WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2618
WSSTH ตอนที่ 2,618 : วังฉิน!
“ท่านเจ้าเมืองด้วยสติปัญญาและการตัดสินใจของท่าน มาเป็นเจ้าเมืองของเมืองเล็กๆอย่างเมืองเฉวี่ยโยวนี่…ช่างเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่จริงๆ…”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอนเมื่อได้ฟังคำพูดคำจาของ หลิ่วเฟิงกู่ เจ้าเมืองเฉวี่ยวโยว
“เดิมทีข้าไม่ใช่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยว แต่ข้าเคยเป็นถึงที่ปรึกษาของผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยว…แต่เป็นเพราะข้าทำให้คนผู้หนึ่งไม่พอใจ ข้าจึงถูกลดขั้น สุดท้ายจึงถูกส่งให้มาเป็นเจ้าเมืองของเมืองเฉวี่ยโยวนี่…”
ระหว่างพูดถึงเรื่องนี้ คล้ายหลิ่วเฟิงกู่จะหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต แววตาของมันพร่ามัวทั้งสั่นเครือ “หากไม่ใช่เพราะหลายปีที่ข้าเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยว ข้าได้สร้างความดีความชอบเอาไว้มากมาย…เผลอๆข้าได้ตายกลายเป็นผีเพราะเจ้านั่นไปแล้ว!”
“คนที่เจ้าเมืออยากให้ข้าไปจับมาให้ฆ่าน่ะรึ?”
เมื่อนึกถึงข้อตกลงที่หลิ่วเฟิงกู่เอ่ยขึ้นมาก่อนหน้า สองตาต้วนหลิงเทียนก็เผยแสงกระพริบ ถามออก
“มิผิด”
หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้ารับคำ
“ข้าเกรงว่าคงต้องทำให้ท่านเจ้าเมืองผิดหวังแล้ว…”
เห็นหลิ่วเฟิงกู่พยักหน้ารับ ต้วนหลิงเทียนเพียงยักไหล่กล่าวตอบออกไปว่า “ถึงแม้ว่าในช่วงที่ข้าอยู่เมืองเฉวี่ยโยวจะมีคนตายภายใต้เงื้อมมือข้าไม่น้อย…แต่ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่สมควรตายทั้งสิ้น!”
“ให้ข้าไปช่วยจับคนมาให้ท่านเจ้าเมืองฆ่าโดยที่ข้าไม่รู้จักคนๆนั้นดีแบบนี้ ยังต่างอะไรกับการที่ข้าไปเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์? ขออภัยด้วย แต่ข้าไม่อาจรับข้อตกลงเรื่องนี้ได้”
กล่าวถึงท้ายประโยค ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหัวไปมาอีกรอบ
“ข้ายังไม่ทันได้เสนอข้อตกลงใดๆ แต่เจ้ากลับปฏิเสธออกมาแล้ว?”
หลิ่วเฟิงกู่ผงะไปวูบหนึ่ง
“ไม่ว่าจะให้อะไร ข้าก็ไม่สนหรอก”
ต้วนหลิงเทียนตอบ
เขาเป็นคนมีหลักการ
“อย่างน้อยก็ให้ข้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังก่อนเถอะ…”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนปฏิเสธไม่คิดทำการค้าด้วยตรงๆ หลิ่วเฟิงกู่ไม่ได้โกรธอะไร เพียงค่อยๆเล่าเรื่องราวออกมาว่า “กาลครั้งหนึ่งเคยมีชายคนที่อาศัยอยู่ในจวนผู้ว่าประจำมณฑลจิ่วโยวคนหนึ่งได้ทำการรับศิษย์ส่วนตัวและเห็นศิษย์คนนั้นไม่ต่างอะไรจากลูกชายแท้ๆ…ยามเมื่อศิษย์คนนั้นเติบโตและความสามารถอันน่าทึ่งค่อยๆเผยออกมาให้เห็นไม่หยุด ก็ช่างทำให้ชายคนนั้นภาคภูมิใจนัก”
“ทว่าเพราะความสามารถอันน่าทึ่งที่ว่านั้นเอง จึงไปต้องตาพึงใจของคนที่มีตำแหน่งเป็นรองก็แต่ผู้ว่าประจำมณฑลจิ่วโยวเข้า ทำให้มันเลือกจะใช้อำนาจบีบคั้นศิษย์ส่วนตัวของชายคนนั้น ให้ทรยศอาจารย์แล้วหันมาเป็นศิษย์ของมันแทน รวมถึงยังบังคับให้ใช้แซ่ของมัน…”
“ทว่าศิษย์ส่วนตัวของชายคนนั้น ได้ทำการยืนกรานปฏิเสธมันเสียงแข็ง ว่าจะอย่างไรก็ไม่มีทางเนรคุณอาจารย์ได้ลงคอ…ผลสุดท้ายเด็กน้อยอนาคตไกลคนหนึ่ง ก็จำต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า เพราะตัวตนที่มีอำนาจเป็นลำดับสองในมณฑลจิ่วโยวผู้นั้นเกิดบันดาลโทสะลงมือเข่นฆ่าอย่างอำมหิต…”
“พอชายคนนั้นล่วงรู้เรื่องที่ศิษย์ส่วนตัวถูกเข่นฆ่าก็มีโมโหนัก ยังถึงขั้นกระอักโลหิตนอนซมไม่ได้สติเป็นเวลาสามวันสามคืน…และหลังจากฟื้นขึ้นมา ชายคนนั้นที่รู้ตัวดีว่าอาศัยพลังของตัวเอง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะล้างแค้นให้ศิษย์ส่วนตัว เช่นนั้นจึงลอบไปหาผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยว หมายเรียกร้องความเป็นธรรมให้ศิษย์อันน่าสงสาร…”
“อนิจจาในโลกอันโหดร้ายใบนี้ที่ผู้เข้มแข็งเป็นใหญ่…ถึงแม้ผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวจะเห็นอกเห็นใจเรื่องที่ศิษย์ส่วนตัวของชายคนนั้นตกตายไม่น้อย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ว่าการประจำมณฑลจะลงโทษมือดีของมณฑลเพื่อศิษย์ไร้สำคัญคนหนึ่ง…”
“และในโลกนี้ไม่มีประตูบานใดกั้นลมได้สนิท ไม่ทันถึงวันก็มีสายไปรายงานอันดับสองในมณฑลผู้นั้นเรื่องที่ชายคนดังกล่าวลอบพบเจ้าเมืองเพื่อเรียกร้องหาความเป็นธรรม มันจึงมีโมโหนัก! ยังหมายเข่นฆ่าสังหารชายคนนั้นให้ตายตก…ทว่าผู้ว่าการประจำมณฑลที่เห็นแก่ความดีความชอบที่ชายคนนั้นเคยกระทำมา จึงยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ยเพื่อให้อันดับสองในมณฑลยอมประณีประนอม ไว้ชีวิตชายคนนั้นสักครา…”
“สุดท้ายถึงแม้ชายคนนั้นจะรอดชีวิตมาได้…แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในจวนผู้ว่าของมณฑลจิ่วโยวสืบไป…”
กล่าวถึงจุดนี้ หลิ่วเฟิ่งกู่ก็เงียบไปครู่หนึ่ง
หากแต่ดวงตาที่มองจ้องไปยังขอบฟ้าอย่างเลื่อนลอย บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานเพราะเส้นโลหิตฝอยปริแตก ยังเผยเจตนาฆ่าฟันอันน่ากลัว!
“หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ คนที่มีอำนาจเป็นรองก็แต่ผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยวนั่น นับว่าสมควรตายแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนที่ฟังอยู่ย่อมเดาได้เป็นธรรมดาว่า ‘ชายคนนั้น’ ที่หลิ่วเฟิ่งกู่พูดถึง ก็คือตัวของหลิ่วเฟิงกู่เอง
“แต่ว่า…”
อย่างไรก็ตามแม้เรื่องราวที่หลิ่วเฟิงกู่เล่าออกมา คนในจวนผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวนั่นจะสมครตาย…
แต่ผู้ใดจะไปรู้…ว่าทั้งหมดใช่หลิ่วเฟิงกู่แต่งเรื่องขึ้นมาเองหรือไม่?
ถึงแม้สีหน้าท่าทีและอารมณ์คับแค้นที่หลิ่วเฟิงกู่เผยออกมาแต่ต้นจนจบจะไร้พิรุธ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าฟันธงเต็มสิบส่วนว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดโกหก!
“ตัวข้าย่อมทราบถึงความกังวลใจของแม่ทัพต้วนหลิงเทียนดี…”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะหยุดไว้ตรงคำ ‘แต่ว่า’ ไม่ได้เอ่ยออกมาจนจบ แต่หลิ่วเฟิงกู่ก็สามารถเดาความในใจต้วนหลิงเทียนได้ออก จึงกล่าวเสริมออกมาต่อทันทีว่า
“เช่นนั้น…เพียงรออีกครึ่งปี ให้เจ้าเดินทางไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยว และไปสืบความว่าเรื่องราวที่ข้าเล่านั้นเป็นความจริงหรือเท็จ รวมถึงคนผู้นั้นสมควรตายแล้วจริงๆหรือไม่ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องสนใจเรื่องข้อตกลงเป็นการชั่วคราว โดยไม่ถือว่าผิดข้อตกลงระหว่างเราเป็นอย่างไร?”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าว
“ครึ่งปี? จวนผู้ว่า?”
ต้วนหลิงเทียนสงสัย
“หนึ่งเดือนที่แล้วข้าได้รับคำสั่งโดยตรงมาจากจวนผู้ว่าการประจำมณฑล…ทางนั้นข้อให้พวกเราส่งรุ่นเยาว์ที่มีศักยภาพสูงสุดในเมืองเฉวี่ยโยวไปยังจวนผู้ว่า 2 คน โดยทางจวนผู้ว่าจะส่งมือดีมารับหน้าที่คุ้มกันตัวรุ่นเยาว์ไปโดยเฉพาะ! อันที่จริง เรื่องนี้ต่อให้ทางจวนผู้ว่าไม่ได้แจ้งรายละเอียดอันใดมาเพิ่มเติม…แต่ข้าเดาได้ว่าสมควรเกี่ยวข้องกับ พระราชวังฉิน!”
ขณะกล่าวถึงท้ายประโยค สองตาหลิ่วเฟิงกู่ก็ทอประกายเจิดจ้าขึ้นมา
“พระราชวังฉิน?”
คิ้วต้วนหลิงเทียนเลิกขึ้นทันใด
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่า พระราชวังฉิน ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ามณฑลจิ่วโยวนั้น เป็นแค่ 1 ในมณฑลที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระราชวังฉินเท่านั้น นอกจากมณฑลจิ่วโยวแล้วก็ยังมีมณฑลอื่นๆอีกมากมาย
“เรื่องนี้พอเจ้าไปถึงจวนผู้ว่าแล้ว เจ้าสมควรได้รับทราบรายละเอียดเอง”
หลิ่วเฟิงกู่คร้านเสียเวลากล่าวถึงเรื่องนี้สืบไป มันหันมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง เร่งกล่าวถามออกมาว่า “แม่ทัพต้วนหลิงเทียน ข้าได้พูดเรื่องที่ต้องพูดไปหมดแล้ว…ตอนนี้ ท่านคิดจะทำข้อตกลงกับข้าหรือไม่?”
“ในเมื่อท่านเจ้าเมืองอุตส่าห์ยอมลงให้ข้าถึงขนาดนี้ หากข้ายังไม่รับปากอีก ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนจิตใจคับแคบเกินไปหน่อยหรือ…ว่าแต่ ในเมื่อท่านกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นการทำข้อตกลง ไม่ทราบว่าท่านจะให้ผลประโยชน์อันใดกับข้า?”
เนื่องจากหลิ่วเฟิงกู่ได้เอ่ยเรื่องที่เขาสามารถพิจารณาด้วยตัวเองว่าคนๆนั้นสมควรฆ่าหรือไม่ หลังไปถึงจวนผู้ว่าการประจำมณฑลแล้ว และหากคนผู้นั้นไม่สมควรตายจริง เขาเลือกที่จะไม่ฆ่าก็ไม่ถือว่าเป็นการผิดข้อตกลง ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความโล่งใจไม่น้อย จึงสามารถยอมรับได้
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็สงสัยอยู่บ้าง
ว่าเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวผู้นี้วางแผนจะมอบอะไรให้เขา…
“สิ่งที่ข้าสามารถให้เจ้าได้ ก็คือสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่ดีที่สุด รวมถึงทรัพยากรบ่มเพาะที่ดีที่สุดตลอดระยะเวลา 6 เดือนหลังจากนี้…”
สองตาหลิ่วเฟิงกู่ทอประกายวาบหนึ่ง เอ่ยขึ้น
“ท่านเจ้าเมืองคิดมอบสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของท่านให้ข้าใช้งั้นหรือ?”
พอได้ฟังสองตาต้วนหลิงเทียนก็เรืองวาบขึ้นมาทันทีเช่นกัน เพราะนี่หมายความว่าเขากำลังจะได้เข้าใช้สถานที่ๆมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุดในละแวกเมืองเฉวี่ยโยว!
ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวยังบอกอีกว่า จะมอบทรัพยากรในการบ่มเพาะที่ดีที่สุดให้เขาตลอดระยะเวลา ครึ่งปีหลังจากนี้!
ในระนาบเทวโลกเองย่อมมีโอสถเช่นกัน และยังเป็นโอสถทิพย์ ที่ไม่เหมือนโอสถธรรมดาในระนาบโลกียะ
อย่างไรก็ตามในสถานที่เล็กๆอย่างเมืองเฉวี่ยโยวเกรงว่าคงยากจะได้เห็นโอสถทิพย์เลิศล้ำอันใด…
“ไม่ผิด”
หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้า “ถึงแม้ภายนอกจะลือกันว่าสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของข้ามีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะพอๆกับกระโจมที่แม่ทัพของกองทัพมังกรดำกับผู้บัญชาการของกองทัพมังกรดำของเจ้าอยู่ แต่ทั้งหมดหาได้รู้จริงไม่…เพราะสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของข้า มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่เหนือกว่ากระโจมแม่ทัพของเจ้าถึง 2 เท่า!”
“นั่นเพราะ…สถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของข้ามีค่ายกลที่ชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินมาจากสายแร่หินอมตะทั้ง 2 สาย”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าว
“สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะเหนือกว่าถึง 2 เท่า!?”
ต้วนหลิงเทียนย่อมแปลกใจกับคำพูดของหลิ่วเฟิงกู่ไม่น้อย
ก็อย่างที่หลิ่วเฟิงกู่ว่าไว้เมื่อครู่…
เขานึกว่าสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว แม้จะเหนือกว่ากระโจมแม่ทัพของเขา แต่ก็คงเหนือกว่าไม่มาก
แต่คิดไม่ถึงว่าจะเหนือกว่ากันมากขนาดนั้น!
“นอกจากสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวอันเงียบสงบของข้าแล้ว ข้ายังจะให้โอสถทิพย์เพื่อช่วยในการบ่มเพาะพลังแก่เจ้า รวมไปถึงหินอมตะระดับสูงอีกด้วย ต้องทราบด้วยว่าหินอมตะระดับสูงนั้น แม้จะถูกขุดขึ้นมาจากสายแร่ทั้ง 2 แต่ในเมืองก็ไม่ได้มีใช้กัน…”
“ทั้งหมดที่ข้าว่ามา…เป็นผลประโยชน์ที่ข้าสามารถมอบให้เจ้าได้หากยอมรับข้อตกลง”
“เจ้า…พอใจหรือไม่?”
หลังกล่าวจบคำ หลิ่วเฟิงกู่ก็มองถามต้วนหลิงเทียน
“ตกลง!”
ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ คราวนี้ต้วนหลิงเทียนตอบตกลงออกมาทันที
ทันใดนั้นรอยยิ้มยินดีพลันคลี่กลางขึ้นบนใบหน้าเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว
“เจ้าเมือง…”
ต้วนหลิงเทียนที่นึกถึงเรื่องที่หลิ่วเฟิงกู่กล่าวไว้ก่อนหน้า พลันเอ่ยขึ้นว่า “ท่านบอกว่า…ครึ่งปีหลังจากนี้ จะมีมือดีจากจวนผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวมาพาข้ากับอีกคนหนึ่งไปยังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวงั้นหรือ?”
“ไม่ผิด”
หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้า “การเดินทาจากเมืองเฉวี่ยโยวเราไปยังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวนับว่าอันตรายไม่น้อย ระหว่างทางมีโจรที่อยู่ในขอบเขตจินเซียนระดับสูงมากมาย กระทั่งระดับจินเซียนขั้นสูงสุดก็มีไม่น้อย”
“เช่นนั้นเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเจ้าจะเดินทางไปถึงเมืองประจำมณฑลได้อย่างปลอดภัย ทางจวนผู้ว่าจึงตัดสินใจส่งคนมารับโดยเฉพาะ”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าว
“มีจินเซียนระดับสูงมากมาย กระทั่งจินเซียนระดับสูงสุดก็มีไม่น้อย?”
ได้ยินคำของหลิ่วเฟิงกู่ ใจต้วนหลิงเทียนก็สั่นไหวสะท้าน ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกโชคดีอยู่บ้าง
โชคดีที่หลังจากขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนแล้ว เขาตัดสินใจรั้งอยู่ในเมืองเฉวี่ยโยวก่อน ไม่ออกเดินทางไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้า
จินเซียนระดับสูงสุดที่ว่า ก็คือจินเซียนตะวันม่วง!
“ใช่”
หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้า “ย้อนกลับไปตอนนั้น ตอนที่ข้าออกจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวมารับตำแหน่งยังเมืองเฉวี่ยโยว ข้าก็ถูกจินเซียนระดับสูงสุดดักปล้นถึง 3 คน…โชคดีที่ข้าสามารถพิสูจน์ตัวตนให้พวกมันรับทราบได้ทันเวลา หาไม่แล้วข้าคงตายกลายเป็นผีกลางทาง…”
หนทางเชื่อมระทางเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวมายังเมืองเฉวี่ยโยว ก็คืออาณาเขตของมณฑลจิ่วโยว
ในอาณาเขตของตัวเอง ขุมพลังของมณฑลจิ่วโยวอย่างจวนผู้ว่าย่อมมีบารมีอยู่ไม่น้อย
เหล่าโจรเซียนอมตะทั้งหลาย แม้จะบรรลุถึงขอบเขตจินเซียนตะวันม่วงก็ไม่กล้าปล้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนผู้ว่าของมณฑจิ่วโยว รวมถึงผู้ที่มีตำแหน่งสำคัญต่างๆ…
เพราะหากพวกมันกล้าแตะต้องบุคคลเหล่านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นจะเป็นการล้ำเส้นของมณฑลจิ่วโยว! ครานี้ไม่เพียงแต่พวกมันจะถูกยอดฝีมือของมณฑลจิ่วโยวไล่ฆ่า เผลอๆทางจวนผู้ว่าจะรายงานไปถึงพระราชวังฉิน จนทางพระราชวังส่งมือดีมาไล่ฆ่าล้างพวกมันจนสิ้นซากแน่!
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เมืองเฉวี่ยโยวจะครอบครองสายแร่หินอมตะถึง 2 สาย แต่ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือมาหยิบชิ้นปลามันดังกล่าว…
แน่นอนว่าสำหรับเซียนอมตะที่ไม่หวาดกลัวยอดฝีมือจากมณฑลจิ่วโยวและวังฉิน มีหรือจะมาสนใจสายแร่หินอมตะแค่ 2 สายในเมืองเฉวี่ยโยว?
‘ด้วยความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้ หากข้าใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน…แม้แต่จินเซียนขั้นสูงสุดก็อาจไม่ใช่คู่มือของข้า!’
มาตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพึ่งตระหนักได้
ว่าอาศัยพลังฝีมือของเขาตอนนี้ ความจริงก็สามารถเดินทางไปยังมณฑลจิ่วโยวด้วยตัวเองได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เขายังคงเลือกจะเตรียมความพร้อมอยู่ที่นี่ และเดินทางหลังจากนี้อีกครึ่งปี..
เพราะหากเขาถ่อไปเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวเพียงลำพังตอนนี้ เขาไม่แน่ว่าจะหาสถานที่บ่มเพาะดีๆได้…
แต่หากรั้งอยู่ อย่างไรเสียตลอดครึ่งปีหลังจากนี้ เขาก็จะได้ใช้สถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว!