WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2219
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2219
ตอนที่ 2,219 : พรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อ!
“เข้ามา!”
คล้ายรู้ว่าเผยซื่อไห่กระเหี้ยนกระหือรือขนาดไหน เวิงเจิ้งได้แต่ส่ายหัวมาเบาๆ ค่อยกล่าวตอบรับคำอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ชิ้ง!
ทันใดนั้นเสียงกระบี่ตวัดพลันดังขึ้นในอากาศ ร่างเผยซื่อไห่โจนทะยานออกมาพร้อมกระบี่เร็วไวปานภูตผี
ด้านเวิงเจิ้งก็ลงมือเช่นกัน หากแต่มันไม่ได้ใช้อาวุธใดๆ คล้ายคิดรับกระบวนท่าเผยซื่อไห่ด้วยมือเปล่า!
ปง! ปง!
ยามสองหมัดของเวิงเจิ้งที่ให้ความรู้สึกดั่งหมัดเหล็กไร้เทียมทานชกออก เสมือนกระสุนปืนใหญ่ยิงถล่มออกไปก็ไม่ปาน! พวกมันทั้งรวดเร็วทั้งทรงพลัง คลื่นกระแทกจากหมัดเผยพลังอันดุดันเข้มแข็ง อานุภาพพลังสะท้านสะเทือนไปในบรรยากาศ!!
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
…
เผยซื่อไห่พยายามปรับกระบวนท่ากระบี่ ตวัดฟันจ้วงแทงฟาดเฉือนฉับไว อาศัยเรียบง่ายแต่ร้ายกาจเข้าสู้ แต่ละกระบี่ที่ใช้ออกแฝงเร้นไปด้วยสำนึกกระบี่ไม่ใช่ชั่ว!
สำนึกกระบี่ที่เผยออก ปานจะฟันฟาดทำลายได้ทุกสิ่ง!
ปง! ปง! ปง! ปง!
…
กระบี่เผยซื่อไห่ว่าเรียบง่ายแต่ร้ายกาจแล้ว หากแต่หมัดคู่ของเวิงเจิ้งกลับแลดูไร้เรื่องราว บรรลุถึงคววามเรียบง่ายแต่ร้ายกาจยิ่งกว่ากระบี่ของเผยซื่อไห่เสียอีก!
หากผู้ที่มาเห็นสายตาไม่แหลมคมพอ คงคิดว่ามันเป็นนักเลงข้างถนนคนหนึ่งที่ออกหมัดตามอำเภอใจด้วยซ้ำไป!
หนึ่งกระบวน
สองกระบวน
สามกระบวน
……
พอถึงกระบวนท่าที่ 9 กระบี่ที่ตวัดฟันมาอย่างแยบคายของเผยซื่อไห่ กลับเสมือนถูกแม่เหล็กพิสดารดึงดูด ราวกับใบกระบี่มันพุ่งเข้าหาหมัดของเวิงเจิ้งด้วยตัวมันเอง! นำด้านที่อ่อนแอปะทะเข้ากับด้านอันเข้มแข็งของหมัด พาลให้ถูกหมัดกระแทกซัดจนง่ามมือฉีกขาด กระบี่ยังแทบปลิวกระเด็นหลุดมือ!
