนึ่งดังขึ้นมาแต่ไกล และปรากฏร่างวิหกสีม่วงตัวหนึ่งเหินบินข้ามฟ้ามาด้วยความเร็ว
เมื่อวิหกสีม่วงตัวนั้นบินลอดหน้าต่างเข้ามา มันก็กลายร่างเป็นดรุณีน้อยชุดม่วงนางหนึ่งทันที
และดรุณีน้อยชุดม่วงนางนี้ ก็คือร่างมนุษย์ของ สื่ออวิ๋น สัตว์เซียน เผิงอัสนีเมฆม่วง ที่คอยตามก่านหรูเยี่ยนแจ นับว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดกับก่านหรูเยี่ยนมากที่สุด
แม้แต่ตอนที่ก่านหรูเยี่ยนลงไปยังภูมิภาคเบื้องล่าง นางก็ติดตามไปเช่นกัน
“สื่อเอ๋อไฉนเจ้ารีบร้อนนักเล่า มีเรื่องอะไรรึ?”
ก่านหรูเยี่ยนมองถามสาวน้อยชุดม่วงออกมาด้วยความสงสัย
“พี่สาว มีข่าวเกี่ยวกับต้วนหลิงเทียนแล้ว!”
ตอนนี้เองสาวน้อยชุดม่วงพลันกล่าวส่งเสียงบอกต่อก่านหรูเยี่ยน
เมื่ออยู่ในบ้านลานบนเกาะหลักของจ้าวลัทธิบูชาไฟเช่นนี้ นางย่อมกลัวว่าเรื่องราวจะถูกจ้าวลัทธิบูชาไฟที่มีพลังเหนือชั้นล่วงรู้เอาได้ง่ายๆหากพูดออกมาไม่ระวัง
“หืม!?”
ได้ยินวาจาผ่านพลังของสาวน้อยชุดม่วง สองตาคู่งามของก่านหรูเยี่ยนทอประกายจ้าขึ้นมาทันใด และก่อนที่สาวน้อยชุดม่วงจะทันได้กล่าวอะไรต่อ นางก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปแจ้งน้องสาวฝาแฝดข้างๆทันที “อวี่เยี่ยน มีข่าวของมันแล้ว!”
เมื่อเค่อเอ๋อได้ยินเสียงผ่านพลังนี้ของก่านหรูเยี่ยน รางบางที่อุ้มต้วนซือหลิงที่กำลังหลับไหลอยู่ก็สะท้านขึ้นมาเบาๆทันที
นางย่อมรู้ดีว่า ‘มัน’ ที่พี่สาวฝาแฝดกล่าวถึงเป็นใคร
เป็นบุรุษที่ดั้นด้นขึ้นมาจากภูมิภาคเบื้องล่าง ยังแทรกซึมเข้ามาในลัทธิบูชาไฟ เพื่อหาทางช่วยเหลือนาง บุรุษที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง และยังเป็นพ่อของลูกสาวนางด้วย…!