WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2400
War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2400
ตอนที่ 2,400 : คิดอวดพลังฝึกปรือ? หน้าแหกไปเถอะ!
“หรงปัวพอเถอะ!”
หลิ่วเสวียขมวดคิ้วยู่ย่นมองกล่าวกับหรงปัวด้วยใบหน้าเยียบเย็นเสียงหนัก “ระหว่างทางเจ้าถือดีว่าตัวเองมีพลังฝึกปรือครึ่งก้าวเซียนอมตะ เลยเอาแต่ดูถูกพวกเรามาตลอด…ตอนนี้พวกเราอุตส่าห์เจอคนอย่างหาได้ยากแต่เจ้าก็คิดผลักไสผู้อื่นเขา!”
“หากเจ้ามีปัญหาและมิอยากเข้าไปในนั้นกับพวกเรามากนัก เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ…พวกเราไม่กล้ารบกวนผู้ยิ่งใหญ่อย่างเจ้าแล้ว!”
ยิ่งมาวาจาของหลิ่วเสวียก็ยิ่งไม่เกรงใจ
“หลิ่วเสวียเจ้า!”
หรงปัวมองไปยังหลิ่ววเสวียด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ อกยังแทบระเบิดออกมาด้วยโทสะ!
มันไม่คิดไม่ฝันจริงๆ!
หลิ่วเสวียเลือกกที่จะให้มันจากไปเพราะเห็นแก่ไอ่หนูหน้าขาวที่ยังไม่รู้พลังฝึกปรือด้วยซ้ำแบบนี้!!
“เจ้า…เจ้าหมายความว่าอะไร? เจ้าเห็นแก่ไอหนูหน้าขาวนี่ที่เจ้าเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังฝึกปรือมันบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้วหรือไม่ ดีกว่าข้าที่เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะงั้นเรอะ?!”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายเฮือก หรงปัวก็ระงับโทสะอันเดือดดาลในใจ มองถามหลิวเสวี่ย พลางส่ายตามองไปยังจางยี่กับหวังฉีอีกด้วย
“เฮอะ!”
หวังฉีสบถคำพลางตอบออกมาเสียงแข็ง “หลิ่วเสวียว่าอย่างไร ข้าว่าอย่างนั้น!”
“เจ้า”
หรงปัวที่ระงับโทสะได้แล้ว จำต้องของขึ้นอีกครั้งเพราะได้ยินคำตอบของหวังฉี
จากนั้นมันก็พยายามระงับอารมณ์แล้วหันไปมองถามจางยี่เป็นคนสุดท้าย “จางยี่ แล้วเจ้าเล่า?”
“ข้ามาทีหลัง ย่อมเคารพการตัดสินใจของทั้งคู่…”
กระทั่งจางยี่ที่แลดูราวกับไม่ค่อยอีนังขังขอบและสงวนวาจาราวมีค่าดั่งทอง ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เพราะอันที่จริงอย่าว่าแต่หวังฉีกับหลิ่วเสวียเลยที่ไม่ชอบทีท่าอวดดีลำพองรังแต่จะกดหัวผู้คนของหรงปัว มันเองก็ไม่ไหวจะทนแล้วเหมือนกัน เพราะมันอยู่ของมันเฉยๆแท้ๆแต่อีกฝ่ายก็มองแคลนมันราวกับไม่ใช่คนมาตลอดทาง!!
แต่ผู้ใดใช้ให้หรงปัวเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะเพียงคนเดียวในหมู่พวกมันเล่า?
หากมีครึ่งก้าวเซียนอมตะร่วมทาง แน่นอนว่าไม่ว่าในสถานที่แห่งนั้นจะอันตรายเพียงใด แต่ต้องสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้แน่ ให้กล่าวตามตรง…เมื่อมียอดฝีมือร่วมทาง ย่อมหลีกเลี่ยงความสูญเสียได้มาก!
ทว่าหรงปัวผู้นี้กลับสร้างปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่า เยอะอย่างไม่หยุด ทำให้มันเองก็เบื่อหน่ายเต็มทีแล้ว…
มาตอนนี้หลิ่วเสวียเลือกที่จะก้าวออกมาเปิดใจทั้งเผยให้เห็นความไม่พอใจที่มีต่อหรงปัวออกชัด มันก็ไม่คิดจะทนจึงเผยความในใจออกมาตรงๆเช่นกัน
“เจ้า…เจ้า…!!”
ได้ยินคำตอบของจางยี่ หรงปั๋วมีโมโหนัก! ยังโมโหจนตัวสั่น!!
เพราะมันไม่คิดไม่ฝันเลย
ว่าพวกหลิ่วเสวียทั้ง 3 จะเลือกให้มันไปเพราะเห็นแก่ไอ่หนุ่มหน้าขาวที่ไม่รู้มีพลังฝึกปรือบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนหรือไม่แบบนี้จริงๆ!
“เอ่อ…โทษนะ ที่เมื่อครู่เจ้าบอกว่า ‘ในนั้น’ นี่…มันคือสถานที่อะไรหรือ? แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันมีอะไรอยู่ด้านใน?”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันหันไปมองถามหลิ่วเสวียด้วยสงสัย
ด้านหลิ่วเสวียพอได้ยินก็ส่ายหัวไปมาเบาๆ “อันที่จริงข้ากับหวังฉีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าด้านในมีอะไรกันแน่…”
“ทว่าสถานที่แห่งนั้น เพียงแค่ปากทางเข้าก็มีข่ายอาคมทั้งค่ายกลมากมาย ราวกับมันทำไว้เพื่อปกป้องอะไรบางอย่าง…และจากที่ผู้อาวุโสในสำนักข้าบอกมา จากบันทึกที่สืบทอดต่อกันมาของบรรพชนรุ่นก่อนที่เคยเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์ที่ หากพบเจอสถานที่แห่งใดในแดนลับต่างสวรรค์ ที่มีค่ายกลและข่ายอาคมมากมายจัดตั้งไว้ ก็รู้ได้เลยว่าด้านในนั้นสมควรมีสมบัติล้ำค่าอยู่แน่นอน…”
ขณะกล่าวถึงกลางประโยคสองตาหลิ่วเสวียก็ทอประกายสว่างจ้า น้ำเสียงยังเผยความตื่นเต้นไม่น้อย
“เอาสิ! ข้าขอไปกับพวกเจ้าด้วยคน!”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ากล่าวเห็นด้วย
หลังเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้จนได้รับกระบี่เซียนอมตะมาครอง เขาก็พอตระหนักได้ถึงเรื่องแบบนี้ เพราะสถานที่ๆเก็บกระบี่เซียนอมตะเล่มนี้ไว้ มันก็เป็นสถานที่ๆคล้ายซากวิหารอะไรบางอย่าง ที่สำคัญยังมีค่ายกลและอาคมจัดตั้งไว้มากมายนัก
ทว่าต้วนหลิงเทียนก็พอมีความรู้เรื่องการจารึกอาคมและจัดตั้งค่ายกลไม่น้อย กอปรด้วยพลังที่มีทำให้เขาสามารถจัดการข่ายอาคมและค่ายกลเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง ยังจัดการได้อย่างแยบคายจนกระทั่งกลุ่มที่นำเข้ามาไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาลอบสะกดรอยตามมาด้านหลัง…
คราวนี้พอมาได้ยินคำที่หลิ่วเสวียบอก เขาก็ตระหนักได้ทันที…
สถานที่ๆหลิ่วเสวียไปพบเจอมา ต้องมีของดีอะไรอยู่ในนั้นแน่!
ทำให้สถานที่แห่งนั้นกระตุ้นความสนใจต้วนหลิงเทียนไม่น้อย ยังอยากครอบครองอะไรก็ตามที่อยู่ในนั้น!
ทว่าด้วยความสามารถควบคุมอารมณ์ ความอยากได้อยากมีทั้งหมดก็ถูกสะกดไว้แทบจะทันที หาไม่แล้วคงยากจะหาสถานที่แห่งนั้นพบ…
เพราะหากเขาคิดจะเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้น ก็ต้องเข้าร่วมกลุ่มเล็กๆของหลิ่วเสวียให้ได้ก่อน!
ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มเล็กๆที่มีไม่กี่คนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะหลิ่วเสวีย หวังฉี หรือจางยี่ เขาก็ไม่ได้ขัดข้องใจอะไรกับทีท่าของทั้ง 3 จะมีก็แต่หรงปัวเท่านั้นที่ทำให้เขาไม่ค่อยชอบขี้หน้าสักเท่าไหร่…
“ดีเลยน้องหลิงเทียน!”
หวังฉีมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตายินดี พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม “น้องหลิงเทียนหน้าตาเจ้านับว่าแลดูอ่อนเยาว์กว่าพวกเรานัก อีกทั้งยังมิได้มีกลิ่นอายของเซียนอมตะเสเพล ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเจ้าก็เหมือนพวกเราที่ยังมีอายุมิถึง 100ปี…แต่ที่ข้ามิอาจทราบได้จริงๆก็คือ ที่แท้น้องหลิงเทียนมีพลังฝึกปรือเท่าใดกันแน่”
กล่าวถึงจุดนี้ หวังฉีก็เร่งกล่าวเสริมออกมาต่อว่า “แต่น้องหลิงเทียนอย่าพึ่งเข้าใจผิดเล่า ข้าเพียงอยากรู้ระดับพลังของเจ้าเฉยๆเท่านั้น…ต่อให้เจ้าจักมีพลังฝึกปรือเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน แต่หากเจ้าไม่รังเกียจกลุ่มเล็กๆของพวกเราๆก็ยินดีต้อนรับเจ้า”
ถึงแม้ว่าพลังฝึกปรือจะไม่ถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนก็สามารถเข้าร่วมแดนลับต่างสววรรค์ได้…
ทว่าด้วยข้อมูลทั้งหลายที่สืบทอดต่อกันมาทุกคนจึงรู้ดี ว่าหากพลังฝึกปรือไม่บรรลุถึงเซียนสวรรค์ 7เปลี่ยน การเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรจากเข้ามาหาที่ตาย!
ดังนั้นโดยปกติแล้ว ผู้ที่จะเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้ ล้วนแล้วแต่มีพลังฝึกปรือขอบเขตเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนขึ้นไปทั้งสิ้น
เมื่อเสียงกล่าวถามของหวังฉีดังจบคำ หลิ่วเสวียกับจางยี่ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนเพื่อรอฟังคำตอบทันที
แม้กระทั่งหรงปัวเองก็อดหันไปมองต้วนหลิงเทียนไม่ได้ ในแววตายังฉายความดูแคลนมุมปากยังยกแสยะคล้ายจะรอตอกย้ำซ้ำเติมความอ่อนด้อยของต้วนหลิงเทียน
และแทบจะทันทีที่ทุกคนหันมามองจ้องเขาด้วยความอยากรู้ ต้วนหลิงเทียนก็ลงมือทันที
ซู่มมม!!
ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนพลันปะทุออกมาด้วยรัศมีพลังที่ร้อนแรงดั่งเพลิงไฟ!
ในเวลาเดียวกันกับที่ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนปะทุพลังออกมาดั่งเพลิงไฟนั้น กลิ่นอายพลังอันร้ายกาจขุมหนึ่งก็แผ่ออกมากดดันในบรรยากาศ! พาลให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดเสมือนถูกสะกดข่ม!!
เพราะเพลิงพลังทั่วร่างของต้วนหลิงเทียนมันระอุไปด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด!!
“คะ…ครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!”
หวังฉีอ้าปากค้างจนหมัดลอดเข้าออกได้ สีหน้ายังตกตะลึงค้างไปยากจะหายอยู่นาน แต่ในแววตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนนอกจากความตื่นเต้นยินดีแล้ว ยังฉายถึงเค้าลางความเสียดายออกมาให้เห็น!
และเค้าลางความเสียดายที่ว่า เกิดจากเรื่องที่หลิ่วเสวียกล่าวบอกไว้ก่อนหน้าว่าจะละทิ้งหรงปัว!
เพราะถึงหรงปัวจะนิสัยไม่ดี แต่อย่างไรก็มีพลังฝึกปรือครึ่งก้าวเซียนอมตะ! หากอีกฝ่ายออกจากกลุ่มเล็กๆของพวกมันไปจริง ก็ย่อมนับว่าสูญเสียไม่น้อย
นี่จึงเป็นบ่อเกิดแรกของความเสียดายในแววตามัน
และมาตอนนี้เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนเองก็เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะเช่นกัน จึงเป็นที่มาของบ่อเกิดความเสียดายที่สอง…
เสียครึ่งก้าวเซียนอมตะไปหนึ่ง แต่ได้รับครึ่งก้าวเซียนอมตะมาอีกหนึ่ง…
ยิ่งไปกว่านั้นครึ่งก้าวเซียนอมตะคนใหม่ผู้นี้ ยังแลดูอัธยาศัยดีน่าคบหามากกว่าหรงปัวไม่น้อย! หากไม่เกิดเรื่องใดขึ้นมิใช่ในกลุ่มจะมี 2 ครึ่งก้าวเซียนอมตะหรือไร? เช่นนั้นการเข้าไปยังสถานที่แห่งนั้นก็มีโอกาสเพิ่มมากกว่าเดิมหลายส่วนทีเดียว!
“ทะ…ท่านบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะแล้ว!?”
หลิ่วเสวียที่ตะลึงไปพักหนึ่ง พอดึงสติกลับมาก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกด้วยความตกใจ นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าคนที่นางพบเจอระหว่างทางโดยบังเอิญผู้นี้ มิคาดกลับเป็นถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!
กระทั่งจางยี่ที่แลดูเฉยเมย ยังอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มยินดีออกมา
จะมีก็แต่หรงปัวเท่านั้นที่หน้าเสียไปคล้ายเคี้ยวข้าวถูกแมลงวัน มันรอถล่มคำดูแคลนอีกฝ่ายเพราะพลังฝึกปรืออ่อนด้อย แต่ทว่าสุดท้ายกลับต้องหน้าแหกจนหมอไม่รับเย็บ!
อีกทั้งตอนนี้ใบหน้าของมันยังรู้สึกร้อนผ่าวนัก!ราวกับชายหนุ่มนามต้วนหลิงเทียนที่อยู่เบื้องหน้ายกมือขึ้นมาฟาดตบหน้าของมันอย่างจัง!!
“หรงปัว!”
ตอนนี้เองหวังฉีพลันตัดสินใจประการหนึ่ง เร่งหันไปมองกล่าวกับหรงปัวเสียงเบา “ตอนนี้น้องหลิงเทียนพิสูจน์แล้วว่าพลังฝีมือของเขาตรงตามความต้องการของเจ้า…เช่นนั้นเจ้ายังคิดจะจากไปอยู่หรือไม่? หรือยินดีจะเข้าไปสำรวจในสถานที่แห่งนั้นกับพวกเราต่อ?”
ในสายตาของหวังฉี เมื่อในกลุ่มมีครึ่งก้าวเซียนอมตะเพิ่มมาอีกคน หรงปัวคิดจะอวดดีอันใดก็ยากกระทำได้อีกแล้ว
และตอนนี้แม้หรงปัวจะเลือกจากไปจริงๆ ถึงมันจะเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเหมือนเดิม
แต่หากหรงปัวเลือกที่จะอยู่ต่อก็เป็นผลดีกับกลุ่ม!เพราะการมี 2 ครึ่งก้าวเซียนอมตะร่วมสำรวจสถานที่แห่งนั้น จะอุปสรรคอะไรต้องผ่านได้ง่ายลงกว่าเดิมแน่นอน…!!
“เหอะ!”
หรงปัวแค่นคำสบถออกมาเสียงเย็นหากแต่ก็ไม่ได้ไปไหน
การกระทำแบบนี้ของมันเห็นชัดว่าได้ตอบคำถามหวังฉีแล้ว
มันไม่คิดจากไป!
หลิ่วเสวียขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ลึกลงไปในใจนางอยากให้หรงปัวไปให้พ้นๆ แต่ในเมื่อหวังฉีตัดสินใจแบบนี้นางเองก็ไม่คิดพูดอะไรให้มากความสืบต่อ
“เอาล่ะนับว่าตอนนี้กลุ่ม 5 คนของพวกเรา มีครึ่งก้าวเซียนอมตะถึง 2 เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนสองคน และเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนอีกหนึ่งคน”
หวังฉีหันไปมองทุกคนรอบๆ พลางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ด้วยพลังรบโดยรวมของกลุ่มเรา ข้าเชื่อว่าสามารถเข้าไปถึงส่วนลึกของสถานที่แห่งนั้นได้อย่างไม่มีปัญหาแน่! พวกเรารีบไปกันเลยเถอะ!!”
หลังกล่าวจบคำหวังฉี ก็เหินร่างนำออกไปทันที
ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆก็เหินร่างตามไปติดๆทันที
“ต้วนหลิงเทียน หากข้าเดาไม่ผิด ท่านมาจากระนาบโหมหลัวใช่หรือไม่?”
(โหมในที่นี้ออกเสียงว่า โม๋ ไม่ใช่โหมจากหักโหม)
ระหว่างทางหลิ่วเสวียอดไม่ไหวจึงหันไปมองถามต้วนหลิงเทียน
พอได้ยินหลิ่วเสวียกล่าวถามเรื่องนี้ออกมา อีก 3 คนที่เหลือก็เงี่ยหูรอฟังคำตอบต้วนหลิงเทียนเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าพวกมันเองก็อยากรู้คำตอบของต้วนหลิงเทียนไม่ต่าง
“ระนาบโหมหลัว?”
ต้วนหลิงเทียนผงะไปเล็กน้อย ค่อยย้อนถามออกมา “แม่นาง…ไฉนกล่าวถามเช่นนี้เล่า?”
“อ้อ ก็เพราะพวกเรา 4 คนมาจากระนาบโลกียะ 3ระนาบที่แตกต่างกัน…และคราวนี้ผู้ที่จะเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์ได้ ก็สมควรเป็นคนอื่นในสองระนาบโลกียะที่เหลือจากในบรรดา 5 ระนาบโลกียะ”
หลิ่วเสวียค่อยๆกล่าวอธิบายออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ในบรรดาระนาบโลกียะทั้ง 5 มีมหาระนาบโลกียะทั้งสิ้น 4 ระนาบรวมถึง 3 ระนาบโลกียะที่พวกเราทั้ง 4…และด้วยความที่ท่านเองก็เป็นถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะที่อายุมิถึงร้อยปี หากท่านมาจากระนาบโลกียะทั้ง 3 ของพวกเรา ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน…”
ครึ่งก้าวเซียนอมตะนั้น แม้จะมองไปในระนาบโลกียะทั้งมวล ก็เป็นดั่งตัวตนหาได้ยากประหนึ่งเขามังกรขนหงส์
“เช่นนั้นข้าเลยเดาได้มิยากว่าท่านต้องมาจากระนาบโลกียะอีก 2 ระนาบที่เหลือแน่ และข้าเดาว่าสมควรเป็นระนาบโลกียะ โหมหลัว ที่เป็นระนาบโลกียะขนาดใหญ่”
หลิ่วเสวียกล่าวออกมารวดเดียวจบ
ได้ยินคำอธิบายของหลิ่วเสวีย ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจเรื่องราวได้ไม่ยาก ขณะเดียวกันก็ส่ายหัวออกมาพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มาจากระนาบโลกียะโหมหลัวหรอก…ข้ามาจากระนาบเซียนน่ะ”
ระนาบเซียนที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึง ก็คือระนาบอันมีดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าตั้งอยู่ และตอนที่อยู่ในภูมิภาคเบื้องล่าง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับรู้ชื่อเรียกนี้จากเผ่าปีศาจจากแดนเนรเทศ เพราะอีกฝ่ายเรียกหาดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าว่า แดนเซียน…
“เอ๋? ท่านมาจากระนาบเซียนเหรอ? ระนาบโลกียะขนาดเล็กนั่นน่ะนะ!?”
หลิ่วเสวียมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาตกตะลึงทั้งไม่อยากจะเชื่อ “เรื่องแบบนั้น…เป็นไปได้อย่างไรกัน ระนาบโลกียะขนาดเล็กที่ขาดแคลนทรัพยากรบ่มเพาะเช่นนั้น ไฉนปรากฏตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะที่อายุมิถึงร้อยปีเช่นท่านได้?!”
“น้องหลิงเทียน…เจ้าจะไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือ?”
หวังฉีมองไปยังต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงครั่นคร้ามยำเกรง “เท่าที่ข้ารู้มา ระนาบเซียนของเจ้า…ตั้งแต่ในสมัยโบราณจวบจนถึงวันนี้มีครึ่งก้าวเซียนอมตะที่อายุน้อยกว่าร้อยปีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์…”
“และคนผู้นั้นเรียกว่า ฟงชิงหยาง ยังเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์แห่งนี้เมื่อรอบที่แล้วนี่เอง!”