WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2621
ตอนที่ 2,621 : หัวหน้าองค์รักษ์งูทอง ผู้เฒ่าหง!
“แต่ว่า…หากเจ้าเมืองคิดเดินเกมด้วยการเพาะสร้างบุญคุณให้ต้วนหลิงเทียน จนต้วนหลิงเทียนคิดตอบแทนด้วยการมอบวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังทั้งหลายจริง ก็มิจำเป็นถึงขั้นต้องให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใช้สถานที่บ่มเพาะส่วนตัวมิใช่หรือไร?”
เหมียวไหลหลงกล่าวพึมพำกับตัวหน้าเครียด เสียงยังเคร่งขรึมนัก “สถานที่บ่มเพาะส่วนตัวนั่น กระทั่งข้ากับผู้แซ่เฉินนั่นอยู่มาจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยได้รับอนุญาตจากเจ้าให้เมืองเข้าไปใช้สักครั้ง…”
ในฐานะผู้บัญชาการของกองทัพมังกรเงิน เหมียวไหลหลงย่อมรู้ดีว่าสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวของ หลิ่วเฟิงกู่ เจ้าเมืองเฉวี่ยโยว มันดีอย่างไร…
ไม่นับตัวช่วยในการบ่มเพาะอื่นๆ เอาแค่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของสถานที่แห่งนั้น ก็ดีกว่ากระโจมผู้บัญชาการกองทัพของพวกมันถึง 2เท่า!
ด้วยเหตุนี้เหมียวไหลหลงเองก็อยากได้รับโอกาสในการเข้าไปบ่มเพาะพลังในสถานที่เช่นนั้นบ้างเหมือนกัน
พอมันทราบว่าผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์เชี่ยวชาญวรยุทธ์อมตะทั้งเทย์พลังระดับสูงมากมาย ตัวมันเองก็ยังบังเกิดความคิดขโมยมาครอบครองโดยไม่บอกให้เจ้าเมืองรู้…
จากนั้นพอมันชำนาญทุกสิ่งจนพลังฝีมือก้าวหน้า มันก็จะเร่งเดินทางไปยังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว เพื่อทำเรื่องชิงตำแหน่งหลิ่วเฟิงกู่ จนกลายเป็นเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวคนใหม่แทน!
และถึงตอนนั้นสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวนั่น ก็ต้องตกเป็นของมันเป็นธรรมชาติ!
‘หวังว่าหลังจากเจ้าเมืองได้รับวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังของต้วนหลิงเทียนนั่นแล้ว จะเห็นแก่ความดีความชอบของข้าที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ และยอมถ่ายทอดวรยุทธ์กับเวทย์พลังเหล่านั้นให้ข้าบ้าง…’
เหมียวไหลหลงลอบกล่าว
และตอนนี้เหมียวไหลหลงก็ไม่ได้รู้เรื่องเลย
ว่าเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวของมันไม่มีความคิดช่วงชิอะไรจากต้วนหลิงเทียนแม้แต่นิดเดียว!
ณ จวนเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว
ทางทิศตะวันออกของจวน ปรากฏคฤหาสน์หลังใหญ่หนึ่งอันมีลานกว้างใหญ่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังก็มีสวนขนาดไม่เล็ก มันเป็นคฤหาสน์ที่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวอาศัยอยู่นั่นเอง
และสถานที่บ่มเพาะส่วนตัวที่ว่า ก็อยู่ในสวนด้านหลัง
ในปัจจุบัน หลิ่วเฟิงกู่ เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวกำลังนั่งจิบชาอยู่ในลานด้านหน้า ชมมองแปลงดอกไม้ที่ปลูกเอาไว้ในลานด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่ทราบว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่…
“ใต้เท้าเจ้าเมือง ที่ไม่บีบคั้นให้ต้วนหลิงเทียนส่งมอบวรยุทธ์ทั้งเวทย์พลังมา…ท่านไม่คิดเสียใจแน่หรือ?”
ทันใดนั้นเองปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้นในความว่างเปล่า ก้องไปทั่วลาน
และสิ่งที่ปรากฏขึ้นหลังเสียงก็คือชายชรารูปร่างปานกลางมาในชุดคลุมสีดำ…
ชายชรารูปร่างปานกลางแลดูธรรมดาสามัญไร้ได้โดดเด่นผู้นี้ ไร้ซึ่งสง่าราศีอันใด ทั่วร่างยังไร้กลิ่นอายพลังเลิศล้ำ มองผ่านๆแล้วด้วยตาสีโคลนกับร่างชราๆนั่น มันก็ไม่ต่างอะไรจากคนแก่ธรรมดาๆที่ชอบนั่งมองลูกหลานวิ่งเล่นแม้แต่น้อย…
หากทว่าบริเวณหน้าอกของชายชราผู้นี้กลับแลดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ เพราะมันมีลายปักรูปงูสีทองอยู่!
และหากมองให้ละเอียดจะพบว่า
บนหัวของงูสีทองนั่น มีมงกุฏเล็กๆปักอยู่ด้วย!
“กลัวว่าการบังคับมันต่างหาก ถึงจะทำให้ข้าเสียใจจริงๆ…”
คล้ายหลิ่วเฟิงกู่คุ้นชินกับการปรากฏตัวอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงของชายชราผู้นี้ดีแล้ว “ข้าเองก็ให้ท่านไปลองตรวจสอบมันดูแล้วมิใช่หรือ…ท่านเองก็สมควรเห็นลักษณะนิสัยของมันมาไม่น้อย…ท่านคิดว่ามันเป็นคนที่ยอมให้ผู้ใดมาบีบคั้นหรือไม่?”
พอนึกถึงชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่ไม่ธรรมดานั่นขึ้นมา ชายชราก็ได้แต่เงียบไป
“มันนับเป็นมังกรในหมู่มนุษย์จริงๆ…”
สองตาหลิ่วเฟิงกู่ทอประกายจ้า กล่าวว่า “คนเช่นนี้เป็นการดีเสียกว่าที่จะผูกมิตรด้วย ไม่อาจสร้างความบาดหมางด้วยได้เด็ดขาด! ข้ามีสังหรณ์อันแรงกล้า…ว่ามีเพียงมันเท่านั้นที่ช่วยข้าจัดการกับสารเลวนั่นได้”
“คุณชายเฉียน…”
ร่างชราสะท้านไปทันใด ในแววตาเผยประกายสั่นไหว ไม่นานก็เริ่มกลายเป็นความเศร้าสลด
ในบรรดาผู้ที่ติดตามรับใช้หลิ่วเฟิงกู่นั้น นับว่าชายชราผู้นี้อยู่มานานที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นผู้ที่เดินทางออกจากมณฑลจิ่วโยวมาเมืองเฉวี่ยโยวแห่งนี้พร้อมกับหลิ่วเฟิงกู่…
ศิษย์ส่วนตัวของหลิ่วเฟิงกู่ มันเองก็คอยเลี้ยงดูมา…
“ผู้เฒ่าหง…”
ทันใดนั้นคล้ายนึกอะไรขึ้นได้สองตาของหลิ่วเฟิงกู่อยู่ดีๆก็ฉายประกายเยียบเย็นออกมาวูบวาบ “หากเหมียวไหลหลงมันรู้เรื่องที่ข้าไม่คิดแย่งชิงวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังของต้วนหลิงเทียน ทั้งข้ายังสงวนสิทธิ์ไปยังจวนผู้ว่าให้ต้วนหลิงเทียนแบบนี้ มันไม่พ้นต้องบังเกิดความไม่พอใจแน่…”
“บางทีต่อหน้าข้ามันคงไม่กล้าฮึดฮัดอะไร แต่ไม่พ้นลับหลังข้า มันต้องพยายามสร้างปัญหาให้ต้วนหลิงเทียนไม่หยุดหย่อนแน่…”
“กระทั่ง…ยังมีความเป็นไปได้สูงนักที่มันจะออกเดินทางจากเมืองเฉวี่ยโยวไปยังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวเพื่อเผยแพร่เรื่องราวของต้วนหลิงเทียน โดยเฉพาะสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนครอบครอง…”
“เช่นนั้นข้าจึงอยากให้ท่านคอบจับตาดูมันเอาไว้ให้ดี…หากมันเผยทีท่าว่าจะเดินทางออกจากเมืองเฉวี่ยโยวเพื่อไปยังเมืองประจำมณฑลเมื่อใด ขอให้ท่านฆ่ามันทิ้งทันที ทั้งตัดรากถอนโคนเสียให้สิ้น…จะน้องสาวมันหรือน้องเขยอย่างหยางกงผิงก็ดี อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว…”
พูดถึงท้ายประโยคเสียงของหลิ่วเฟิงกู่ยิ่งมาก็ยิ่งอำมหิตนัก “หากมันกล้าคิดกระตุกขาหลังต้วนหลิงเทียน จนส่งผลให้เรื่องล้างแค้นเฉียนเอ้อของข้าต้องเสียไปล่ะก็…ข้าก็ได้แต่ลืมเรื่องดีๆที่มันเคยกระทำเพื่อข้าในกาลก่อนไปเท่านั้น!”
“ข้าทราบ”
ชายชราพยักหน้าเบาๆ จากนั้นร่างก็วูบหายไปอีกครั้ง ทำราวกับคนอันตรธานหายไปในอากาศจริงๆ
หากฟังจากคำพูดของหลิ่วเฟิงกู่ เห็นได้ชัดว่าพลังฝีมือของชายชราผู้นี้อย่างน้อยๆก็ต้องเหนือกว่าเหมียวไหลหลง!
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ชายชราผู้นี้ก็คือหัวหน้ากององครักษ์งูทองที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของหลิ่วเฟิงกู่โดยตรง และกระทั่งสมาชิกขององครักษ์งูทองก็ถูกมันฝึกมาด้วยตัวเอง
ชายชราผู้นี้พลังฝึกปรือบรรลุถึงขอบเขตจินเซียนตะวันน้ำเงิน ซึ่งเหนือกว่าเหมียวไหลหลงที่เป็นแค่จินเซียนตะวันเขียวขั้นหนึ่ง นอกจากนี้วรยุทธ์อมตะรวมถึงเวทย์พลังที่เชี่ยวชาญก็มีระดับสูงกว่าเหมียวไหลหลงทั้งสิ้น เช่นนั้นการฆ่าเหมียวไหลหลงจึงนับเป็นเรื่องราวอันง่ายดายสำหรับมัน…
เรียกว่าในเมืองเฉวี่ยโยว ชายชราคนสนิทของหลิ่วเฟิงกู่ผู้นี้ ก็มีพลังฝีมือเป็นรองแค่หลิ่วเฟิงกู่ผู้เดียว
“ไม่รู้…ในอีกครึ่งปีหลังจากนี้พลังฝึกปรือของมันจักก้าวหน้าขึ้นได้อีกหรือไม่ จะสามารถทะลวงถึงเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วงได้ทันไหม…”
หลังชายชราจากไปแล้ว หลิ่วเฟิงกูก็หันกลับไปมองทิศทางที่ตั้งของสวนด้านหลัง พลางกล่าวพึมพำเบาๆ
‘มัน’ ที่หลิวเฟิงกู่เอ่ยถึงคือต้วนหลิงเทียนเป็นธรรมดา
“แต่…เรื่องเช่นนั้นคงเป็นไปมิได้ เพราะมันก็พึ่งทะลวงถึงเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามมาได้ไม่ถึงเดือนดี…”
หลังจากคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง หลิ่วเฟิงกู่ก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา เพราะรู้สึกว่าเรื่องแบบนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้เลย…
หลังได้ยินต้วนหลิงเทียนเอ่ยปากบอกว่าการปิดด่านบ่มเพาะตลอดเดือนที่ผ่านมา ทำให้ทะลวงถึงเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามได้สำเร็จก่อนหน้านี้…
มันก็คิดว่าสมควรเป็นเพราะวาสนาที่ต้วนหลิงเทียนได้รับจากโลกใบเล็กมานั่น ส่งเสริมให้พลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่ทะลวงถึงเซียนอมตะสวรรค์จันทร์น้ำเงินเท่านั้น แต่เจียนจะทะลวงถึงเซียนอมตะสวรรค์จันครามอยู่เป็นทุน
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงสามารถทะลวงผ่านได้อีกครั้ง บรรลุถึงเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามได้ในเวลา 1 เดือน…
เช่นนั้นในเวลาเพียงแค่ 6 เดือน ไม่มีทางที่ต้วนหลิงเทียนจะทะลวงผ่านขอบเขตเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ครามและบรรลุถึงเซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วงได้เลย
“ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้…แต่ไม่ใช่ว่าจะไร้ ‘ปาฏิหาริย์’ อย่างไรเสียมันก็เป็นถึงผู้ที่พึ่งขึ้นมาจากระนาบโลกียะ และด้วยอายุที่ยังไม่ถึง 100 ปีเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าสมควรเป็นชนชั้นสุดยอดอัจริยะไร้คู่เปรียบของระนาบโลกียะไม่ผิดแน่!”
ครู่ต่อมา สองตาของหลิ่วเฟิงกู่ก็ลุกวาวทอประกายจ้า!
ที่อื่นมันไม่รู้
แต่ในมทณฑลจิ่วโยวที่มันอยู่มานานปี ตัวมันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…!
ว่าในมณฑลจิ่วโยวจะเคยปรากฏเซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ที่พลังฝีมือร้ายกาจขนาดนี้แต่อายุยังไม่ถึง 100 ปี! และที่สำคัญคืออีกฝ่ายพึ่งขึ้นมาจากระนาบโลกียะ!!
ด้วยเหตุนี้มันจึงลอบคาดหวังว่าต้วนหลิงเทียนจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จ และทำให้มันต้องประหลาดใจได้
ณ สนามด้านหลังของคฤหาสน์อันเงียบสงบ
ตอนนี้ห้องอันเงียบงันไร้สิ่งรบกวนห้องหนึ่ง ได้ถูกหลิ่วเฟิงกู่ยกให้ต้วนหลิงเทียนใช้คนเดียว
ถึงแม้ห้องอันเงียบงันห้องนี้จะกว้างขวางมากพอให้เข้ามาบ่มเพาะพลังได้ 2 คนอย่างไม่แออัด แต่หลิ่วเฟิงกู่ก็ไม่คิดทำแบบนั้น มันอยากให้ต้วนหลิงเทียนได้บ่มเพาะพลังอย่างสงบไร้สิ่งรบกวนใดๆแม้แต่น้อย!
ต้วนหลิงเทียนที่บ่มเพาะภายในห้องดังกล่าว ก็ได้กลืนโอสถเสริมวิญญาณลงท้อง ในมือถือไว้ด้วยหินอมตะระดับสูง โคจรพลังตามเคล็ดผลึกรัศมีลี้ลับเพื่อสั่งสมพลังอย่างลืมเลือนเวลา
หลังจากนี้อีกครึ่งปีเขาจะออกจากเมืองเฉวี่ยโยว ไปยังมณฑลจิ่วโยว
เมื่อไปถึงที่นั่น สิ่งที่เขาจะพบเจอก็คือนผู้ที่มีพลังฝีมือเหนือขึ้นไปอีกระดับ…
และในบรรดาตัวตนเหล่านั้น ย่อมไม่ขาดชนชั้นต้าหลัวจินเซียน!
ก่อนหน้านี้เขาจึงคิดว่าจะบ่มเพาะพลังให้พลังฝึกปรือของเขาก้าวหน้าได้มากถึงระดับหนึ่งจึงจะออกเดินทางไปยังเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว ทั้งหมดเพื่อให้เขามีกำลังพอที่จะปกป้องตัวเองได้…
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเองก็เชี่ยวชาญการโคจรพลังตามเคล็ดวิชาผลึกรัศมีลี้ลับแล้ว พลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลรอบกายถูกเขาดูดซับเข้าร่างด้วยความเร็วอันน่าพรั่นพรึง พวกมันถูกขัดเกลาแปรเปลี่ยนไปเป็นพลังบริสุทธิ์แลใสราวผลึกแก้วโคจรไปทั่วชีพจรสวรรค์ในร่างไม่หยุด
ด้วยพลังอำนาจของโอสถเสริมวิญญาณหินอมตะระดับสูง พลังวิญญาณฟ้าดินที่ถูกขัดเกลาก็มากขึ้นทุกขณะ เพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า
วันเวลาไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ไม่นานก็ผ่านพ้นไปอีก 1เดือน
และเรื่องที่ในอีก 5 เดือนหลังจากนี้ ตัวตนขอบเขตจินเซียนของกองทัพมังกรดำ กองทัพมังกรเงินและกององครักษ์งูทองจะแข่งขันกันเพื่อชิงตำแหน่งไปยังจวนผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวก็เริ่มแพร่กระจายออกไป
“ไปยังจวนผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวเช่นนั้นหรือ!?”
“เป็นเรื่องอันประเสริฐนัก! หากได้ไปจวนผู้ว่าการประจำมณฑล ไม่เพียงแต่จะได้รับทรัพยากรบ่มเพาะอันล้ำค่า แต่สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะก็ต้องดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มากแน่!”
“ข้าได้ยินมาว่าจวนผู้ว่าการประจำมณฑลจิ่วโยวสั่งการลงมายังเมืองทั้ง 9 ที่อยู่ใต้ปกครองโดยตรง…ว่าแต่ละเมืองให้เฟ้นหาอัจฉริยะรุ่นเยาว์ 2คน!”
“หืม? 2 คนหรือ…ไมใช่ว่าการประลองในหลังจากนี้อีก 4 เดือน จะมีผู้ที่ได้รับสิทธิ์แค่คนเดียวรึไร?”
“หา! นี่เจ้าไปอยู่ที่ใดมา…ไม่รู้หรือว่าอีก 1 ที่นั่น ท่านเจ้าเมืองได้มอบมันให้แม่ทัพต้วนหลิงเทียนแห่งกองทัพมังกรดำไปเรียบร้อยแล้ว?”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้! ถึงว่าล่ะเมื่อเดือนก่อนข้าได้ยินข่าวเรื่องที่ต้วนหลิงเทียน พ้นจากตำแหน่งแม่ทัพ และได้ออกจากกองทัพมังกรดำกลับมายังเมืองเฉวี่ยโยวพร้อมกับท่านเจ้าเมือง…เดิมทีข้าคิดว่าท่านเจ้าเมืองคิดให้ต้วนหลิงเทียนเป็นองครักษ์คู่กายเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะถูกรับเลือกให้ไปมณฑลจิ่วโยว”
…
ไม่ว่าจะในเมืองเฉวี่ยโยว ค่ายกองทัพมังกรดำ หรือค่ายของกองทัพมังกรเงิน ก็ล้วนพูดกันถึงแต่เรื่องดังกล่าว
“ว่าแต่คนของกองทัพมังกรเงินไม่ได้บอกว่าต้วนหลิงเทียนเป็นแค่เซียนอมตะสวรรค์หน้าใหม่ที่พึ่งขึ้นมาหลิงหลัวเทียนขอพวกเราหรือไร…ในเมื่อท่านเจ้าเมืองมอบสิทธิ์ให้เช่นนี้ หมายความว่ามันยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีน่ะสิ?”
“เหอะๆ…แล้วเจ้าเชื่อเรื่องที่ไอพวกกองทัพมังกรเงินมันพูดด้วยหรือ? ต้วนหลิงเทียนเนี่ยนะเป็นแค่ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนของพวกเรา? ในสายตาข้านี่มันวาจาผายลมชัดๆ…ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มารดามันเถอะ สามารถทุบตีแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินได้ง่ายดาย ยังทุบตีจนผู้อื่นพิการเช่นนั้น!”
“ใช่แล้ว! พวกกองทัพมังกรเงินมันแพร่ข่าวเรื่องนี้ออกมา…เห็นได้ชัดว่าพวกมันมองพวกเราไม่ต่างจากพวกสมองหมูถึงจะเชื่อเรื่องเหลวไหลเช่นนี้!”
…
เมืองเฉวี่ยโยวยิ่งมายิ่งคึกคักมีชีวิตชีวานัก…!