หลังถูกหมัดกระแทกเข้าจุดตายกระบวนท่า เผยซื่อไห่ก็ได้แต่ล่าถอยออกไป มือคอนกระบี่ชี้ลง ปรากฏโลหิตไหลออกจากง่ามมือชโลมกระบี่เป็นสาย หากแต่ไม่นานก็ปรากฏแสงพลังขุมหนึ่งเรืองวาบขึ้นบริเวณปากแผล หยุดสายธารสีแดงเอาไว้ไม่ให้สิ้นเปลือง…
“9 กระบวนท่าหรือ…”
เมื่อหยุดโลหิตบริเวณง่ามมือที่ฉีกได้แล้ว เผยซื่อไห่ก็ไม่ได้ไยดีอาการบาดเจ็บสักเท่าไหร่ คนลอยล่องค้างกลางหาว ปากกล่าวพึมพำอย่างเลื่อนลอย
ตอนนี้มองไปแม้คล้ายเผยซื่อไห่กำลังบ่นพึมพำจมกับความพ่ายแพ้ แต่อันที่จริงมันกำลังครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา คล้ายกลับจะหาเส้นสนกลในระหว่างการปะทะกับเวิงเจิ้งให้พบ พยายามสัมผัสให้ได้ถึงอะไรบางอย่าง
ด้านเวิงเจิ้งหลังกระแทกกระบี่จนง่ามมือเผยซื่อไห่ฉีกแล้ว มันก็หยุดมือทันที
พอเห็นว่าเผยซื่อไห่เหม่อคิดไปแล้วมันก็ไม่ได้อยู่รบกวนอีกฝ่าย ร่างวัยกลางคนวูบเลือนหายไปอย่างเงียบงัน พริบตาก็กลับไปลอยล่องอยู่ข้างบ้านไม้ คนค่อยๆนั่งลงขัดสมาธิลงกลางหาวอีกครั้ง เสมือนที่นี่ไม่มีเผยซื่อไห่
ราวครึ่งชั่วยามต่อมา ท่ามกลางหิมะที่ยังร่วงหล่นจากฟ้าไม่หยุด ในที่สุดเผยซื่อไห่ก็หลุดจากภวังค์
ขณะที่มันเก็บกระบี่เข้าฝักกลางหลัง มันก็มองไปยังเวิงเจิ้งที่กำลังนั่งขัดสมาธิกลางอากาศหน้าบ้านไม้บนธารนำแข็งไกลตา กล่าวออกเสียงทุ้มว่า “อีกกครึ่งเดือน ข้าจะรับมือท่านให้ได้ 10 กระบวนท่า”
“ข้าจะรอดู…”
เวิงเจิ้งไม่ได้ลืมตา เพียงกล่าวตอบอย่างเกียจคร้าน
จนเมื่อเผยซื่อไห่วูบร่างจากไปลับตาแล้ว มันจึงค่อยๆลืมตากล่าวออกพร้อมรอยยิ้มขื่นขมเบาๆ “เจ้าหนูนี่นับวันยิ่งก้าวหน้า…ต่อไปคิดสยบมันใน 10 กระบวนท่า คงทำไม่ได้แล้ว…”
หิมะในแดนเหนือก็ยังไร้ปราณีต่อสรรพชีวิตเช่นเคย ร่วงโปรยลงมาพรมรดตัวชายวัยกลางคนในชุดผ้าธรรมดาแสนบางที่เต็มไปด้วยรอยปรุอย่างไม่ไยดี
ไม่นานเวิงเจิ้งก็หลับตาลงอีกครั้ง คนหลับตานั่งขัดสมาธิกลางอากาศแน่นิ่งไปดั่งรูปปั้น
ณ เมืองเหรินโม่เชิ่ง ภูมิภาคเบื้องล่างดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ถึงแม้การลงมือของต้วนหลิงเทียนที่หน้าประตูเมืองจะเอิกเกริกไม่น้อย หากทว่าเหตุการฆ่ากันตายแบบนี้ในสายตาเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์แล้ว ช่างธรรมดาอย่างถึงที่สุด ไม่นับว่าเป็นเรื่องราวสำคัญอะไรเลย…
ต้วนหลิงเทียนหลังได้เข้าเมืองเหรินโม่เชิ่งมาแล้ว ก็ตกใจกับเรื่องราวทั้งที่ทางโดยรอบอยู่บ้าง
‘สมแล้ว ที่เป็นเมืองที่ใหญ่กว่านครแห่งบาปในภูมิภาคเบื้องบน…กล่าวไปการวางผังเมืองรวมถึงความเจริญรุ่งเรืองยังเหนือกว่านครแห่งบาปอยู่หลายส่วน!’
หลังเดินสำรวจเมืองเหรินโม่เชิ่งไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนที่พบโรงเตี๊ยมใหญ่แลดูน่าเชื่อถือ ก็พาเค่อเอ๋อ ก่านหรูเยี่ยนและบุตรสาวในอ้อมอกเข้าไปจับจองที่พักทันที
เรียกว่าเมืองเหรินโม่เชิ่งของเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์นั้น แทบไม่ต่างอะไรกับเมืองใหญ่ที่เจริญแล้วของมนุษย์เลย มีเหลาอาหาร มีบ่อนพนัน กระทั่งหอนางโลมก็ยังมี พาลให้มนุษย์เช่นเขาที่มาพบเจอนับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ
ที่พักในโรงเตี๊ยมที่ต้วนหลิงเทียนจับจองนั้น เป็นเรือนที่มีลานว่าง 2 เรือนติดกัน
ลานแห่งหนึ่งแน่นอนว่าสำหรับให้ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ส่วนอีกลานนั้นแน่นอนว่าสำหรับก่านหรูเยี่ยน พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อ
หลังเข้าที่พักดีแล้วต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆปลุกซือหลิงให้ตื่นขึ้นมา
นับจากเวลาแล้วตอนนี้ซือหลิงกก็อายุได้ 9 ขวบปี ถึงแม้ว่าอายุนางยังน้อยนิดทว่าเค้าโครงความงามก็เริ่มเผยให้เห็น
คาดได้ว่าหากเด็กหญิงนางนี้เติบโตขึ้นมาต้องกลายเป็นโฉมงามล่มเมืองอีกหนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่ามารดาแน่นอน
“อือ…”
เด็กสาวตัวน้อยที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างสลึมสลือ สิ่งแรกที่เห็นย่อมเป็นใบหน้าต้วนหลิงเทียน
สำหรับนางแล้ว ต้วนหลิงเทียน สมควรเป็นคนแปลกหน้าที่พึ่งได้พบกันครั้งแรก ทว่าหลังได้เห็นหน้าตาของต้วนหลิงเทียนเป็นครั้งแรกแล้ว สองตาน้อยๆของนางก็เบิกกว้างกลมโตเผยประกายสดใส กล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างคุ้นเคยไม่คล้ายคนแปลกหน้า “ท่านพ่อ งานท่านลุล่วงแล้วหรือ ท่านแม่คิดถึงท่านพ่อมาก…ซือหลิงก็คิดถึงท่านพ่อมาก คิดถึงท่านพ่อมากๆเลย”
แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้า ทว่าเลือดนั้นย่อมข้นกว่าน้ำ นางไม่รู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนแปลกหน้าแม้แต่น้อย กลับกันยังรู้สึกคุ้นเคยนัก
ต้วนหลิงเทียนเองตอนแรกก็เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจถูกลูกสาวผลักไสออกมาด้วยความตกใจ
เพราะสุดท้ายแล้วนี่ก็คือการพบหน้ากันครั้งแรกของนาง
ทว่าเป็นอะไรที่เหนือคาดคิดนัก ลูกสาวตัวน้อยในวงแขนเขาไม่เพียงไม่ผลักไส กลับสามารถจดจำเขาได้ในพริบตา ยังกล่าวบอกว่าทั้งนางและมารดาคิดถึงเขามาก สองแขนน้อยๆพยายามกางออกกว้างๆเท่าที่จะทำได้ บอกให้รู้ว่าคิดถึงมากเพียงใด!
พริบตานี้ต้วนหลิงเทียนได้แต่รู้สึกสั่นไหวในใจ สองตายังรื้นขึ้นมาเล็กน้อย
“ซือหลิง ลูกจำพ่อได้อย่างไร…”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มถามซือหลิงออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ความตื่นเต้นในใจถูกกดระงับเอาไว้ มือค่อยๆเอื้อมไปลูบหัวเด็กน้อยอย่างแผ่วเบา แววตาฉายชัดถึงความอบอุ่นอย่างหาที่สุดไม่ได้
“เอ๋า ท่านพ่อไฉนโง่งมนักเล่า…”
ต้วนซือหลิงยกมือขึ้นปิดปากที่ทำท่าราวกับกลั้นยิ้มเต็มที่ ก่อนที่จะหันไปรอบๆ พอเห็นเค่อเอ๋อ ก็แย้มยิ้มกล่าวพลางใช้มือน้อยชี้ป้ายไปที่บิดา “ท่านแม่ๆ ท่านพ่อช่างโง่งมยิ่ง! ไม่รู้เลยว่าซือหลิงได้เห็นหน้าท่านพ่อทุกวัน!!”
ได้ยินซือหลิงกล่าวออกมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเค่อเอ๋อด้วยความแปลกใจ
ได้เห็นหน้าเขาทุกวัน?
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
ด้านเค่อเอ๋อพอได้ยินคำลูกสาว ทั้งแลเห็นต้วนหลิงเทียนมองมาด้วยความแปลกใจ หน้างามก็อดขึ้นสีแดงเรื่อไม่ได้
“ซือหลิงคนเก่งบอกท่านพ่อเร็ว ว่าไฉนลูกได้เห็นหน้าท่านพ่อทุกวัน…”
เค่อเอ๋อกล่าวกับต้วนซือหลิงเสียงเบา
“ฮิฮิ ซือหลิงบอกก็ได้”
ต้วนซือหลิงหันมามองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง พลางกล่าวออกมาหน้ามุ่ย “ฮึ่ย ท่านพ่อไฉนท่านโง่งมนักเล่า ไม่รู้หรือว่าซือหลิงสามารถเห็นรูปเหมือนท่านได้ทุกวัน…อ๊า จริงด้วย! ซือหลิงยังวาดรูปท่านพ่อได้ด้วยนะ ถึงจะไม่สวยเท่าท่านแม่ก็ตาม”
ดูภาพเหมือนเขาทุกวัน!
ต้วนหลิงเทียนสามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที มองไปยังเค่อเอ๋ออีกครั้งสายตายังเต็มไปด้วยความอ่อนโยนแฝงคำนึงรักใคร่
“ถ้างั้น…ตอนนี้ซือหลิงดีใจหรือไม่ที่ได้เจอพ่อแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามซือหลิงด้วยรอยยิ้ม
“ดีใจ! ซือหลิงดีใจมากๆ!”
เด็กสาวตัวน้อยพยักหน้างึกๆราวลูกเจี๊ยบจิกกข้าวสาร ค่อยตอบกลับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงร่าเริง “เมื่อท่านพ่อกลับมาแล้ว คราวนี้ท่านแม่จะได้มีเพื่อนเล่นเสียที…นอกจากนี้ท่านแม่ยังบอกว่าท่านพ่อเป็นวีรบุรุษที่ร้ายกาจยิ่ง พอท่านพ่อกลับมาก็สามารถปกป้องข้ากับท่านแม่ให้อยู่ดี…”
“ด้วยมีท่านพ่อ ต่อไปซือหลิงกับท่านแม่ก็ไม่ต้องอยู่ในบ้านหนาวๆหลังนั้นแล้ว…”
ได้ยินคำของลูกสาวในอ้อมอก ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกระชับนางมากอดแน่นขึ้น ร่างยังสะท้านเบาๆ สองตาเผยความอัปยศทั้งรู้สึกผิดให้เห็น
เขารู้ดีว่าบ้านหนาวๆที่ลูกสาวกล่าวถึง ไม่พ้นต้องเป็นห้องขังอันเยียบเย็นในหอคุมกฏแน่นอน…
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ลอบปฏิญาณในใจ…
หลังจากนี้เขาจะชดใช้ให้เค่อเอ๋อกับลูกสาวให้มากเป็นสองเท่า
จากนั้นเด็กสาวตัวน้อยในอ้อมกอดเขาก็เริ่มดิ้นซน หันรีหันขวางอีกครั้ง “ท่านป้าเล่า ท่านป้าอยู่ที่ใดแล้ว?”
เห็นได้ชัดว่านางกำลังมองหาก่านหรูเยี่ยน พี่สาวฝาแฝดของเค่อเอ๋อ
ต้วนหลิงเทียนเห็นชัดว่าเด็กน้อยอยากไปเล่นกับป้าของนาง ก็อุ้มนางไปส่งให้ก่านหรูเยี่ยน หลังส่งลูกทั้งกำชับบางอย่างกับก่านหรูเยี่ยนแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนกลับมาหาเค่อเอ๋อ ปิดประตูห้องหับก่อนจะดึงนางกอดนางไว้แน่นพลางกล่าวความในใจ “เค่อเอ๋อทั้งหมดลำบากเจ้าแล้ว ยังขอบคุณเจ้าที่เลี้ยงลูกสาวเราให้เติบโตมาได้อย่างดี…”
“พี่เทียน ท่านกล่าวเองว่านางเป็นลูกสาวเรา ไหนเลยข้าจะไม่เลี้ยงดูนางให้ดีได้…”
เค่อเอ๋อที่ปล่อยตัวในอ้อมแขนต้วนหลิงเทียนอย่างอบอุ่น กล่าวออกเสียงเบา
ครู่ต่อมาแก้มนางก็ปรากฏสีเลือดฝาด กล่าวคำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้เค่อเอ๋อมีความสุขยิ่ง อยากให้พวกเรามีวันเวลาเช่นนี้ตลอดไป…”
“ข้าก็หวังไว้อย่างนั้น…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ ไม่เพียงแต่เค่อเอ๋อ เขาก็อยากให้เป็นแบบนี้เช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างบางก็ถูกชายหนุ่มประคองใบหน้าให้ตั้งตรง สองตาสบกันอย่างลึกซึ้ง ก่อนจะกดทับริมฝีปากหนาลงบนริมฝีปากบางอันอ่อนนุ่ม…ลิ้มรสความหอมหวานที่ห่างหายไปเนิ่นนาน เติมเต็มปรารถนาในใจที่คำนึงถึงทุกคืนวัน พลางช้อนร่างอย่างแผ่วเบา หากทว่าสองเท้ากลับก้าวอาดๆไปอย่างเร่งร้อน เลิกม่านผ้าบางกั้นเตียงแข็งขัน ค่อยวางร่างบางที่เต็มไปด้วยความอายม้วนลงอย่างทะนุถนอม…
…
บนตั่งเตียงในห้องน้อยดั่งมรสุมบังเกิดก็ไม่ปาน มองผ่านม้านผ้าไปเห็นเพียงสองเงาร่างทาบทับเลือนราง…สำเนียงครวญแผ่วเบาดังขึ้นเป็นระยะ ทำนองหนั่นเนื้อกระทบดังขึ้นอย่างไพเราะเพราะพริ้ง
หลังมรสุมแห่งความอบอุ่นทั้งร้อนแรงผ่านพ้นไประลอกแล้วระลอกเล่า จนทั้งห้องฟุ้งตลบไปด้วยกลิ่นอายรัก ร่างเค่อเอ๋อที่เหนื่อยล้าจากการทานรับทั้งสอดประสานความเข้มแข็งของชายในฝัน ก็ได้หลับไหลฟุบไปด้วยความพึงใจในอ้อมกอดแกร่ง
ต้วนหลิงเทียนลูบศีรษะเค่อเอ๋อที่ผมเผ้ากระเซิงเล็กน้อยเบามือ ค่อยๆใช้พลังไร้สภาพดึงผ้าห่มปลายเตียงขึ้นมาปกคลุมไม่ให้ร่างขาวเนียนกระจ่างไร้อาภรณ์ต้องถูกลมเย็น ก่อนจะฉุกคิดได้ถึงบางสิ่ง สำนึกเทวะเริ่มชำแรกเข้าไปในดวงจิตของร่างนุ่มในอ้อมอก
เขาอยากรู้ว่า ผนึก ที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกไว้ที่แท้เป็นเช่นไร
ผนึกที่ว่า ก็คือ ผนึก ที่สะกดพรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อเอาไว้!
เพราะเขาเคยได้ยินมาก่อนว่าเดิมทีพรสวรรค์รากวิญญาณแต่กำเนิดของเค่อเอ๋อนั้นเป็นสีม่วง หากทว่าถูกผนึกบางอย่างสะกดเอาไว้ทำให้ไม่อาจเผยพลังสามารถที่มันมี พลังฝีมือจึงไม่อาจก้าวหน้าฉับไวเหนือผู้คน…
“หืม?”
ทว่ายามสำนึกเทวะชำแรกลงลึกไปในดวงจิตของเค่อเอ๋อ ต้วนหลิงเทียนกลับไม่พบพานผนึกอันใดที่ว่าทั้งสิ้น เห็นเพียงพลังอันเข้มแข็งขุมหนึ่ง ที่หยั่งรากลึกปานไม้ใหญ่ในดวงจิต ยังเป็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่สุดประมาณ
“เป็นรากวิญญาณสีม่วงจริงๆ…”
ถึงแม้จะได้ยินมานานแล้วว่าพรสวรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อเป็นสีม่วง แต่พอได้มาเห็นกับตา ใจต้วนหลิงเทียนยังอดไม่ได้ที่จะเต้นรัวขึ้นมาผิดจังหวะ…
“แถม…ยังเป็นรากวิญญาณสีม่วงเข้ม…”
นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนยังค้นพบว่า
พรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อนั้นยังเป็นสีม่วงเข้มจนคล้ำแทบจะกลายเป็นสีดำอยู่รอมร่อ! เสมือนถึงขีดสุดสักยภาพเท่าที่พรสวรรค์รากวิญญาณจะมีได้!!
ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เริ่มตรวจสอบพลังฝึกปรือของเค่อเอ๋ออย่างไม่รู้ตัว
และเขาก็ได้พบว่า…
ด่านพลังฝึกปรือของเค่อเอ๋อ ไม่ทราบบรรลุถึงเซียนมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงแม้จะยังห่างจากขอบเขตเซียนสวรรค์อยู่หลายขั้น แต่ทว่าหากเทียบกกับระดับพลังฝึกปรือของนางในครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่ปีก่อน ก็นับว่าเป็นความก้าวหน้าอันน่าเหลือเชื่อนัก…
“ผนึกของเค่อเอ๋อคลายลงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…”
ต้วนหลิงเทียนงุนงงสับสนนัก
หากแต่แม้จะงุนงงทั้งสงสัยมากเพียงใด เขาก็ไม่คิดจะปลุกเค่อเอ๋อที่หลับไปแล้วขึ้นมาเพื่อกล่าวถาม “ไว้เค่อเอ๋อตื่นค่อยลองถามนางเรื่องนี้ดู…”
อย่างไรก็แล้วแต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไม่ดี พอได้รับทราบว่าตอนนี้ ผนึก พรสวรรค์รากวิญญาณของเค่อเอ๋อได้คลี่คลายลงแล้ว เขาก็ยินดีกับนางจากใจ
‘ตอนนี้ไม่มีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว ข้าไม่อาจพึ่งอัตราการไหลของเวลาในชั้น 4 ของเจดีย์ได้อีกต่อไป…เช่นนั้นหากเทียบกับในกาลก่อน พลังฝึกปรือของข้าจะก้าวหน้าช้าลงมาก…’
ฉุกคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มขื่นขม
‘ตอนนี้หากคิดจะเพิ่มพูนความเร็วในการบ่มเพาะ เกรงว่าคงทำได้แค่ยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้สูงขึ้นเท่านั้น…’
ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ…