WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2280
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2280
ตอนที่ 2,280 : ตัวตนถูกเปิดเผย!
การปิดด่านบ่มเพาะของต้วนหลิงเทียนนั้น ได้ทำให้ใครหลายๆคนในวังเซียนสัญจรจำต้องผิดหวัง
บรรดาผู้ที่ผิดหวังเหล่านี้ นอกจากชนชั้นอาวุโสของวังเซียนสัญจรแล้ว ยังมีชนชั้นรองเจ้าวังเซียนสัญจรอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นก็รวมถึงบิดาของหวงฉี่หลิงด้วย!
บิดาของหวงฉี่หลิงคนนี้ แม้จะเป็นชนชั้นรองจ้าววังเซียนสัญจรก็จริง หากแต่พลังฝีมือเพียงเหนือกว่าชนชั้นผู้อาวุโสเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น และท่ามกลางรองจ้าววังทั้งหลาย มันก็คือผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุด
หาไม่แล้วนายน้อยสวะที่เป็นลูกหลานของเหล่าอาวุโสวังเซียนสัญจรขอบเขตเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนทั้ง 3 คงไม่กล้าใช้ท่าทีแบบนั้นต่อหวงฉี่หลิง
“น้องหลิงเทียนปิดด่านบ่มเพาะงั้นเหรอ?”
หวงฉี่หลิงก็พึ่งได้รับทราบถึงการปิดด่านของต้วนหลิงเทียน
ด้วยเหตุนี้ ต้วนหลิงเทียน รองจ้าววังเซียนสัญจรคนใหม่ของวังเซียนสัญจร ก็ได้ปิดประตูไม่รับแขก ไร้ผู้ใดสามารถเข้าพบได้อีกเลย
เมื่อวันเวลาผ่านไป ภายในเมืองเหรินโม่เชิ่ง กระทั่งในเผ่าปีศาจทั้งหลายก็ค่อยๆกล่าวถึงเขาน้อยลง
เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง
นี่เป็นอมตะววาจาโดยแท้
เพียงแค่พริบตา กาลเวลาก็ได้ล่วงเลยไปอีก 1 ปี
และตอนนี้บทสนทนาในเมืองเหรินโม่เชิ่ง ไม่เว้นแม้แต่ทั่วทุกเมืองของเผ่าปีศาจ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องของต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป
สิ่งที่พวกมันกำลังให้ความสนใจกันตอนนี้ก็คือ การจัดตั้ง ‘มหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค’ โดยเหล่าปรมาจารย์จารึกเซียนของเผ่าปีศาจ
“สหาย เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้หรือยัง มหาค่ายกลใกล้ถูกจัดตั้งถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว…จากนี้อาจใช้เวลาแค่เพียง 1-2 ปี หรือกระทั่งอย่างช้าก็ 2-3 ปี พวกเราก็จะสามารถบุกขึ้นไปเข่นฆ่าไอ้พวกมนุษย์ในภูมิภาคเบื้องบนได้เสียที!”
ในเหลาอาหารแห่งหนึ่งของเมืองเหรินโม่เชิ่ง ปีศาจมนุษย์ตนหนึ่งเปิดหัวข้อสนทนากับสหายปีศาจร่วมโต๊ะ
“ข่าวใหญ่แบบนี้ไหนเลยข้ายังไม่ได้ยินได้!”
ปีศาจมนุษย์อีกตนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าเพื่อการนี้ทาง 3 วัง 6 ตำหนัก ของเผ่าปีศาจมนุษย์ได้ส่งคนออกไปตระเวนหาวัตุดิบทั้งวัสดุมากมายมาได้พักใหญ่แล้ว เพื่อรวบรวมเอาไว้ใช้ในการจัดตั้งมหาค่ายกล”
ด้วยมีปีศาจมนุษย์สองตนเปิดประเด็นนี้ ปีศาจตนอื่นๆที่อยู่ตะใกล้เคียงก็เริ่มเข้ามาวงสนทนาด้วยอย่างคึกคัก
“ที่จริงไม่ใช่แค่เผ่าปีศาจมนุษย์ของเรานะ เผ่าปีศาจอื่นๆก็ส่งกำลังพลไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้เพื่อรวบรวมสิ่งของ ยิ่งไปกว่านั้นบางเผ่าถึงกับส่งพี่น้องกลับไปรวบรวมวัตถุดิบถึงแดนเนรเทศเชียว”
“เรียกว่าเพราะการจัดตั้งมหาค่ายกลคราวนี้ เผ่าปีศาจทั้งหมดของพวกเราได้รวมใจกันดั่งเกลียวเชือก…ข้าล่ะหวังจริงๆว่าหลังจัดตั้งมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค และตอนยกทัพขึ้นไปพวกเราจะยังคงร่วมมือสามัคคีกันเหมือนตอนนี้”
“พวกเราต้องสามัคคีกันเป็นธรรมดา! อย่าได้ลืมไปว่าในภูมิภาคเบื้องบนนั้นล้วนแล้วแต่มียอดฝีมือของพวกมนุษย์ หากพวกเราไม่สามัคคีกันไหนเลยจะเข่นฆ่าพวกมันและยึดครองภูมิภาคเบื้องบนได้!”
“เห็นว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของภูมิภาคเบื้องบนนั้นดียิ่ง อีกทั้งทรัพยากรที่ใช้ในการบ่มเพาะเองก็อุดมสมบูรณ์นัก”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว! ถ้าไม่เป็นแบบนั้นไหนเลยเหล่ายอดฝีมือของพวกมนุษย์จะไปรวมตัวกันเล่า หากเป็นสถานที่ๆกระทั่งนกยังไม่อยากแวะเวียนไปขับถ่ายมีหรือพวกมันจะยกโขยงกันไปอยู่”
“เจ้ายิ่งพูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ข้าล่ะยิ่งรู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอ…อยากให้มหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคนั่นจัดตั้งเสร็จเร็วๆจริง”
…
เหล่าปีศาจมนุษย์ในเหลา เรียกกว่าคุยกันอย่างสนุกสนาน
ในวาจาของพวกมันเผยให้เห็นถึงความคาดหวังสำหรับสภาพแวดล้อมอันยอดเยี่ยม รวมถึงทรัพยากรบ่มเพาะอันอุดมสมบูรณ์ของภูมิภาคเบื้องบนดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า
ณ อาณาเขตของเผ่าปีศาจสุกร
เหล่า 3 ผู้นำของเผ่าปีศาจสุกร อันได้แก่ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ ผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรสายฟ้า และผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด ก็มารวมตัวกันอย่างหาดูได้ยากอีกครั้ง
“วัตถุดิบทั้งหมดที่เผ่าปีศาจสุกรสีชาดของข้าได้รวบรวมมา ถูกจัดส่งไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน…แล้วทางพวกเจ้าเล่าเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าวพลางมองถามผู้นำอีก 2 เผ่า
“พวกข้าก็จัดการเรียบร้อยแล้ว”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าพยักหน้ารับคำ
และวัตถุดิบที่พวกกมันกล่าวถึงนั้นก็ไม่ใช่วัตถุดิบใดอื่น หากแต่เป็นวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดตั้งมหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาค
“ด้วยอัตราความคืบหน้าระดับนี้ มหาค่ายกลสมควรถูกจัดตั้งแล้วเสร็จในอีกไม่นาน…ถึงตอนนั้นก็ได้เวลาที่เผ่าปีศาจสุกรของพวกเราจักย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง!”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าวออก แวววตายังทอประกายแห่งความหวัง
“หึหึ…คราวนี้พวกเราจักได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคเบื้องบนเสียที! ได้ยินว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะรวมถึงทรัพยากรในภูมิภาคเบื้องบนนั้นพร้อมพรั่งบริบูรณ์มานานแล้ว…ช่างน่าตื่นเต้นนัก!”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าว
“เฮ่อ…น่าเสียดายนักที่เด็กน้อยทั้ง 3 ไม่อาจอยู่จนเห็นฉากที่เผ่าปีศาจสุกรของพวกเราเดินทัพไปยังภูมิภาคเบื้องบนพร้อมกองทัพใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ…ตอนพวกมันยังอยู่ ต่างล้วนคาดหวังว่าจักได้บุกขึ้นไปเข่นฆ่าสังหารยอดฝีมือที่ภูมิภาคเบื้องบนกันมาตลอด…”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ได้ยินคำกกล่าวของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬ ไม่ว่าจะผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด หรือผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้าก็เงียบไปไร้คำจะกล่าว
และตอนนี้แววตาของพวกมันก็ฉายชัดถึงอารมณ์อันซับซ้อน
เด็กน้อยทั้ง 3 ที่ผู้นำเผ่าปีศาจสุกลทมิฬกล่าวถึงก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็น 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรนั่นเอง
ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้วหลังจากที่พวกมันตกตาย
หากแต่ชนชั้นผู้นำของเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3 ก็ไม่เคยลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นเลย
นั่นเพราะ ฐานะ ของ 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่นั่นมันอ่อนไหวเกินไป…
“นี่ก็ผ่านมา 1 ปีแล้ว…หากแต่ท่านผู้เฒ่าอาวุโสยังไร้ความเคลื่อนไหวอันใด ดูเหมือนคงปิดด่านถึงช่วงสำคัญ เตรียมตัวรับหายนะทัณฑ์สวรรค์รอบต่อไป…”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าว
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
ผู้นำปีศาจสุกรสายฟ้าพยักหน้ารับคำ ค่อยกล่าวเสริมด้วยสีหน้าเคร่ง “ตอนนี้ท่านผู้เฒ่าอาวุโสสมควรยังไม่รู้ว่าไข่มุกวิญญาณของพวกเด็กน้อยทั้ง 3 ล้วนแตกหมดสิ้นแล้ว…มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของท่านผู้เฒ่าอาวุโส เกรงว่าคงรีบเหินบินออกมาจากแดนเนรเทศแต่แรก!”
“ก็สมควรอยู่หรอก อย่างไรเด็กน้อยทั้ง 3 นั่นก็เป็นหลานรักของท่านผู้เฒ่าอาวุโส…หากท่านผู้เฒ่าล่วงรู้ว่าพวกมันตกตายไปแล้ว น่ากลัวว่าท่านผู้เฒ่าคงยินดีจ่ายออกด้วยทุกสิ่งเพื่อล้างแค้น ต่อให้หายนะทัณฑ์สวรรค์กำลังใกล้เข้ามาก็ตามที”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬกล่าวออกเสียงทุ้ม
ทันใดนั้นบรรยากาศโดยรอบก็เริ่มอึมครึมขึ้นมา
และฟังจากคำพูดของ 3 ผุ้นำเผ่าปีศาจสุกรแล้ว ผู้เฒ่าอาวุโสนั่น…
สมควรเป็นบรรพชนของเผ่าปีศาจสุกรที่ยังคงมีชีวิตอยู่ และกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ที่แดนเนรเทศของเผ่าปีศาจ! ยิ่งไปกว่านั้นยังเจียนเผชิญหน้ากับหายนะทัณฑ์สวรรค์เต็มที!!
“ยังมีอีกเรื่อง”
ครู่ต่อมาผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดก็กล่าวออกทำลายความเงียบ ค่อยยกมือขึ้นปรากฏม้วนกระดาษม้วนหนึ่งผุดจากความว่างเปล่าเข้ามือ
“หืม!?”
“มันคืออะไร?”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากกับผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬหันไปมองถามด้วยความสงสัยทันที
ต่อมาผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดก็คลี่ม้วนกระดาษดังกล่าวออกมาอย่างไม่ให้ทุกคนรอนาน
และเมื่อคลี่ม้วนกระดาษดังกล่าวออก ก็ปรากฏรูปเหมือนของชายคนหนึ่งวาดเอาไว้
วูบ! วูบ!
ทันใดนั้นเว้นก็แต่ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาด ผู้นำอีก 2เผ่าถึงกับชักหน้าเคร่ง ลูกตาหดเล็ก
สาเหตุที่ไฉนพวกมันออกอาการจริงจังแบบนี้ไม่ใช่เพราะใดอื่น แต่เพราะพวกมันจดจำคนในรูปวาดได้!
“เป็นมัน!”
“ภาพนี้เจ้าได้มาจากที่ไหน?”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากับผู้นำเผ่าปีศาจสุกกรทมิฬกล่าววออกแทบจะพร้อมเพรียง หลังหันหน้ามองสบตากันครู่หนึ่ง ต่างมองจ้องผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดไม่วางตา
บุคคลในภาพนั้นไม่ใช่ใครอื่น
เป็นชายหนุ่มชุดม่วงที่พวกมันเห็นจากม่านแสงสะท้อนลักษณ์ อันเป็นข่ายอาคมที่สลักไว้ในรูปปั้นบรรพชนของพวกมัน ชายหนุ่มชุดม่วงที่ฆ่า 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกร!
วันนั้นตั้งแต่ที่พวกมันเห็นชายหนุ่มชุดม่วงใช้ตราผนึกมารสังหาร 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าสุกรไป พวกมันก็มั่นใจได้เต็มสิบส่วนว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นยอดฝีมือของผู้ฝึกตนมนุษย์!
ตอนแรกพวกมันทั้ง 3 ก็คิดจะกระจายข่าวเรื่องมียอดฝีมือมนุษย์ผู้ถือครองตราผนึกมารนี้ออกไป
อย่างไรก็ตามหลังจากที่พวกมันทั้ง 3 ได้หารือกันดีแล้ว พวกมันก็เห็นพ้องต้องกันที่จะปิดข่าวนี้เอาไว้ก่อนระยะหนึ่ง
เหตุผลที่ทำอย่างนั้นก็คือ พวกมันกลัวไปกระตุ้นโทสะของยอดฝีมือมนุษย์ผู้นี้เข้า!
เพราะก่อนหน้านี้พวกมันเผ่าปีศาจสุกร กระทั่งเผ่าปีศาจที่บุกมายึดภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้กันเลยว่าในภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้มียอดฝีมือมนุษย์ที่ถือครองตราผนึกมารดำรงอยู่!
นั่นหมายความว่า…
ที่แรกที่ยอดฝีมือมนุษย์ผู้นั้นลงมือ สมควรเป็นเผ่าสุกรของพวกมัน!
หากพวกมันเผยแพร่ข่าวใดๆออกไป ยอดฝีมือมนุษย์ผู้นั้นต้องรู้ได้ทันทีแน่ว่าเป็นผลงานของพวกมัน เผ่าปีศาจสุกร!
หากยอดฝีมือมนุษย์ผู้นั้นเกิดมีโทสะด้วยเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วหันมาเล่นงานเผ่าปีศาจสุกรของพวกมันล่ะก็อาศัยพวกมันทั้ง 3 ต่อให้ร่วมมือกัน ก็ไม่มั่นใจว่าจะรับมือตราผนึกมารได้!!
หลังจากเกิดเรื่องคราวนั้น พอพวกมันไม่ได้ยินว่ายอดฝีมือมนุษย์ผู้นี้ไปลงมือกับเผ่าปีศาจอื่นใด และไม่มาลงมือกับเผ่าปีศาจสุกรของพวกกมันสืบต่อ พวกมันก็โล่งอกนัก และเลือกจะปิดข่าวสืบไป…
เป็นการดีเสียกว่าที่จะให้ผู้อื่นเสี่ยงแทน…
นี่นับว่าเป็นความคิดที่เห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ของผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทั้ง 3
ดั่งคำกล่าวที่ว่า
คนไม่รักตัวเอง ฟ้าดินประหัตประหาร!
(คนไม่รักตัวเอง ฟ้าดินประหัตประหาร = คนที่ไม่คิดอ่าน กระทำการใดย่อมประสบหายนะ)
“ภาพนี้ข้าได้มาจากสมาชิกเผ่าปีศาจสุกรสีชาดตนหนึ่ง…จากที่มันกล่าว ภาพเหมือนนี่ดูเหมือนจะได้มาจากแหวนพื้นที่ของผู้ฝึกตนมนุษย์คนหนึ่งที่มันฆ่า”
เมื่อเห็นผู้นำทั้งสองมองจ้องมาด้วยสายตาไถ่ถาม ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าวตอบออกมาทันที
“เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่ามันเป็นผู้ใด?”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสายฟ้ากล่าวถามเสียงเข้ม
แม้ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรทมิฬจะไม่พูด แต่ก็มองไปยังผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดด้วยความสงสัย
ทันทีที่พวกมันเห็นภาพเมือนบุคคลดังกล่าว พวกมันก็บอกได้ชัดถึงเรื่องหนึ่ง
ภาพเหมือนที่เห็นตรงหน้า ไม่ได้พึ่งวาดและลงสีเมื่อปีที่แล้วอย่างแน่นอน แต่สมควรวาดขึ้นมานานแล้ว!
ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงไม่คิดว่าภาพดังกล่าว ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดจะวาดขึ้นมาเอง
“ข้าย่อมรู้”
ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดพยักหน้ารับ ค่อยชักสีหน้าจริงจังกกล่าวออกเสียงขรึม “มันคือนายน้อยของตำหนักเมฆาคราม ขุมพลังของพวกมนุษย์ ต้วนหลิงเทียน!”
“มีข่าวลือว่าตัวมันมีโชคได้รับยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารมาครอบครอง แต่ทว่าสุดท้ายก็มียอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนลงมาช่วงชิงไป!”
ทันทีที่ผู้นำเผ่าปีศาจสุกรสีชาดกล่าวประโยคนี้ อีก 2ผู้นำก็หันมามองสบตากันทันที
“ที่แท้เป็นมัน!”
ทั้งสองอุทานออกอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าแววตายังฉายชัดถึงความประหลาดใจเหลือเชื่อ
ต้วนหลิงเทียน นายน้อยตำหนักเมฆาครามเคยถือครองตราผนึกมาร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกหูสำหรับพวกมันแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตามพวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่า…
ปีที่แล้ว ยอดฝีมือมนุษย์ที่ถือครองตราผนึกมารและได้ใช้ยอดศาสตราเซียนอย่างตราผนึกมารนั่นสังหาร 3 แฝดอัจฉริยะของเผ่าปีศาจสุกรพวกมัน ที่แท้จะเป็นนายน้อยตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียน!