WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2215
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2215
ตอนที่ 2,215 : ตำหนักเมฆาครามหายไปแล้ว!
หลังกอดกับภรรยาอย่างเค่อเอ๋อพร้อมอุ้มลูกน้อยไว้ด้วยความอบอุ่นพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็พาทุกคนรวมถึงก่านหรูเยี่ยนมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งตำหนักเมฆาคราม
ถึงแม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้กลับมายังภูมิภาคเบื้องล่างด้วยมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค แต่ขอเพียงเขายืนยันตำแหน่งของตัวเองได้ เขาย่อมหาทิศทางที่ตั้งตำหนักเมฆาครามได้ไม่ยาก
เค่อเอ๋อกับก่านหรูเยี่ยนแน่นอนว่าก็ถูกเขาใช้พลังหอบหิ้วเดินทาง
ด้วยด่านพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 6 เปลี่ยนของเขา หลังเสริมด้วยปฐมเวทย์กลืนกิน และใช้ออกด้วยเวทย์พลังปีกอีกาทองคำ เกรงว่าคงไม่มีเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนคนไหนเทียบเขาได้ในแง่ของความเร็ว!
เรียกว่า…
หากจะวัดกันในเรื่องความเร็วแล้ว ตัวตนใต้ขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนไม่มีใครไล่ตามเขาได้ทัน!
เช่นนั้นใช้เวลาเพียงไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็พาทั้งหมดมาถึงตำแหน่งที่ตั้งตำหนักเมฆาครามในความทรงจำของเขา
ในความทรงจำของต้วนหลิงเทียน ตำหนักเมฆาครามนั้นลอยล่องอยู่เหนือฟ้าสูงของกึ่งกลางทะเลสบายสงบหนึ่ง อันเรียกว่าทะเลสาบผานหลง
ทว่าตอนนี้…
“ทะเลสาบผานหลงมันหายไปไหน…?”
(ผานหลง = มังกรขนด)
สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อมองไปยังที่ราบลุ่มอันไร้สิ้นสุดเบื้องหน้า…
เขามันใจเป็นอย่างยิ่ง
ว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ตั้งทะเลสาบผานหลงของตำหนักเมฆาคราม!
แต่ตอนนี้ไฉนที่ทางกลับเปลี่ยนไป!?
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ทันใดนั้น พลัยแว่วเสียงแหวกอากาศดังมาแต่ไกล ดึงความสนใจจากต้วนหลิงเทียนที่กำลังครุ่นคิดไปทันที
พอต้วนหลิงเทียนหันไปมองต้นเสียง
เขาก็พบร่าง 2 ร่างกำลังเหินมาจากสุดฟ้าไกลตา ประมาณความเร็วจากสายตาแล้ว…อย่างน้อยๆทั้งคู่ก็เป็นตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์!
มองปราดเดียวเขาเพียงเห็นว่าผู้ที่มาเป็นชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มธรรมดาๆเท่านั้น
ทว่าเมื่อสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนแผ่ออกไปตรวจสอบร่างกายของผู้มาอย่างเงียบงันโดยที่อีกฝ่ายไม่อาจรู้ตัว เขาก็พบความผิดปกติทันที!
“ทั้งเข้มข้นทั้งบริสุทธิ์นัก! ปราณมารนี่มัน…พวกปีศาจจากแดนเนรเทศไม่ผิดแน่!”
เรียกว่าต้วนหลิงเทียนคาดเดาฐานะผู้มาใหม่ได้ทันที
อีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์เหมือนเขา! แต่สมควรเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่จำแลงกายเป็นมนุษย์!!
“ลองตามพวกมันไปดูก่อนแล้วกัน”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอยากรู้ไม่น้อยว่าไฉนทะเลสาบผานหลงของตำหนักเมฆาครามถึงหายไป แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ เขาที่อุ้มลูกน้อยทั้งใช้พลังหอบหิ้วเค่อเอ๋อกับก่านหรูเยี่ยนอยู่ ก็พาทั้งหมดวูบร่างติดตามคน 2 คนที่กำลังเหินร่างผ่านมาทันที!
จะเรียก ‘คน’ ก็ไม่ค่อยถูกนัก เพราะนั่นคือปีศาจที่จำแลงกายเป็นมนุษย์!
ที่ไฉนต้วนหลิงเทียนเลือกจะตามพวกมันไปนั้น เหตุเพราะทิศทางที่ทั้งคู่มุ่งหน้าไป ก็เป็นทิศทางที่ตั้งตำหนักเมฆาครามพอดี!
“พี่เทียน…มีอันใดหรือ?”
ระหว่างเดินทาง เค่อเอ๋อที่สังเกตเห็นความผิดปกติจากน้ำเสียงทั้งทีท่าของต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าก็อดถามออกมาไม่ได้
“สามีของเจ้ามันคงกำลังสงสัยอยู่น่ะสิ ว่าไฉนทะเลสาบผานหลงของตำหนักเมฆาครามถึงหายไป…”
ต้วนหลิงเทียนไม่ทันได้ตอบอะไร ก็เป็นก่านหรูเยี่ยนพูดออกมาก่อน “แต่ก่อนตอนที่ข้าอยู่ในภูมิภาคเบื้องล่าง ข้าก็เคยผ่านมาแถวๆตำหนักเมฆาคราม 2-3 ครั้ง…เบื้องล่างตำหนักเมฆาครามหรือบริเวณที่พวกเราอยู่ตอนนี้ ปกติแล้วมันสมควรมีทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เรียกว่าทะเลสาบผานหลงอยู่”
ขณะพูดคิ้วก่านหรูเยี่ยนก็ขมวดยู่เป็นปม
“ตอนนี้กลายเป็นที่ราบลุ่มไปแล้วแบบนี้ ก็คงไม่พ้นถูกพวกปีศาจกลบถมแน่นอน…”
ครู่ต่อมาคิ้วที่ย่นยู่ของก่านหรูเยี่ยนก็ค่อยๆคลายตัว นางพอจะเดาสาเหตุได้
“ตำหนักเมฆาครามไม่อยู่แล้ว…”
หลังเหินร่างตามสองคนมาพักหนึ่ง เขาที่คำนวณระยะคร่าวๆได้ก็ลองแหงนขึ้นไปมองบนฟ้า แต่พบว่าเกาะลอยขนาดใหญ่ ที่สมควรมีตำหนักหลักของตำหนักเมฆาครามตั้งอยู่…กลับไม่อยู่เสียแล้ว! คงเหลือแต่ฟ้าสีครามกับเมฆลอยเอื่อย!!
ทันใดนั้นสีหน้าต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งมืดมนลงทันที
ตำหนักหลักของตำหนักเมฆาครามไม่ใช่เป็นดั่งจุดศูนย์กลางของตำหนักเมฆาครามเท่านั้น แต่ยังมีครอบครัวทั้งมิตรสหายของเขาอาศัยอยู่อีกด้วย!
ทว่ากลับมายังภูมิภาคเบื้องล่างครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ทะเลสาบผานหลงจะหายไป กระทั่งเกาะลอยทั้งหมดของตำหนักเมฆาครามยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย…
“ท่านพ่อท่านแม่ เสี่ยวเฟย เนี่ยนเอ๋อ…ลุงเฟิ่ง ศิษย์พี่…”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึง บิดามารดา ลี่เฟย ต้วนเนี่ยนเทียน เฟิ่งหวู่เต้า ป๋ายลี่หงรวมถึงคนอื่นๆขึ้นมา
ตำหนักเมฆาครามหายไปแบบนี้…แล้วทุกคนเล่า? ใช่ยังปลอดภัยกันอยู่หรือไม่?!
นี่คือเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกำลังกังวลอย่างหนัก!
“นี่…มีเมืองอยู่ด้านหน้า!”
ทันใดนั้นเสียงก่านหรูเยี่ยนพลันดังขึ้น ปลุกต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหม่อเพราะความกังวลให้ตื่นขึ้นมาทันที
พอรู้สึกตัวต้วนหลิงเทียนก็เร่งหันมองไปเบื้องหน้าตามคำของก่านหรูเยี่ยนอย่างไม่รอช้า
เบื้องหน้าไกลตา ปรากฏเป็นเมืองขนาดใหญ่โตกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่สุดไพศาล! สิ่งปลูกสร้างแลดูใหม่เอี่ยมพิกล มองไปคล้ายสัตวว์ร้ายตัวใหญ่ที่กำลังฟุบหมอบในที่ราบลุ่ม แลดูทรงพลังทั้งขู่ขวัญนัก!!
“ข้าจำได้ว่า…แต่ก่อนใกล้ๆเขตของตำหนักเมฆาครามไม่เคยมีเมืองตั้งอยู่ใช่หรือไม่?”
ก่านหรูเยี่ยนหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนอย่างไม่แน่ใจ
จากนั้นนางก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบคำอะไร ยังกล่าวสืบต่อออกมาว่า “แถมขนาดของเมืองนั่น หากจะยกไปเทียบกับเมืองเถื่อนในภาคกลางอย่างนครแห่งบาป ก็มีแต่จะใหญ่โตกว่าไม่ได้เล็กกว่าแม้แต่น้อย…หรือนี่จะเป็นเมืองที่พวกปีศาจจากแดนเนรเทศพึ่งจะสร้างขึ้นมา?”
“สมควรเป็นแบบนั้น”
มองไปยังเมืองใหญ่เบื้องหน้า สาเหตุที่ทะเลสาบผานหลงหายไป ความถึงสาเหตุที่ตำหนักเมฆาครามไม่อยู่คืออะไร เขาพอจะรู้แล้ว! แววตาของเขาพลันทอประกายดุร้าย ยังร้อนแรงปานมีเปลวเพลิงลุกโชน!
เป็นเปลวเพลิงแห่งความเกลียดชัง!
“สถานที่ตั้งเมืองข้างหน้า…เป็นอดีตพื้นที่ทำเหมืองของตำหนักเมฆาครามข้าไม่ผิดแน่ ดูเหมือนพวกมันจงใจมาตั้งรกรากที่นี่โดยเฉพาะ…”
คำพูดรอบนี้แม้จะฟังดูสงบ หากแต่น้ำเสียงที่พูดช่างผิดปกตินัก มันเต็มไปด้วยความเย็นชาอย่างไร้สิ้นสุด
ให้ความรู้สึกประหนึ่งหน้าหนาวมาเยือน!
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ติดตามร่างทั้ง 2 มาถึงน่านฟ้าใกล้ๆบริเวณด้านหน้าประตูเมือง
และบริเวณนี้ก็ปรากฏร่างผู้คนมากมายทยอยกันมาจากทิศทางอื่นให้ต้วนหลิงเทียนได้เห็น
ผู้คนเหล่านี้หากไม่เหินร่างลงไปเพื่อเข้าเมืองด้านหน้า ก็เป็นผู้คนจากในเมืองที่เหินร่างจากไป
ประตูเมืองอันใหญ่โตนั่น มองไปคล้ายปากกระหายเลือดของอสูรกายดึกดำบรรพ์ตัวเขื่อง ที่กลืนร่างผู้คนเข้าไปอย่างไม่รู้จักอิ่ม!
“คนพวกนี้…ทั้งหมดคือปีศาจที่จำแลงกายเป็นมนุษย์งั้นเหรอ…”
เมื่อมาถึงน่านฟ้าใกล้ๆหน้าประตูเมือง ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็ได้เห็นสถานการณ์ชัดถนัดตา แถมต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจด้วยไม่เห็นรูปลักษณ์แปลกประหลาดของปีศาจดั่งในบันทึก! ทว่าทั้งหมดกลับแลคล้ายคนปกติทั้งสิ้น!!
อย่างไรก็ตาม เมื่อลองแผ่สำนึกเทวะไปชำแรกแทรกร่างเพื่อตรวจสอบผู้คนเบื้องหน้าอย่างละเอียด เขาก็พบว่าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยปราณมารอันเข้มข้นและบริสุทธิ์เหนือล้ำยิ่งกว่าผู้ฝึกมารใดๆที่เขาเคยพบเจอ!!
ปราณมารระดับนี้ ไม่ใช่อะไรที่ผู้ฝึกมารจะมีได้ง่ายๆ!
เพราะต่อให้ได้รับเคล็ดบ่มเพาะพลังที่สืบทอดจากเผ่าพันธุ์ปีศาจดั้งเดิม ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้คนจะเพาะสร้างปราณมารที่บริสุทธิ์ทั้งมีความเข้มข้นสูงขนาดนี้ได้ภายในเวลาแค่ไม่กี่สิบปี! นับประสาอะไรกับเวลาแค่ 3 ปีกว่า!!
“นิ…นี่…พวกมันที่แท้เป็นคนหรือปีศาจกันแน่? ไฉนแลดูเหมือนมนุษย์อย่างพวกเราเลยเล่า?”
กระทั่งก่านหรูเยี่ยนเอง ยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
เพราะปีศาจในคราบมนุษย์เบื้องหน้าของนาง ดูอย่างไรก็ไม่ต่างจากผู้คนธรรมดาแม้แต่น้อย! และนางเองก็ไม่กล้าแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบใครส่งเดช เพราะพลังฝึกปรือนางไม่ได้สูงล้ำอะไร หากอีกฝ่ายรู้ตัวก็ย่ำแย่แล้ว!
“จากที่ข้าตรวจพบจากสำนึกเทวะ พวกมันทั้งหมดไม่มีทางเป็นมนุษย์ไปได้แน่นอน…เพราะต่อให้เป็นผู้ฝึกมารที่ได้รับเคล็ดบ่มเพาะพลังจากปีศาจดั้งเดิม ก็ไม่มีทางเพาะสร้างปราณมารที่บริสุทธิ์และเข้มข้นถึงขนาดนี้ได้หากไม่พยายามกลั่นพลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานับสิบๆปี!!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“พวกมันทั้งหมด…นี่เจ้าสามารถสัมผัสถึงพลังมารในร่างพวกมันได้ทุกคนเลยงั้นหรือ?”
ก่านหรูเยี่ยนถาม
“อืม ทุกคน…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ค่อยกล่าวเสริมว่า “ทั้งหมดที่เห็นอยู่ข้างหน้าตอนนี้ ไม่ว่าหน้าไหนข้าล้วนสัมผัสได้ถึงปราณมารเข้มข้นบริสุทธิ์ทั้งนั้น…และปราณมารระดับนั้น ไม่ใช่อะไรที่มนุษย์อย่างเราๆจะเพาะสร้างขึ้นมาได้ในเวลาสั้นๆแค่ 3 ปีแน่!”
“พี่เทียน…พวกเราไม่มีปราณมารอย่างเช่นพวกมัน…หากพวกเราเข้าเมืองไปแบบนี้พวกมันจะรู้ตัวหรือไม่?”
ทันใดนั้นเองเค่อเอ๋อก็กล่าวทักออกมาเสียงหนัก
และวาจานี้ก็เป็นการย้ำเตือนต้วนหลิงเทียนอย่างดี “ก็ถ้ามีคนตั้งใจตรวจสอบพวกเราได้จริงๆ ฐานะพวกเราได้ถูกเปิดเผยทันทีแน่…ที่ตอนนี้พวกมันไม่มีใครเอะใจอะไร เพราะที่เหินผ่านไปมาบริเวณหน้าเมืองตรงนี้ อย่างดีก็มีแค่เซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยนเท่านั้น พวกมันไม่อาจตรวจสอบพวกเราภายใต้สำนึกเทวะของข้าได้…”
“แต่ถ้าพวกเราเข้าไปในเมือง ไม่พ้นต้องเจอปีศาจที่มีระดับพลังฝึกปรือสูงกว่านี้แน่กระทั่งอาจจะสูงกว่าข้า ถึงตอนนั้นสำนึกเทวะของข้าก็คงไม่อาจปิดกั้นพวกมันได้เลย พวกมันย่อมพบตัวตนของพวกเราจากสำนึกเทวะได้ง่ายดาย…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเรียบ
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ก่านหรูเยี่ยนก็ชักหน้าเครียดทันที ใบหน้าแสนงามเต็มไปด้วยความเย็นชา บัดนี้ยังฉายชัดออกมาถึงความวิตกกังวล “ถ้างั้นตอนนี้พวกเราสมควรทำอย่างไรดี หากในเมืองมีปีศาจที่พลังึฝกปรือเหนือกว่าเจ้าจริง พวกเราเดินดุ่มๆเข้าไป ใยยังมิใช่รนหาที่ตาย?”
“อ่า…ก็นับว่ามีปัญหาจริงๆนั่นล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพลันหยุดร่างลงกลางฟ้า แล้วนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง
ครู่ต่อมาสองตาพลันทอประกายเรืองวูบ ด้วยมีความคิดหนึ่งแล่นวาบขึ้นในใจ “ข้าพอมีวิธีแล้ว…แต่ต้องทดลองดูก่อนว่ามันจะใช้ได้ผลรึเปล่า”
“วิธีการอันใดรึ?”
สองตากลมใสของก่านหรูเยี่ยนเบิกกว้างทอประกายวิบวับ เค่อเอ๋อเองก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยความชื่นชม ราวกับเห็นสามีของนางเป็นแบบอย่าง…
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้…”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบออกมาให้ชัดเจน เพียงใช้พลังหอบหิ้วร่างสตรีทั้ง 2 แล้วเหินร่างเบี่ยงไปจากทิศทางประตูเมือง มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่มีการสัญจรไปมาบางตา…
“เอาเจ้านั่นแล้วกัน!”
หลังจากพาทั้งหมดมายังพื้นที่ๆค่อนข้างเปลี่ยวจนยากจะแลเห็นใครผ่านไปมา ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวออกมาพร้อมตาลุกวาว เมื่อเห็นร่างหนึ่งเหินออกจากเมืองที่พวกปีศาจสร้างขึ้นแล้วผ่านมาทางนี้เพียงลำพัง…
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เสียงแหวกสายลมผ่าอากาศดังขึ้น 3 เสียง ทำให้ปีศาจในคราบมนุษย์ที่เหินร่างมาเพียงลำพังตระหนักถึงการมาของร่าง 3 ร่างทันที
และเมื่อตระหนักได้ถึงความเร็วของ 3 ร่างที่พุ่งเข้ามาหามัน หน้ามันก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง
วูบ! วูบ! วูบ!
พริบตาเดียวกันกับที่สีหน้าของปีศาจในคราบมนุษย์ผู้นี้เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ร่างพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็หยุดลงตรงเบื้องหน้ามันเสียแล้ว แถมต้วนหลิงเทียนยังมองมันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยตาลุกวาว…
“ขะ…ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าทั้ง 3”
ต่อหน้าพวกต้วนหลิงเทียน ปีศาจตนนี้ไม่กล้าถือดีอะไร มันเร่งป้องมือประสานทั้งโค้งคารวะอย่างนอบน้อม ทว่าสีหน้าท่าทางยังเผยความกระสับกระส่ายไม่น้อย!
นั่นเพราะความเร็วในการเหินร่างของ 3 คนเบื้องหน้า เป็นอะไรที่เหนือล้ำกว่ามันมากเกินไป!
พลังบ่มเพาะของมันก็แค่เซียนสวรรค์ 1 เปลี่ยนเท่านั้น…
ทว่าจากความเร็วที่ 3 ร่างเบื้องหน้าเผยให้มันเห็นเมื่อครู่ ก็ได้บ่งบอกให้มันรับทราบพลังฝึกปรือของผู้มาคร่าวๆ…
อย่างน้อยๆ ก็เหนือกว่าเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน!