WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2320
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2320
ตอนที่ 2,320 : กำเนิด 2 ครึ่งก้าวเซียนอมตะ!
“ต้วนหลิงเทียน…ต่อให้เจ้าข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์สำเร็จจนบรรลุครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วจะอย่างไร! สุดท้ายต่อหน้าท่านประมุขเผ่าเจ้าก็ไม่มีวันรอดพ้นความตายไปได้!!”
ด้านข้างหวงเหวินจิ้ง ศิษย์พี่ของนางอย่าง อวิ๋นฟู่เหย่ กำลังมองไปยังลำแสงเบญจรงค์ที่อาบร่างต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
เผชิญสิ่งเดียวกัน หากแต่ทัศนคติของศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ช่างต่างกันเหลือเกิน…
ภายนอก ผู้ชมทั้งหลายคิดว่าจะอย่างไรต้วนหลิงเทียนก็ต้องตายแน่ๆ
อย่างไรก็ตามด้านต้วนหลิงเทียนที่กำลังอาบลำแสงเบญจรงค์อยู่ ได้จมอยู่ในห้วงความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกราวกับเขาถูกบางสิ่งห่อหุ้มอยู่ มือเท้ากระทั่งปลายนิ้วยังไม่อาจเขยื้อนได้แม้องคุลี หากแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร ยังรู้สึกสบายอย่างถึงที่สุด…ราวกับได้หวนคืนสู่ครรภ์ของมารดา!
อารมณ์ตึงเครียดขุ่นมัวทั้งวิตกกังวลทั้งมวลที่เกิดขึ้นตั้งแต่ลงมายังภูมิภาคเบื้องล่างสลายไปสิ้น
ตอนนี้เขารู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด!
และในขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ว่าในร่างของเขากำลังก่อเกิดพลังขุมใหม่ขึ้นมาอย่างคลุมเครือ ทว่าพอเมื่อมันปรากฏขึ้นมาแล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาล เหนือล้ำยิ่งกว่าพลังเซียนต้นกำเนิดมากมาย!
นอกจากนั้นพลังดังกล่าวยังทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ยังควบคุมได้ไม่ต่างแขนขา!
ความรู้สึกที่ว่าแทบไม่ต่างอะไรจากความรู้สึกที่พลังเซียนต้นกำเนิดมอบให้
‘นี่…พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดงั้นเหรอ?’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ไม่ยากว่าพลังใหม่ในร่างเขาคืออะไร
สมควรเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด ที่จะก่อเกิดขึ้นหลังข้ามผ่านหายนะเพื่อบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ทำการส่องภายในร่างกายของตัวเองทันที
ขุมพลังใหม่แม้จะพึ่งเริ่มก่อเกิด และยังคงมีจำนวนน้อยนักหากทว่ามันสามารถสะกดข่มพลังเซียนต้นกำเนิดที่มีมหาศาลได้อย่างชะงัด!
เป็นการสะกดข่มของพลังคนละชั้น!
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนพลันนึกอะไรได้ และเริ่มลองหลอมรวมพลังเซียนต้นกำเนิดให้ผสานเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทันที ‘อย่างไรมันก็เป็นของข้า เพียงคิดก็สามารถรวมกันได้ไม่ยาก’
พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างก็ยังคงเพาะสร้างต่อไปเรื่อยๆ
‘เมื่อกี้อันตรายนัก…เกือบไปแล้วแท้ๆ’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะย้อนนึกไปถึงวินาทีที่อีกาทองคำ 3 ขา ถูกอัสนีทัณฑ์สุดท้ายทำลายจนย่อยยับ
ตอนนี้อีกเพียงเสี้ยวพริบตาร่างเขาก็กำลังจะถูกอัสนีทัณฑ์สุดท้ายกลืนหายไปแล้ว กระทั่งยังจะต้องตกตายอย่างไม่เหลือซาก!
แต่ทว่าในห้วงเวลาสุดท้ายก่อนอัสนีทัณฑ์ฟาดทำลายร่างเขา พลังมังกรได้พุ่งออกจากร่างเขา และต้านทานอัสนีทัณฑ์สุดท้ายเอาไว้ได้ทันท่วงที
และครู่ต่อมา พลังวิญญาณแทบทั้งหมดของเขากลับถูกชักนำไปผสานหลอมรวมในม่านตาพิสดาร ก่อนที่ม่านตาพิสดารจะปะทุพลังวิญญาณมหาศาลทั้งหมดออกไปผสานเข้ากับพลังมังกรเบื้องหน้า!
ทันใดนั้นพลังมังกรที่ผสานกับพลังวิญญาณก็แปรสภาพกลับกลายเป็นมังกรเทพยาดา 9 กรงเล็บตัวเขื่อง!
ที่สำคัญมังกรเทพยาดา 9 กรงเล็บตัวนี้มันช่างทรงพลังยิ่งกว่าสิ่งใดที่เขาเคยพบเจอมา!
บดขยี้อัสนีทัณฑ์สุดท้ายได้ง่ายดาย!
‘แต่…ตั้งแต่มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บนั่นปรากฏออกมาเพื่อทำลายอัสนีทัณฑ์สุดท้าย หลังจากนั้นมันก็สลายหายไปพร้อมพลังมังกร กระทั่งพลังของแร้งมารตาเดียวที่เคยหลอมอยู่ในตาข้าก็ไม่อยู่แล้ว’
‘มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บนั่นสมควรเกิดจากพลังมังกร…และที่ไฉนมันมีรูปร่างขึ้นมาแบบนั้นได้ ไม่พ้นต้องเป็นพลังของเนตรแร้งมารตาเดียวแน่!เสมือนมันได้มอบชีวิตให้กับมังกรเทพยดา 9 กรงเล็บ เพราะเหตุนี้มังกรเทพยดา 9 กรงเล็บนั่นถึงได้ทรงพลังขนาดนั้น!’
ต้วนหลิงเทียนยังคงจดจำเรื่องราวที่อุบัติขึ้นก่อนหน้าได้ชัดเจน
‘พลังมังกรหายไป แถมพลังของเนตรแร้งมารตาเดียวก็หายไปแล้ว…พวกมันคงไม่หวนคืนมาอีก’
‘พลังมังกรนั่นเป็นรากฐานในการแปลงเป็นนักรบมังกร 9 กรงเล็บ ส่วนพลังของเนตรแร้งมารตาเดียวก็เป็นรากฐานของม่านตาพิสดาร…เช่นนั้นหมายความว่าจากนี้ไป ข้าจะสูญเสียร่างนักรบมังกร 9 กรงเล็บ กับม่านตาพิสดารไป…’
‘ตอนนี้ตาข้างนี้ก็กลับมาเป็นปกติแล้ว…ไม่ใช่ม่านตาพิสดารอีกต่อไป’
คิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนในใจอย่างเสียดาย
เขาไม่คิดเลยว่าการข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์คราวนี้จะทำให้เขาสูญเสียพลังอำนาจที่มีค่าอย่างมากไปถึง 2 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นร่างนักรบมังกร 9 กรงเล็บ หรือม่านตาพิสดาร ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว…
‘แต่มีได้มันก็มีเสียล่ะนะ…’
พอคิดอีกทีเขาก็ตระหนัก ว่าถึงเขาจะสูญเสียพลังอำนาจทั้ง 2 ไป หากแต่สิ่งที่เขาได้กลับมาก็คือชีวิตของเขาเอง…!
‘ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพวกมันไม่ปรากฏออกมาในรูปแบบนี้ ข้าจะข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ได้ยังไง?คงตายคาที่ไปแล้วด้วยซ้ำ!’
แน่นอนว่าแม้เขาจะรู้สึกว่ามีได้มีเสีย แต่เขารู้ดีว่าสิ่งที่ได้มันมากมายมหาศาลกว่าที่เสียไปนัก!
‘ดีแล้ว…เสียอะไรก็เสียไป แค่ข้ายังมีชีวิตอยู่ย่อมดีที่สุด! กล่าวได้ว่าครานี้ข้าประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่!!’
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ใช่คนจิตใจคับแคบทั้งยึดติด เมื่อตระหนักว่าพลังมังกรทั้งพลังของเนตรแร้งมารตาเดียว จากไปอย่างไร้หวนกลับ เขาก็ไม่ได้เสียใจอะไรมากมาย กระทั่งคร้านจะเสียเวลาคิดถึงอีกต่อไป เพียงหันกลับมาให้ความสนใจพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดต่อ
‘ตอนนี้ข้าสามารถเพาะสร้างพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดได้แล้ว เช่นนั้นหมายความว่าต่อไปข้าก็ใช้ปฐมเวทย์กลืนกินเพิ่มพลังได้…ตราบใดที่ข้าบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะได้สมบูรณ์ ด้วยมีปฐมเวทย์กลืนกิน ต่อให้เจอกับยอดฝีมือครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้วยังต้องกลัวอะไร?!’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความมั่นใจนัก มั่นใจในปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาแตกฉาน!
‘อย่างไรก็ตามพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดนี่สมแล้วที่เป็นพลังอำนาจที่มีแต่ในระนาบเทวโลก มันไม่ใช่อะไรที่พลังในระนาบโลกียะจะเทียบได้เลย….พลังเซียนต้นกำเนิดช่างห่างชั้นกับมันนัก! แถมตอนนี้ในร่างข้าก็มีพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดแค่ส่วนเดียว หากพลังในร่างข้าเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั้งหมดมันจะร้ายกาจขนาดไหนกัน?!’
‘แล้วถ้าข้าเปลี่ยนพลังในร่างให้กลายเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั้งหมด นั่นหมายความว่าข้าจะกลายเป็นเซียนอมตะใช่หรือไม่?’
ต้วนหลิงเทียนจมจ่อมไปกับความวิเศษของพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดไปอย่างไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตามหลังเห่อของใหม่ไปได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนสามารถทำความคุ้นชินกับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดได้ไม่ยาก
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนใจพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่กำลังเพาะสร้างในร่างอีกต่อไป เพียงหวนนึกถึงฉากปะทะกับอัสนีทัณฑ์สุดท้ายอีกครั้ง
‘ตอนนั้นที่เผชิญกับอัสนีทัณฑ์สุดท้าย ยามปะทุพลังกระบี่ตามเคล็ดยอดใจกระบี่ทั้งหมดไปต้านทานอัสนีทัณฑ์สุดท้ายที่สร้างแรงกดดันมหาศาลนั่น พลังสภาวะของมันราวกับจะยกระดับขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน…ความรู้สึกนั่นมัน…’
‘เหมือนข้าจะสัมผัสได้ถึงประตูสู่ขอบเขตที่ 4 กระบี่ใจกระจ่าง! ราวกับมันตั้งอยู่ตรงหน้าเพียงเอื้อมมือไปก็บรรลุถึงแล้วแท้ๆ…’
‘ไม่รู้…ว่ากว่าที่จะได้สัมผัสความรู้สึกแบบนั้นอีกมันจะอีกนานแค่ไหน’
เคล็ดบำเพ็ญจิตเต๋ากระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่นั้น ต้วนหลิงเทียนพึ่งบรรลุถึงขอบเขตที่ 3 กระบี่อยู่ที่ใจเท่านั้น หากแต่เขาก็บรรลุมันถึงขีดสุดแล้ว อีกแค่ก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ขอบเขตของกระบี่ใจกระจ่าง!
ก่อนหน้าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันตรายอย่างที่ไม่เป็นมีมาก่อนของอัสนีทัณฑ์สุดท้าย เขาที่ปะทุพลังทั้งหมดก็คล้ายจะสัมผัสความรู้สึกประการหนึ่งได้อย่างแผ่วเบา…
อนิจจาด้วยตอนนั้นชีวิตของเขากำลังตกอยู่ในห้วงคับขันเป็นตาย เขาจึงไม่มีเวลามัวมาจับความรู้สึกดังกล่าวเพื่อทำความเข้าใจขอบเขตที่ 4 ของยอดใจกระบี่อย่าง กระบี่ใจกระจ่าง
‘แต่ก็ไม่เป็นไร…เดี๋ยวค่อยลองดูว่าข้าจะจับความรู้สึกนั่นได้อีกหรือไม่! หากทำได้สำเร็จ ยอดใจกระบี่ของข้าก็จะบังเกิดความก้าวหน้าไปอีกขั้น พลังความแข็งแกร่งโดยรวมก็จะเพิ่มพูนไปอีกระดับ….’
‘ขอบเขตที่ 4 ของยอดใจกระบี่ กระบี่ใจกระจ่างนั่น ต้องมอบพลังให้ข้ามากมายจนขอบเขตที่ 3 กระบี่อยู่ที่ใจมอบให้ทาบไม่ติดแน่! สำนึกกระบี่ย่อมเหนือล้ำสูงส่งไปอีกขั้น!’
นึกถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มจมสู่ภวังค์ เริ่มตีความขอบเขตที่ 4 ของยอดใจกระบี่ต่อทันที
ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ดำดิ่งสู้ห้วงคิด ตีความยอดใจกระบี่จนลืมเลือนเวลา
ไม่ทราบว่าเวลามันผ่านพ้นไปนานเท่าไหร่…
“หืม?”
ไม่ทันรู้ตัว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่ามีพลังขุมหนึ่งโคจรผ่านร่างเขาไปอย่างรวดเร็ว! และตอนนี้ร่างกายที่บอบช้ำสาหัสของเขาก็หวนกลับมาสมบูรณ์ดังเดิมไร้ซึ่งการบาดเจ็บใดๆหลงเหลือ สองตาที่ปิดสนิทก็ลืมตื่นขึ้นมาเต็มตา!!
“จบแล้วหรือ?”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังตระหนักอีกว่า ลำแสงเบญจรงค์ไม่ได้ช่วยเขาเพาะสร้างพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอีกต่อไป
และพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของเขาก็หลอมรวมผสานเข้ากับพลังเซียนต้นกำเนิดอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังในร่างกายเขา ที่สามารถควบคุมบังคับได้ตามใจไม่ต่างใดจากแขนขา และเขาสามารถดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อเพาะสร้างพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดได้ตลอดเวลา
และขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็พบว่า ลำแสงเบญจรงค์ไม่ได้ให้ความรู้สึกเสมือนห่อหุ้มเขาไว้อีกต่อไป ทำให้ร่างของเขาได้อิสระภาพกลับคืน มือเท้าขยับได้อีกครั้ง
‘นี่มัน…’
ต้วนหลิงเทียนเบิกตามองฝ่ามือสองข้างของตัวเอง
ซู่มม!!
ซู่มม!!
ภายนอก ตอนนี้ภายใต้สายตาชมมองของทุกคนไม่ว่าจะลำแสงเบญจรงค์ที่สาดส่องลงมาปกคลุมร่างอวี่เหวินฮ่าววเฉินหรือร่างต้วนหลิงเทียน พวกมันอยู่ๆก็เปล่งแสงสว่างหลากสีเจิดจ้าออกมา
มองไปประหนึ่งเสาแสงหลากสีสันที่กำลังต่อเชื่อมฟ้าดิน!!
กลิ่นอายอันน่าเกรงขามประหนึ่งจะสะกดได้ทุกสรรพสิ่งกำจายออกมากดดันในบรรยากาศอย่างน่าเกรงขาม!!
“นะ…นั่นมัน!!”
ตอนนี้ไม่เพียงแต่คนในวังเซียนสัญจรเท่านั้น ไม่ว่าจะด้านนอกวังเซียนสัญจร กระทั่งทั่วทั้งเมืองเหรินโม่งเชิ่งตอนนี้สามารถมองเห็นเสาลำแสงหลากสี 2ต้นที่เชื่อมฟ้าได้ชัดเจน!
การที่เสาลำแสงเบญจรงค์เปล่งประกายสีสันสดใส จนส่องสว่างไปไกลอยู่ๆก็อุบัติขึ้นพร้อมกัน 2 เสา ประหนึ่งจะเชื่อมต่อกับสวรรค์ ย่อมสร้างปรากฏการณ์อันน่าตื่นตกใจเป็นอย่างมาก!
“นี่มัน…มิใช่ปรากฏการณ์ที่ครึ่งก้าวเซียนอมตะจะถือกำเนิดหรอกหรือ!?”
ภายในเมืองเหรินโม่เชิ่งย่อมมีผู้ที่มีความรู้อยู่ไม่น้อย ทั้งหลายเพียงได้มองเห็นเสาลำแสงเบญจรงค์เชื่อมฟ้า พวกมันก็บอกได้ทันที่วานี่มันเรื่องอะไร!
“การถือกำเนิดของครึ่งก้าวเซียนอมตะ…แต่มิใช่ว่าควรมีลำแสงเบญจรงค์แค่สายเดียวหรอกหรือ แล้วไฉนยามนี้ถึงมี 2 ได้เล่า แถมทิศทางนั่นสมควรมาจากวังเซียนสัญจรอีก…หรือในวังเซียนสัญจรจะถือกำเนิดครึ่งก้าวเซียนอมตะพร้อมกันคราเดียว 2คน?”
“ถือกำเนิด 2 ครึ่งก้าวเซียนอมตะ? นั่นครึ่งก้าวเซียนอมตะนะ…มิใช่หัวผักกาด!?”
“แล้ว…เจ้าจักอธิบายเรื่องลำแสงเบญจรงค์ 2 สายนั่นอย่างไร?”
…
นอกจาก 9 ขุมพลังของเผ่าปีศาจมนุษย์อย่าง 3 วัง 6ตำหนักแล้ว เหล่าปีศาจในเมืองเหรินโม่เชิ่งล้วนแตกตื่นกันนัก
สำหรับผู้นำของอีก 1 วัง 6 ตำหนักที่เหลือ ที่กำลังหารือกันว่าอนาคตจะรับมืออย่างไร ตอนนี้ก็ได้แต่มองเสาแสงเบญจรงค์ด้วยสายตาตกตะลึงทั้งไม่อยากจะเชื่อ!!