WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2434 วรยุทธ์เซียนอมตะ อัสนีบาตพิฆาตเซียนอมตะ
- Home
- WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์
- ตอนที่ 2434 วรยุทธ์เซียนอมตะ อัสนีบาตพิฆาตเซียนอมตะ
ตอนที่ 2,434 : วรยุทธ์เซียนอมตะ อัสนีบาตพิฆาตเซียนอมตะ
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนที่พาหานเฉวี่ยไน่กับจางยี่ผ่านด่านทดสอบที่ 7 ของสมบัติสถานระดับสวรรค์ที่เซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋เหลือทิ่งไว้มาได้หยกๆ พอทั้งหมดถูกส่งมายังห้องโถงพระราชวัง ก็ได้ยินเสียงแหวกสายลมมากมายดังขึ้น
พอทุกคนดึงสติกลับมาจากการการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมโดยรอบ ก็พบเห็นคนนับสิบยืนล้อมเอาไว้
“จางยี่!?”
เสียงเรียกขานหนึ่งโพล่งดังขึ้น และเสียงที่ว่าก็ดังมาจากหนึ่งในกลุ่มคนนับสิบ ที่ปิดล้อมพวกต้วนหลิงเทียนเอาไว้ใจกลางโถงพระราชวัง “ข้าไม่คิดเลยว่าที่แท้เจ้าจะมีโชควาสนาประเสริฐขนาดนี้ ถึงกับค้นพบสมบัติสถานระดับสวรรค์ที่เซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋เหลือทิ้งไว้!”
ผู้ที่จดจำจางยี่และร้องทักออกมา เป็นชายหนุ่มในชุดคลุมหรูหราสีขาวประดับด้วยดิ้นเงิน…
หากทว่าทีท่าวาจาขณะกล่าวคำทักจางยี่ไม่คล้ายเป็นสหายแต่อย่างไร การวางตัวของมันแลดูถือดีทั้งสะกดข่มจางยี่อย่างไรชอบกล…
วางท่าประหนึ่งฮ่องเต้เห็นข้าราชบริพาร!
“จางอวิ๋นเฟย!”
จางยี่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่าจะเจอชายหนุ่มชุดขาวที่นี่ ใบหน้าจึงอดเปลี่ยนสีไปไม่ได้ “เจ้า…ไฉนเจ้ามาที่นี่ได้?!’
“ทำไม ข้ามาไม่ได้เหรอ?”
ได้ยินคำของจางยี่ ชายหนุ่มในชุดขาวนามจางอวิ๋นเฟยอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “อะไร…หรือว่าเจ้ากำลังกลัวเพราะเห็นข้า? ตอนที่ได้ยินว่าคนที่ได้กระบี่เซียนอมตะในสมบัติสถานระดับสวรรค์แห่งนี้เรียกว่าจางยี่ ข้ายังอดตกใจไม่ได้..”
“เดิมทีข้าก็คิดไปว่าสมควรเป็นคนที่มีชื่อแซ่คล้ายกันมากกว่า เพราะน้ำหน้าอย่างเจ้าจางยี่…ไม่น่าจะมีคุณสมบัติพอจะถือครองกระบี่เซียนอมตะ…แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะเป็นเจ้าจริงๆ!!”
กล่าวถึงจุดนี้สองตาจางอวิ๋นเฟยก็หดเล็กลง ยังเผยประกายเยียบเย็นวาบขึ้น “จางยี่ ส่งกระบี่เซียนอมตะมาเสียดีๆ!”
“เหอะ!”
“เพ่ย!”
ทว่าแทบจะทันทีที่จางอวิ๋นเฟยกล่าวจบคำ จางยี่ที่สีหน้ามืดคล้ำดำลงไม่ทันได้ตอบสนองอะไร เหล่าผู้คนที่มาร่วมปิดล้อมพวกต้วนหลิงเทียนเอาไว้นับสิบ ก็เริ่มสบถออกมาเสียก่อน
“เฮ่ยไอ้ชุดขาว…เจ้าเรียกว่าจางอวิ๋นเฟยงั้นสินะ! นี่เจ้าสำคัญตัวเองผิดไปหรือไม่? กระบี่เซียนอมตะมิใช่อะไรที่เจ้าบอกจะเอาเจ้าก็จะได้รับ!”
“คิดเอาของไป…ได้ถามไถ่ดาบข้าแล้วหรือยัง?”
“เฮอะ! คิดจะฮุบกระบี่เซียนอมตะไว้คนเดียวรึ ข้ามศพข้าไปก่อน!”
…
เมื่อมีคนกล่าวเปิดด้วยความไม่พอใจ เหล่าผู้ที่ยังเงียบอยู่ก็เริ่มพูดออกมาตามๆกัน สายตาที่พวกมันใช้มองจางอวิ๋นเฟยยังเยียบเย็นลง
“ข้าจะเอาของไปแล้วพวกเจ้าจะทำไม?”
จางอวิ๋นเฟยอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแสยะกล่าวเย้ยออกมาด้วยน้ำเสียงค่อนแคะแววตายังเริ่มชืดชา เสียงกล่าวประโยคท้ายกลายเป็รเยียบเย็น “และในเมื่อพวกเจ้ามันรนหาที่ตายดีนัก…เช่นนั้นข้าจะสงเคราะห์พวกเจ้าก่อน!”
และแทบจะทันทีที่จางอวิ๋นเฟยกล่าวจบคำ
ฟู่มมม!!
ปรากฏพลังอันน่าเกรงขามสุดไพศาลขุมหนึ่งระเบิดปะทุออกมาท่วมร่างปานเพลิงไฟ และในพลังดังกล่าวไม่เพียงแต่จะมีแค่พลังเซียนต้นกำเนิดเท่านั้น ยังมีพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอีกด้วย!
“พลังเซียนอมตะต้นกำเนิด!?”
“ครึ่งก้าวเซียนอมตะ! มันเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ!!”
“ฉิบหายแล้วไง!”
….
เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่กำจายออกมาจากร่างจางอวิ๋นเฟย เหล่าผู้คนที่ปิดล้อมอยู่นับสิบ มีหลายคนที่หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
“ครึ่งก้าวเซียนอมตะรึ…แต่เจ้าคิดหรือว่ามีแต่เจ้ารึไงที่เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ!?”
ในบรรดาผู้คนนับสิบมี 2 คนที่สีหน้าเฉยเมยไร้แยแส ไม่ได้แลดูตกใจอะไรกับพลังของจางอวิ๋นเฟยแม้แต่น้อย และไม่ทันไรทั่วร่างของพวกมันทั้งคู่ก็ปะทุพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาเช่นกัน!
“2 ครึ่งก้าวเซียนอมตะ?”
จางอวิ๋นเฟยชักสีหน้าผิดคาดอยู่บ้าง เพราะมันไม่คิดว่าในบรรดาผู้คนนับสิบที่เข้ามาปิดล้อมกลุ่มจางยี่ในห้องโถงพระราชวังแห่งนี้จะมีตัวตนครึ่งก้าวเซียนอมตะอยู่ด้วยถึง 2 คน เรื่องนี้ทำให้มันอดประหลาดใจไม่ได้จริงๆ
“อะไร? เจ้ากลัวแล้ว?”
สองครึ่งก้าวเซียนอมตะ เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา
“กลัว?”
จางอวิ๋นเฟยคลี่ยิ้มบางๆ “ขอให้พวกเจ้าสองคนอย่าได้เป็นแค่ครึ่งก้าวเซียนอมตะธรรมดาๆเถอะ…หาไม่แล้วเกรงว่าไม่เกิน 2 ลมหายใจพวกเจ้าต้องตายคาที่แน่!”
ขณะที่กล่าววาจาประโยคนี้ออกมา จางอวิ๋นเฟยไม่เพียงแต่ไม่เผยความกลัวใดๆ ยังเผยรอยยิ้มมั่นใจในตัวเองออกมาอีกด้วย
“หรือว่า…”
ได้ยินวาจาด้วยความมั่นใจของจางอวิ๋นเฟย ครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 2 หันมามองสบตากันทันที และต่างก็แลเห็นถึงความตกตะลึงทั้งไม่อยากจะเชื่อในแววตาของกันและกัน
เพราะตอนนี้พวกมันทั้งคู่พลันนึกถึงความเป็นไปได้ขึ้นมาประการหนึ่ง…
จางอวิ๋นเฟยผู้นี้…หรือจะเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะที่มีพลังทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์!?
หาไม่แล้วไฉนอีกฝ่ายถึงได้กล่าวาคำด้วยรอยยิ้มระรื่นเปี่ยมมั่นใจแบบนั้น!
ในขณะที่ครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้งคู่หันมองหน้ากันด้วยความหวั่นๆ ไม่ทันรู้ตัวเวลาก็ได้ล่วงเลยไปครบ 2 ลมหายใจเรียบร้อยแล้ว…
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
…
ทันใดนั้นเสียงอัสนีแลบลั่นแปลบปลาบพลันดังขึ้นก้องห้องโถงพระราชวัง!
เป็นในมือของจางอวิ๋นเฟย ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่แต่บัดนี้กลับมีกระบี่ที่ควบรวมขึ้นมาจากพลังเซียนต้นกำเนิดพร้อมด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดถือไว้ แถมรอบตัวกระบี่ยังปรากกฏเส้นสายอัสนีแลบลั่นแปลบปลาบ! และเพียงมันตวัดกระบี่สายฟ้าในมือชูขึ้นเหนือหัว สูงขึ้นไปบริเวณเพดานโถงอันส่องสว่างไปด้วยสีทองพลันอุบัติแพเมฆสายฟ้าหนึ่งผุดขึ้นจากความว่างเปล่า!
หากแต่แพเมฆนี้พิกลนัก มันไม่ได้มีดำทึบอย่างที่เมฆฝนควรจะมี กลับส่องประกายออกมาเป็นแสงสีขาวกับสีม่วงสว่างไสว!
และในมวลหมู่อัสนีสีม่วงที่แลบลันลงมาจากแพเมฆที่ว่า ยังมีอัสนีสีขาวเจือปนให้เห็นอยู่หนาตา!
จางอวิ๋นเฟยไม่ทราบกำลังจะทำอะไรกันแน่ ถึงได้เพาะสร้างเมฆฝนประหลาดนั่นขึ้นมากลางโถงพระราชวัง!
“อัสนีบาตพิฆาตเซียนอมตะ!”
เห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว สีหน้าจางยี่พลันเปลี่ยนสีไปทันที “มัน…มันฝึกฝนวรยุทธ์เซียนอมตะสำเร็จแล้ว!!”
“วรยุทธ์เซียนอมตะ?”
ได้ยินเสียงจางยี่ ต้วนหลิงเทียนพลันเลิกคิ้วข้างหนึ่ง…
เพราะเขาเองก็เคยได้ยินคำว่าวรยุทธ์เซียนอมตะมาก่อน และรู้ว่าเป็นวรยุทธ์ของเหล่าเซียนอมตะที่ใช้กันบนระนาบเทวโลก และก็คล้ายๆกันกับวรยุทธ์เซียนของระนาบโลกียะที่สามารถใช้ร่วมกับเวทย์พลังได้
อย่างไรก็ตามวรยุทธ์เซียนอมตะนั้น จำต้องใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในการขับเคลื่อน!
ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นถึงแม้ผู้เฒ่าหั่วจะมีวรยุทธ์เซียนอมตะมากมายแต่ก็ไม่ได้สอนเขาไว้…
เพราะสุดท้ายแล้วกระทั่งตอนที่ผู้เฒ่าหั่วจากไป พลังฝึกปรือของเขาก็ยังคงห่างไกลขอบเขตครึ่งก้าวเซียนอมตะนัก…
เมื่อบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะจนสามารถเพาะสร้างพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดได้แล้ว จึงจะสามารถฝึกฝนวรยุทธ์เซียนอมตะได้
“นิ..นี่มันวรยุทธ์เซียนอมตะ!!”
ในขณะที่หน้าจางยี่เปลี่ยนสีไป เหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 2 คนก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้จางอวิ๋นเฟยกำลังใช้วรยุทธ์เซียนอมตะ! สีหน้าพวกมันก็อดแปรเปลี่ยนไปไม่ได้!!
ต้องทราบด้วยว่า…
วรยุทธ์เซียนอมตะนั่น จะอย่างไรก็เป็นวรยุทธ์ของระนาบเทวโลก!
ครึ่งก้าวเซียนอมตะที่ได้ฝึกฝนวรยุทธ์เซียนอมตะจนบรรลุความสำเร็จในระดับหนึ่ง ก็สามารถลงมือด้วยพลังที่ทัดเทียมกับเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์ได้!
ด้วยเห็นจางอวิ๋นเฟยกำลังสำแดงวรยุทธ์เซียนอมตะแบบนี้ จึงทำให้พวกมันตระหนักได้ถึงวิกฤตทันที!
เพราะลางสังหรณ์ของพวกมันบอกว่า…
พลังที่จางอวิ๋นเฟยสามารถปลดปล่อยออกมาด้วยวรยุทธ์เซียนอมตะนั่น สมควรมีพลังเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์!
“พิ…พี่ชาย…ข้าไม่ต้องการกระบี่เซียนอมตะอันใดแล้ว! เชิญพี่ท่านเอาไปเถอะ!”
“ใช่แล้วพี่ชายท่านนี้…ข้าเองก็ไม่เอากระบี่เซียนอมตะอะไรทั้งสิ้น ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ข้าไปแล้ว!!”
ครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 2 พอตระหนักได้ถึงลางหายนะ พวกมันก็เร่งกล่าวกับจางอวิ๋นเฟยอย่างเร่งด่วน
และในขณะที่พูดกับจางอวิ๋นเฟยพวกมันก็เริ่มก้าวถอยหลังไป เตรียมจะหนีไปให้ไกลจากสถานที่ผีสางแห่งนี้ทันที!
“คิดหนีตอนนี้ก็สายไปแล้ว!”
อย่างไรก็ตามในขณะที่พวกมันทั้งคู่คิดหนี พลังเซียนต้นกำเนิดทั้งพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างของจางอวิ๋นเฟยก็ปะทุออกมาอีกครั้ง พาลให้บรรยาศในโถงสั่นไหวกระเพื่อม
พลังวิญญาณฟ้าดินในห้องโถงจากเดิมที่สงบนิ่ง พลันพุ่งพล่านปานน้ำเดือด! พวกมันยังเริ่มไหลเข้าหาร่างกายของจางอวิ๋นเฟยทันที!
‘หืมเวทย์พลังสนับสนุนของมัน…อาศัยการดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบเข้าไปเสริมพลังด้วยงั้นเหรอ?’
ตอนนี้เอง สองตาต้วนหลิงเทียนที่ชมดูเรื่องราวอยู่ข้างๆ ก็หดหยีลงเล็กน้อย
เพราะเขาตระหนักได้ชัดเจน…
ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินที่อยู่ในห้องโถงพระราชวังกำลังถูกพลังเซียนต้นกำเนิดของจางอวิ๋นเฟยดูดกลืนเข้าไปเสริมพลัง!
ถึงแม้เวทย์พลังสนับสนุนของจางอวิ๋นเฟย จะไม่ได้ทรงพลังและน่ากลัวเหมือนปฐมเวทย์กลืนกินที่เขามี หากแต่มันก็ยังเหนือกว่าเวทย์พลังสนับสนุนใดๆในระนาบโลกียะ!
‘ความแข็งแกร่งของจางอวิ๋นเฟยตอนนี้…ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซียนอมตะเสเพล 4 ทัณฑ์เลย’
ในขณะที่ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมาในหัวต้วนหลิงเทียน
เปรี๊ยง! เปรี๊ยง! เปรี๊ยง!!
….
เป็นอัสนีสีม่วงกับสีขาวที่แล่นวาบแปลบปลาบอยู่ในเมฆสองสีที่ลอยติดเพดานโถง อยู่ๆก็ฟาดผ่าลงมาด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง ทำให้ครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 2 ที่คิดหลบหนี ไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกห่าอัสนีกระหน่ำฟาดลงเสียก่อน!
หลังจากที่ห่าอัสนีหยุดฟาดลง ร่างทั้ง 2 ก็อันตรธานหายไปไม่เหลือแม้แต่ซาก!
ตาย!
“คุณชายโปรดเมตตาด้วย! ขอคุณชายผู้ยิ่งใหญ่โปรดเมตตาด้วย!!”
“คุณชายท่านนี้เป็นข้าน้อยผิดไปแล้ว! เป็นข้าน้อยมีตาแต่ไร้แววขุนเขาตั้งอยู่เบื้องหน้ามิอาจแลเห็น! ขอคุณชายละเว้นข้าน้อยสักครั้ง!!”
เหล่าผู้คนนับสิบที่ชมดูเรื่องราวความเป็นไปอดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี เมื่อเห็นว่าร่างครึ่งก้าวเซียนอมตะทั้ง 2 ถูกฟ้าผ่าจนสลายหายไปไม่เหลือแม้แต่ซาก! และเมื่อตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้พูดอะไรไว้กับจางอวิ๋นเฟย เหงื่อกาฬพลันหลั่งไหลออกมาจนหลังเปียกชุ่ม!!
บางคนถึงกับคุกเข่าร้องขอชีวิต!
“เหอะ!”
อย่างไรก็ตามเผชิญหน้ากับกลุ่มคนนับสิบที่ร้องขอความเมตตา จางอวิ๋นเฟยไม่คิดปราณีใดๆ มันตวัดกระบี่ชี้ไปทางผู้คนทั้งหลายทันที!
ทันใดนั้นห่าอัสนีพลันฟาดลงมาอีกครั้ง มองไปฉากเรื่องราวประหนึ่งมหาพายุล้างโลกอุบัติขึ้นในโถงพระราชวังหลังนี้ก็ไม่ปาน!
ชั่วพริบตาเหล่าผู้คนนับสิบในโถงก็ตกตายสลายไปไม่มีเหลือ…
“เจ้านี่ใช่คนที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้ารึเปล่า…คนที่เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะแต่มีพลังทัดเทียมเซียนอมตะเสเพล 5 ทัณฑ์ในสำนักเทียนซือของเจ้าน่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามจางยี่ด้วยความอยากรู้
“ไม่ใช่มัน”
จางยี่ส่ายหัวไปมา “คนที่ข้าพูดถึงวันนั้นเป็นพี่ชายของมัน จางอวิ๋นเถิง…ก่อนที่จะเข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์พลังของจางอวิ๋นเฟยยังพึ่งเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 3 ทัณฑ์เท่านั้น แต่นั่นเป็นเพราะข้าไม่รู้ว่ามันได้ฝึกวรยุทธ์เซียนอมตะที่ท่านจ้าวสำนักเทียนซือของข้าถ่ายทอดไว้ให้สำเร็จแล้ว!!”
“และจางอวิ๋นเถิงพี่ชายของมัน เป็นเพราะฝึกฝนวรยุทธ์เซียนอมตะ ‘อัสนีพิฆาตเซียนอมตะ’ ที่จางอวิ๋นเฟยใช้อยู่ได้สำเร็จ เจ้าสำนักจึงมอบยอดสมบัติสวรรค์ให้ยืมใช้ เช่นนั้นพลังของมันจึงเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 5 ทัณฑ์!”
จางยี่กล่าว
“จางอวิ๋นเถิง?”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ชื่อนี้เขาเองก็จำได้
“งั้นหมายความว่า…หากมันได้กระบี่เซียนอมตะของเจ้าไป มันก็มีพลังมากพอจะเทียบได้กับเซียนอมตะเสเพล 5 ทัณฑ์เหมือนพี่มันงั้นสิ?”
ต้วนหลิงเทียนถามเสียงเรียบ
“ไม่ผิด…”
จางยี่ได้แต่เผยยิ้มออกมาอย่างขืนขม
“แต่…ยอดสมบัติสวรรค์ที่พี่ชายมันมี ไม่ใช่ว่าเจ้าสำนักเทียนซือของเจ้าก็มอบให้มันยืมใช้หรือไร ตอนนี้จางอวิ๋นเฟยก็ฝึกฝนวรยุทธ์เซียนอมตะ อัสนีพิฆาตเซียนอมตะนี่ได้แล้วนี่…เจ้าสำนักของเจ้าไม่ได้มอบยอดสมบัติสวรรค์ให้มันยืมใช้ด้วยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถามออกมาอีกครั้ง
“ไม่”
จางยี่ส่ายหัวไปมา “สำนักเทียนซือของเรา มียอดสมบัติสวรรค์เพียงแค่ 2 ชิ้นเท่านั้น…แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมอยู่กับตัวท่านเจ้าสำนัก ส่วนอีกหนึ่งจะมอบให้ศิษย์รุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดเท่านั้น…”
“เว้นเสียแต่พี่ชายของมันจะประสบอุบัติเหตุอันใด…หาไม่แล้วมันไม่มีทางได้รับยอดสมบัติสวรรค์ที่สำนักเทียนซือเราสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นไปใช้เด็ดขาด!”
จางยี่กล่าวเสริม
“แบบนี้นี่เอง…”
เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ไม่ยาก…
ว่าไฉนยามจางอวิ๋นเฟยมองจางยี่ แววตาของมันถึงได้ลุกวาวราวกับหมาป่าที่กำลังโหยหิวแลเห็นเหยื่ออันโอชะแบบนั้น!