WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2616
WSSTH ตอนที่ 2,616 : หลิ่วเฟิงกู่มาถึงหน้าประตู
“หืม? พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของข้า…เพิ่มขึ้น 3 ขั้น…มันเพิ่มขึ้นมาจากเดิมแค่ขั้นเดียวเองงั้นเหรอ?”
หลังใช้ปฐมเวทย์กลืนกิน คิ้วต้วนหลิงเทียนพลันยู่ย่นเป็นปมทันที เพราะผลลัพธ์นี้ทำให้เขารู้สึกผิดหวัง ทั้งยากยอมรับอยู่บ้าง
“จากที่ผู้เฒ่าหั่วเคยบอกไว้ในตอนนั้น…เวทย์พลังสนับสนุนอย่างปฐมเวทย์กลืนกินของข้าไม่อ่อนด้อยแน่นอน”
“แต่กระทั่งเวทย์พลังสนับสนุนของผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินนั่น ยังสามารถเพิ่มระดับพลังให้มันได้ถึง 2 ขั้น แต่ทำไมปฐมเวทย์กลืนกินถึงเพิ่มพลังได้มากกว่าเวทย์พลังของมันแค่ขั้นเดียวเองเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนพึมพำอย่างอื้ออึงอยู่นาน ยากจะยอมรับเรื่องราวได้
เดิมทีเขาคิดไว้ว่าหลังจากทดลองใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดูแล้ว จากนั้นเขาจะเริ่มบ่มเพาะพลังต่อ แต่ตอนนี้เขายากจะสงบใจบ่มเพาะต่อได้!
“ใต้เท้าเจ้าเมือง…ไฉนท่านมาถึงที่นี่ได้เล่า?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ เสียงของผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำเฉินเฉวียนป้าพลันดังขึ้นจากด้านนอก ดึงความสนใจของเขาไปทันที
ใต้เท้าเจ้าเมือง?
นั่นไม่ใช่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวหรือไร?!
‘ไฉนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวถึงมาที่นี่…หรือจะเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น?’
‘ไม่ใช่สิ…ผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินเหมียวไหลหลงนั่น มันส่งมอบเคล็ดวิชาผลึกรัศมีลี้ลับมาให้ข้าแบบนั้น เท่ากับข้ากุมจุดอ่อนมันไว้ในกำมือแล้ว…’
‘เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างมันจะยินดีสละชีวิตของตัวเองเพื่อล้างแค้นข้า!’
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้จักมักคุ้นเหมียวไหลหลง แต่เขารู้ดี…
ว่าคนอย่างเหมียวไหลหลงไม่ใช่คนประเภทยอมตายไปพร้อมกับเขาแน่นอน มันยังไม่มีความกล้ามากพอ!
“ข้ามาที่นี่เพื่อพบกับ ‘ต้วนหลิงเทียน’ แม่ทัพของกองทัพมังกรดำเจ้าน่ะ”
ไม่ทันไรก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน และยังเป็นเสียงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เพียงเอ่ยปากก็บอกเหตุผลการมาทันทีว่ามาหาเขาโดยเฉพาะ
‘เจ้าเมืองเฉวี่ยโยว…หลิ่วเฟิงกู่!’
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่เคยพบเจอเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวอย่างหลิ่วเฟิงกู่มาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยได้ยินเรื่องของอีกฝ่าย เขาจึงทราบว่าอีกฝ่ายก็คือยอดฝีมืออันดับ 1 ของเมืองเฉวี่ยโยว และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของผู้พิทักษ์มณฑลจิ่วโยว
‘ถ้าไม่ใช่เรื่องวันนั้น…แล้วหลิ่วเฟิงกู่มันมาหาข้าทำไม?’
ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความสงสัย
“ใต้เท้าเจ้าเมือง!”
“ใต้เท้าเจ้าเมือง!”
…
ขณะเดียวกันเสียงคุ้นๆหลายเสียงก็เริ่มดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียนไล่เลี่ยกัน
ต้วนหลิงเทียนย่อมจำแนกได้ทันทีว่านั่นเป็นเสียงของแม่ทัพมังกรดำอีก 4 คนนอกเหนือจากเขา ที่ยังอยู่ในค่ายกองทัพมังกรดำ
หู่จี๋ ไช่เหวินอวี้
จ้าวต่งชิ่ง ฉินอวี่
ต้วนหลิงเทียนดูแคลนและคร้านจะสุงสิงกับ 2 คนแรก
สำหรับ 2 คนหลังนั้น ต้วนหลิงเทียนยังพอมีความประทับใจอันดีให้พวกมันบ้าง
และพอได้ยินเสียงของพวกมันทั้ง 4 ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้อีกว่า
ไม่ว่าจะเป็นหู่จี๋ หรือไช่เหวินอวี้นั้น น้ำเสียงช่างเต็มไปด้วยความประจบประแจงเป็นพิเศษ มีแต่จ้าวต่งชิ่งกับฉินอวี่เท่านั้นที่ยังคงใช้น้ำเสียงปกติ
“ใต้เท้าเจ้าเมือง…ท่านมาหาแม่ทัพต้วนหลิงเทียน ใช่เป็นเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเหลาอาหารไหลเฟิ่งเมื่อเดือนก่อนหรือไม่?”
เสียงผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำเฉินเฉวียนป้าเอ่ยถาม หลิ่วเฟิงกู่ ดังขึ้นจากด้านนอกกระโจม
พอเฉินเฉวียนป้ากล่าวถามเรื่องนี้ออกมา คิ้วจ้าวต่งชิ่งกับฉินอวี่ก็ขมวดเล็กน้อย
ถึงพวกมันจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับต้วนหลิงเทียนมากนัก
แต่พอพวกมันมองในมุมของกองทัพมังกรดำ เป็นธรรมดาที่พวกมันจะไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนเกิดเรื่องใดๆ
ส่วนแม่ทัพอีก 2 คนอย่างหู่จี๋ และ ไช่เหวินอวี้นั้น ต่างหันมามองสบตากันก่อนจะแลเห็นสายตาลุกวาวพึงใจจากอีกฝ่าย
“เรื่องนี้ผู้บัญชาการเหมียวไหลหลงได้บอกข้าเป็นการส่วนตัวแล้ว ว่ามันจะไม่ติดใจเอาความอะไรอีก…กระทั่งเจ้าตัวยังไม่คิดหาความ แน่นอนว่าข้าเองก็ย่อมไม่ได้มาเอาเรื่องอะไร”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ที่ข้ามาหาแม่ทัพต้วนหลิงเทียนวันนี้เป็นเพราะเรื่องอื่น…แต่ข้ารับรองได้ว่าข้าจะไม่สร้างความลำบากใจอะไรให้แม่ทัพของกองทัพมังกรดำเจ้าคนนี้แน่”
ทันทีที่หลิ่วเฟิงกู่กล่าววาจาประโยคนี้ออกมา เฉินเฉวียนป้า จ้าวต่งชิ่ง และ ฉินอวี่ ก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ด้านหู่จี๋กับไช่เหวินอี้ก็หันหน้ามามองสบตากันอีกครั้ง ก่อนที่ประกายลุกวาวสมใจจะหายไป คงเหลือแต่ความผิดหวังเสียดาย…
เห็นได้ชัดว่าพวกมันหวังให้ต้วนหลิงเทียนโดนดี!
“นี่..ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า อย่างเจ้าเหมียวไหลหลงนั่นน่ะหรือจะมาบอกกับเจ้าเมืองเป็นการส่วนตัวว่าไม่ติดใจเอาความ?”
“นั่นสิ นี่มิใช่นิสัยของมันเลย”
หู่จี๋กับไช่เหวินอวี้ส่งเสียงหารือกันผ่านพลัง และในน้ำเสียงของพวกมันก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจนัก ด้วยคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าไฉนคนอย่างผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินเหมียวไหลหลง ถึงไม่มาเอาเรื่องต้วนหลิงเทียน หลังไปทำร้ายหยางกงผิงจนพิการ
ต้องทราบด้วยว่าหยางกงผิงไม่ใช่แค่แม่ทัพคนหนึ่งในกองทัพมังกรเงินมันเท่านั้น แต่ยังเป็นน้องเขยของมันอีกด้วย!
ส่วนด้านเฉินเฉวียนป้า จ้าวต่งชิ่ง และฉินอวี่ ขณะที่โล่งอก ในใจก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อด้วยเหมือนกัน
เพราะนิสัยและอารมณ์ฉุนเฉียวของเหมียวไหลหลงผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินเป็นเช่นไร พวกมันรู้กันดี
พวกมันจึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นดั่งอันธพาลที่ไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆแน่!
“ใต้เท้าเจ้าเมือง ตอนนี้แม่ทัพต้วนหลิงเทียนกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ข้าเกรงว่าตอนนี้ยังคงไม่รู้ว่าท่านมาแล้ว…ข้าจะเรียกให้ท่านเอง”
เฉินเฉวียนป้าเอ่ยบอกหลิ่วเฟิงกู่
หลังกล่าวจบมันก็หันไปมองกระโจมของต้วนหลิงเทียน และเตรียมจะส่งเสียงผ่านพลังปลุกต้วนหลิงเทียนในกระโจม
“ไม่ต้องหรอก!”
อย่างไรก็ตามในขณะที่เฉินเฉวียนป้ากำลังจะเรียกต้วนหลิงเทียน หลิ่วเฟิงกู่พลันเอ่ยหยุดมันเอาไว้ “ในเมื่อแม่ทัพต้วนหลิงเทียนกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ข้าก็ไม่คิดรบกวน…เพียงเขาออกมาจากการปิดด่านเมื่อใด เจ้าช่วยแจ้งให้เขาทราบทีแล้วกันว่าข้ามาหา แล้วก็รีบแจ้งไปให้ข้ารู้ด้วย ข้าจะได้มาอีกรอบ”
วาจาฟังดูเกรงใจของหลิ่วเฟิงกู่ ดังขึ้นให้เฉินเฉวียนป้าและคนอื่นๆฟังชัดถนัดหู! พาลให้ทั้งหมดงุนงงนัก!!
เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวบอกว่า…รอให้ต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านก่อน ค่อยแจ้งไปแล้วจะได้กลับมาหาอีกครั้งหรือ?
การปฏิบัติอย่างเกรงใจมากมารยาทเช่นนี้ ไม่ว่าจะเฉินเฉวียนป้าหรือผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินก็ยังไม่เคยได้รับ
หากเป็นพวกมันทั้งสองคนล่ะก็ อย่างดีเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวก็คงพูดว่า…
หลังจากที่พวกมันออกจากการปิดด่านแล้ว ก็ให้รีบไปรายงานตัวที่จวนเจ้าเมืองทันที!
“ทราบ”
ถึงแม้ในใจจะตกใจจนไร้คำพูด และไม่ทราบว่าไฉนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวถึงปฏิบัติกับต้วนหลิงเทียน แม่ทัพของกองทัพมังกรดำมันอย่างเกรงใจมากมารยาทขนาดนี้ แต่เฉินเฉวียนป้าก็เร่งขานรับออกไปทันที
“ข้าออกจากการปิดด่านแล้ว“
แต่ในขณะที่หล่วเฟิงกู่กกำลังจะเหินร่างจากไปนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันก้าวเดินออกมาจากกระโจม และก็หันไปสบสายตากับหลิ่วเฟิงกู่ทันที
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นหลิ่วเฟิงกู่
อย่างไรก็ตามคนอื่นในที่นี้เขารู้จักหมด เช่นนั้นก็ไม่ยากที่จะบอกว่าคนไหนคือเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว หลิ่วเฟิงกู่
“เจ้าเมือง”
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ากล่าวคำทักทายออกไปด้วยทีท่าเป็นกันเอง แต่ต้นจนจบไม่ได้ทักทายหลิ่วเฟิงกู่ด้วยทีท่าราวกับผู้น้อย หากแต่ทักทายหลิ่วเฟิงกู่ดวยท่าทีเท่าเทียม
แต่ในขณะที่เสียงทักทายต้วนหลิงเทียนดังจบคำ และหลิ่วเฟิงกู่ก็คลี่ยิ้มบางๆเตรียมตอบรับคำทักของต้วนหลิงเทียนนั้นเอง
“โอหัง!”
“บังอาจ!!”
“ไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ!!”
“ต่อหน้าใต้เท้าเจ้าเมือง เจ้ายังกล้าใช้ท่าทีหยาบคายเช่นนั้นหรือ!?”
ไม่ทันที่หลิ่วเฟิงกู่จะได้พูดคำใด แม่ทัพของกองทัพมังกรดำอย่างหู่จี๋กับไช่เหวินอวี้ ก็หันขวับไปจับจ้องต้วนหลิงเทียนตาดุ ตะโกนออกมาเสียงเย็นสอดรับกันอย่างเข้าขา ประหนึ่งกำลังตำหนินักโทษอาชญากรรมร้ายแรง!
ในหัวของพวกมันตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
ประจบใต้เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวเพื่อเอาหน้าและให้เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวพึงพอใจพวกมัน!
อย่างไรก็ตาม พวกมันคล้ายจะลืมเลือนไปเสียสิ้น
ว่าเมื่อครู่หลิ่วเฟิงกู่พึ่งกล่าววาจาราวกับเกรงใจต้วนหลิงเทียนอย่างมาก! กระทั่งยังมีมารยาทไม่รบกวน ไม่เพียงแต่จะรอให้ต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านเอง ยังจะให้คนไปแจ้งต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่าน เพื่อมาหาเองถึงที่แทนการสั่งให้ไปพบ!
หลังหู่จี๋กับไช่เหวินอวี้ตะคอกคำเสียงเย็นจบ สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็มืดลง ด้านหลิ่วเฟิงกู่ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี
“การกระทำของแม่ทัพต้วนหลิงเทียนใช่ธุระให้พวกเจ้าสอดปากงั้นหรือ!?”
ทันใดนั้นเอง หลิ่วเฟิงกู่ก็แผดเสียงเปี่ยมโทสะ มือหนึ่งยกขึ้นสะบัดปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลปานไร้ผู้ต้านออกไปขุมหนึ่ง ซัดกระแทกร่างหู่จี๋กับไช่เหวินอวี้อย่างจังโดยที่พวกมันไม่ทันได้ตั้งตัว จนพวกมันบาดเจ็บสาหัส!
“เอื้ออ—!!”
“อั๊คค—!”
หู่จี๋กับไช่เหวินอวี้ร่างกระเด็นปลิดปลิว คนกระอักโลหิตคำใหญ่สร้างเส้นทางสีเลือดเป็นทางกลางหาวยืดยาว ค่อยหยุดร่างลงด้วยสภาพยักแย่ยักยัน จากนั้นก็พยายามเงยหน้าขึ้นมองหลิ่วเฟิงกู่ที่ยืนอยู่ไกลๆอย่างยากลำบาก ในสายตาเผยความประหลาดใจทั้งสับสนไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง ว่าไฉนการชะเลียเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวครั้งนี้ถึงทำให้พวกมันโดนดีเสียได้…
“เอ่อ…”
เฉินเฉวียนป้า จ้าวต่งชิ่ง และฉินอวี่ที่แลเห็นเรื่องราวก็ยืนงงเป็นไก่ตาแตก…
นี่มัน…
เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?
ก่อนหน้าพวกมันเพียงแค่รู้สึกว่าเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวเกรงใจและให้เกียรติต้วนหลิงเทียนเป็นพิเศษ…
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวของพวกมันจะเกรงใจให้เกียรติต้วนหลิงเทียนเท่านั้น แต่ยังถึงขั้นสุภาพและเผยทีท่าเคารพทั้งวาจาและการกระทำ…
พวกมันย่อมคิดไม่ออกจริงๆ
ว่าไฉนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวถึงได้แลดูสุภาพกับต้วนหลิงเทียนถึงขนาดนี้
‘หืม?’
อันที่จริง กระทั่งตัวต้วนหลิงเทียนเองยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย
เมื่อครู่ต่อนที่หู่จี๋กับไช่เหวินอวี้กล้ตะโกนตำหนิเขาเสียงเย็น เขาก็เตรียมจะลงมือสั่งสอนพวกมันเช่นกัน
ทว่าไม่ทันที่เขาจะลงมือ กลับเป็นเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวที่ชิงลงมือซัดพวกมันไปเสียก่อน
‘ข้า…เหมือนจะพึ่งเคยเจอมันไม่ใช่หรือไง…ทำไมมันไม่เพียงแต่เกรงใจทั้งสุภาพ แต่ยัง…ระวังท่าทีข้านัก?’
ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ออกจริงๆ
“แม่ทัพต้วนหลิงเทียน…รบกวนไปสนทนากันหน่อยได้หรือไม่?”
หลังจากจัดการหู่จี๋กับไช่เหวินอวี้ไปแล้ว สีหน้าโมโหของหลิ่วเฟิงกู่ก็หายไป มันฉีกยิ้มจริงใจหันไปกล่าวถามต้วนหลิงเทียนอย่างสุภาพ
“ได้สิ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็เหินร่างติดตามหลิ่วเฟิงกู่ที่เหินร่างนำออกไปทันที ทิ้งค่ายในหุบเขาเอาไว้เบื้องล่าง…
ขณะเหินร่างตามหลิ่วเฟิงกู่มา ต้วนหลิงเทียนก็มองแผ่นหลังหลิ่วเฟิงกู่ด้วยความสงสัย เพราะตอนนี้เขายังคิดไม่ออกจริงๆว่าไฉนอีกฝ่ายถึงแลดูสุภาพและมีท่าทีแบบนี้
‘แต่เดี๋ยวก็รู้เอง…ว่าที่มันมาหาข้า…ที่แท้มีวัตุประสงค์อะไรกันแน่’
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็คร้านคิดมากสืบไป
ส่วนภายในหุบเขานั้น จนเมื่อแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียนกับหลิ่วเฟิงกู่หายลับไปต่อหน้าต่อตาแล้ว เหล่าแม่ทัพทั้งหลายไม่เว้นผู้บัญชาการอย่างฉินเฉวียนป้าจึงค่อยฟื้นคืนสติกันอีกครั้ง
หลังดึงสติกลับคืนมาได้ พวกมันก็หันมามองหน้าสบตากัน จนแลเห็นแววตาเหลือเชื่อทั้งตกตะลึงของอีกฝ่าย
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ
จังหวะนี้ ความเงียบคือคำตอบที่ดีที่สุด…