WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2644
WSSTH ตอนที่ 2,644 : นิกายสือหังเซียน
ได้รับโอสถกระตุ้นวิญญาณจากผู้ว่ามา 1 ขวด รวมถึงได้รับโอสถเสริมวิญญาณจากโจวทงมา 2 ขวดแบบนี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนคิดถึงการกลับไปบ่มเพาะพลังอีกครั้งทันที
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ 2 ต้าหลัวจินเซียนแห่งมณฑลจิ่วโยวหวังให้พลังฝึกปรือของเขาก้าวหน้าเร็วไว
ตัวเขาเองก็อยากก้าวหน้าให้เร็วที่สุดเช่นกัน!
กล่าวได้ว่าแม้จะบังเอิญ แต่จังหวะมันช่างได้นัก!!
แต่เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดี
ไม่ว่าเขา โจวทง หรือเถียนจี้หวี่ทั้ง 3 คนไม่มีใครขาดทุน แต่ละคนล้วนได้รับสิ่งที่ต้องการ
‘การประลอง 16 มณฑลคราวนี้…พระราชวังฉินถึงขั้นคิดมอบโอสถต้าหลัวจินเซียนให้มณฑลของผู้ชนะ 3 อันดับแรกเชียว ไม่รู้ว่ารางวัลของตัวผู้ชนะเองจะได้อะไร?’
หลังกลับมาถึงห้องศิลาบ่มเพาะที่ลึกที่สุดในหลุมมังกรซ่อน ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความอยากรู้นัก
และในขณะที่อยากรู้ เขาเองก็หวังเอาไว้ไม่น้อย
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนลองใช้โอสถกระตุ้นวิญญาณพร้อมกับโอสถเสริมวิญญาณเพื่อบ่มเพาะพลังอย่างคึกคักอักโขนั้นเอง…
ฟุ่บ!
บังเกิดเสียงแหวกสายลมหวีดหวิวหนึ่งพุ่งออกจากห้องศิลาชั้นรองสุดท้าย เป็นร่างหนึ่งที่พุ่งออกมาจากห้องศิลาบ่มเพาะและเหินทะยานขึ้นไปปากหลุมมังกรซ่อนเร็วไว จากนั้นก็เหาะตรงไปทางเคหะสถานหลังใหญ่หลังหนึ่งในจวนผู้ว่า
ร่างๆนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นโจวเฟย!
และโจวเฟยที่เร่งรุดออกจากห้องศิลาบ่มเพาะรองสุดท้ายในหลุมมังกรซ่อน ก็ตรงดิ่งไปหาบิดาบุญธรรมของมัน ผู้พิทักษ์อันดับหนึ่งแห่งมณฑลจิ่วโยว โจวทง!
“ท่านพ่อบุญธรรม!”
พบโจวทงอีกครั้ง โจวเฟยก็ประสานมือโค้งคารวะอย่างเรียบๆร้อยๆ
“เจ้ามีอะไร?”
โจวทงที่กำลังจัดการเอกสารที่พึ่งได้รับบนโต๊ะเพียงเหลือบขึ้นมามองโจวเฟยด้วยทีท่าเฉื่อยชา
เรียกว่าเทียบกับก่อนหน้าแล้ว ทัศนคติที่มันมีต่อโจวเฟยได้เปลี่ยนไปอย่างเหลือเชื่อ
ในตอนนั้นที่มันรับตัวโจวเฟยมาเป็นบุตรชายบุญธรรม ล้วนเป็นเพราะหลงใหลในพรสวรรค์ของโจวเฟย
ทว่วาตอนนี้พรสวรรค์ของโจวเฟยที่มันภาคภูมิใจหนักหนา ก็ถูกพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนจากเมืองเฉวี่ยโยวกลบรัศมีจนมิด! มันเลยรู้สึกผิดหวังกับบุตรชายบุญธรรมคนนี้ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หลงใหลอย่างหน้ามืดตามัวเหมือนกาลก่อนสืบไป!!
โจวเฟยเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี
‘ต้วนหลิงเทียน…เป็นเพราะแกคนเดียว!’
ด้วยเหตุนี้ในใจโจวเฟยจึงชิงชังต้วนหลิงเทียนนัก ยังขบกัดจนฟันแทบแตก!
“ท่านพ่อบุญธรรมข้าคิดไปข้างนอก…จึงอยากให้ท่านส่งอาวุโสฝ่ายในตามข้าไปสักคน”
ถึงแม้ในใจโจวเฟยจะเต็มไปด้วยความเกลียดชังต้วนหลิงเทียน แต่มันก็ไม่เผยออกมาให้โจวทงเห็น
เพราะมันรู้ดีว่าในสายตาบิดาบุญธรรมตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนมีค่ามากกว่ามันซึ่งเป็นลูกชายบุญธรรมเสียอีก
“เจ้าคิดไปที่ใด?”
สองตาโจวทงทอแสงขึ้นวาบหนึ่งกล่าวถามออก
“ข้าเองก็ไม่รู้…ข้าแค่อยากออกไปฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง”
โจวเฟยตอบ
ถึงตอนนี้ในสายตาโจวทง โจวเฟยจะไม่ได้มีค่ามหาศาลเหมือนกาลก่อน และไม่อาจเทียบต้วนหลิงเทียนได้
อย่างไรก็ตามโจวเฟยยังคงเป็นลูกบุญธรรมของโจวทงอยู่ดี
เช่นนั้นโจวทงจึงไม่คิดปฏิเสธคำร้องของ่ายๆของโจวเฟย จึงถ่ายทอดคำสั่งตามตัวอาวุโสฝ่ายในคนหนึ่งให้มาติดตามคุ้มกันโจวเฟยออกเดินทางทันที
หลังจากที่โจวเฟยได้อาวุโสฝ่ายในติดตามคุ้มกันแล้ว มันก็เหินร่างออกจากจวนผู้ว่าไปทันที และถึงดูเหมือนมันจะเดินทางอย่างไร้ทิศทาง ทว่าอันที่จริงมันได้กำหนดเป้าหมายเอาไว้ในใจเรียบร้อย…1 ใน 9 เมืองของมณฑลจิ่วโยว เมืองเฉวี่ยโยว!
เมืองเฉวี่ยโยวยังเป็นเมืองแรกที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงหลังขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียน
‘ข้าอยากรู้นัก…ว่าอยู่ๆต้วนหลิงเทียนนั่นมันโผล่มาจากที่ใด พลังฝีมือระดับนี้มันไม่มีทางไร้ชื่อเสียงเรียงนามแน่! แต่ข้ากลับไม่เคยได้ยินเรื่องคนอย่างมันในมณฑลจิ่วโยวมาก่อนเลย!’
ที่โจวเฟยออกมาคราวนี้ เพื่อออกไปสืบหารายละเอียดของต้วนหลิงเทียน
มันแม้จะแค้นเคืองอีกฝ่ายจนแทบคลั่ง แต่ก็ยังไม่โง่งม จึงรู้ดีว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนน่ากลัวเพียงใด และอีกฝ่ายมีพรสวรรค์มากแค่ไหน! และมันไม่อาจเชื่อได้ว่าเมืองเฉวี่ยโยวที่แสนกันดารจะเพาะสร้างตัวตนเช่นนี้ออกมาได้ และอยู่มานานโดยไร้ชื่อเสียงเรียงนาม!
‘ลองข้าไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องมันมาก่อนแบบนี้ เช่นนั้นมีความเป็นไปได้กว่า 9 ส่วนว่าต้วนหลิงเทียนผู้นี้สมควรเป็นหมากลับที่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวลอบทุ่มกำลังเพาะสร้างขึ้นมา เพื่อล้างแค้นพ่อบุญธรรมโดยเฉพาะ! หากข้าหาหลักฐานเรื่องนี้ได้ล่ะก็…ท่านพ่อบุญธรรมต้องคิดตัดรากถอนโคน ไม่มีวันปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อแน่!’
และนี่ก็คือจุดประสงค์การไปยังเมืองเฉวี่ยโยวของโจวเฟย
มันเองก็รู้ถึงเรื่องราวความแค้นและความบาดหมางในอดีตระหว่างบิดาบุญธรรมของมันกับเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวดี
และการไปเมืองเฉวี่ยโยวคราวนี้ ตราบใดที่มันหาหลักฐานว่าต้วนหลิงเทียนคือมือดีที่หลิ่วเฟิงกู่ลอบเพาะสร้างมาฆ่าบิดาบุญธรรมมันล่ะก็ คนอย่างบิดาบุญธรรมมันไม่มีวันปล่อยให้ภัยคุกคามคงอยู่เป็นหอกข้างแคร่แน่นอน นับประสาอะไรกับช่วยสนับสนุนให้อีกฝ่ายมีโอกาสเติบโต!
‘ถ้ายืนยันเรื่องต้วนหลิงเทียนถูกหลิ่วเฟิงกู่ฝึกฝนมาจัดการพ่อบุญธรรมได้จริง…ถึงแม้โอสถทิพย์ระดับกลางอย่าง โอสถต้าหลัวจะยั่วยวนใจแค่ไหน แต่ท่านพ่อบุญธรรมย่อมรู้หนักเบาว่าอันใดสำคัญกว่า! ถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะอยู่ถึงวันประลอง 16 มณฑล!!’
‘เพราะสุดท้ายแล้วเพียงมองจากของรางวัลที่พระราชวังฉินทุ่มทุนแจกในการประลอง 16 มณฑลเป็นพิเศษ ไม่พ้นเหล่าอัจฉริยะต้องมีความสำคัญอะไรบางอย่างกับทางพระราชวังฉิน และทางนั้นต้องรับตัวผู้ที่โดดเด่นอย่างต้วนหลิงเทียนไว้แน่!’
‘ถึงวันนั้นหากท่านพ่อบุญธรรมคิดจะฆ่ามันเพื่อตัดรากถอนโคน…ก็ยากกว่าปีนป่ายขึ้นสวรรค์!’
นึกถึงจุดนี้สองตาโจวเฟยยิ่งมาก็ยิ่งเปล่งแสงจ้า
…
ไกลออกไปจากเมืองจิ่วโยว
ณ ขุนเขาเขียวขจีเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติและสรรพชีวิตน้อยใหญ่ บริเวณยอดเขาอันกว้างใหญ่ไพศาล ปกคลุมไปด้วยไอหมอกงดงามสมดั่งแดนสวรรค์ ปรากฏร่างสตรีงดงามปานนางฟ้านางหนึ่ง…
สตรีนางนั้นยืนนิ่งอยู่บนยอดเขาอย่างเงียบงัน สองตามองไปยังสุดขอบฟ้าไกลห่าง ทิศทางที่ตั้งมณฑลจิ่วโยว…
สตรีที่ว่าสวมใส่ชุดกระโปรงแลดูธรรมดาสีม่วงอ่อน หว่างคิ้วโค้งดั่งขนนก ผิวกายขาวกระจ่างปานหิมะแรกฤดูหนาว เอวคอดกิ่วแลดูอรชรอ้อนแอ้นนัก
แม้นจะมีผ้าโปร่งแสงบดบังใบหน้าครึ่งล่างเอาไว้ หากแต่แค่เพียงดวงตาดั่งสารทฤดูแสนเย็นชา พร้อมด้วยความรู้สึกเลือนลางไม่อาจจับต้องราวทั่วกายมีหมอกควันปกคลุมนั่น ก็ทำให้สีสันรอบกายของนางคล้ายซีดจางลงไปถนัดตา
นอกจากนั้นแม้ครึ่งใบหน้านางจะถูกบดบังไว้ด้วยม่านผ้า
แต่ด้วยม่านผ้าปิดหน้าผืนน้อยของนางนั้นโปร่งแสงทั้งเบาบาง จึงทำให้เห็นเรียวคางทั้งความโค้งมนของพวงพักตร์ได้ชัดเจน
เรียกว่าพาลให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกอย่างพุ่งไปเลิกผ้าผืนบางนี่ออก เพื่อเชยชมความงามให้ชัดตาเสียให้ได้…
กระทั่งมีม่านผ้าบดบังยังชวนให้ฝันละเมอเพ้อพกถึงเพียงนี้…
แล้วหากเลิกผ้านั่นออกเสียเล่า จะทำให้ล่องลอยไปถึงสวรรค์ชั้นใด?
“หากข้ารู้แต่แรกว่าข้าจะเกิด ‘มารในใจ’ เพราะมัน…วันนั้นข้าควรฆ่ามันให้ตาย!”
ทันใดนั้นเองริมฝีปากสีแดงระเรื่อใต้ม่านผ้าผืนบางของสตรีดังกล่าก็ค่อยๆแย้มเปิดเอ่ยเอื้อนคำพึมพำกับตัวเบาๆ
อนิจาจาแม้วาจาพึมพำจะฟังดูอำมหิต หากแต่ในน้ำเสียงช่างเต็มไปด้วยความลังเลใจนัก
หากย้อนกลับไปวันนั้นได้ นางจะฆ่าอีกฝ่ายได้ลงคอจริงหรือ?
กระทั่งตัวนางเองก็ไม่อาจแน่ใจ
เพราะสุดท้ายแล้วทั้งหมดเป็นความผิดของนางผู้เดียวไม่ใช่อีกฝ่าย
“ศิษย์พี่หญิงสาม…ศิษย์พี่หญิงสาม”
ทันใดนั้นเองเสียงใสปานระฆังแก้วหนึ่งพลันดังขึ้น ปรากฏร่างดรุณีน้อยในชุดเขียวมรกตเหินทะยานข้ามฟ้ามายังยอดเขาปานรุ้งเขียวพาดผ่าน พริบตาก็บรรลุถึงข้างกายสตรีในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน
“ลู่หลัว เจ้าไฉนมาได้?”
สตรีในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนพอเห็นดรุณีน้อยในชุดเขียวปรากฏกายขึ้นมา แววตาที่ฉายถึงความสับสนหม่นหมองก่อนหน้าก็ฟื้นฟูความสงบนิ่งอีกครั้ง
“ศิษย์พี่หญิงสามท่านมีอันใดในใจหรือ…หลังจากที่ท่านกลับจากเดินทางคราวนั้น ท่านไฉนแลดูเศร้าๆนักเล่า ท่านถึงกับนำไม้ปัดฝุ่นกวาดโลกากลับมาได้เชียวนะ นั่นมิใช่เรื่องดีมากๆหรือไร ท่านอาจารย์กับอาจารย์ป้าล้วนกล่าวชมท่านให้ข้าฟังไม่หยุด ท่านไฉนแลดูไม่ดีใจเลยเล่า?”
ดรุณีน้อยในชุดเขียวกล่าวถามออกมาด้วยแววตาเฉลียวฉลาด
ได้ยินคำถามดังกล่าวของดรุณีน้อยชุดเขียว เช่นนั้นตัวตนของสตรีในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนนางนี้ก็เปิดเผยออกมาแล้ว…
ที่น่าแปลกก็คือนางเป็นสตรีคนเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอในโลกใบเล็ก สถานที่อันถูกตัวตนขอบเขตราชาอมตะของนิกายสราญรมย์ทิ้งไว้ในแนวเทือกเขาทางตอนใต้ของเมืองเฉวี่ยโยว…มู่หรงปิง!
ภายใต้สถานการณ์บีบคั้นประการหนึ่ง แม้ทั้งคู่ไม่ได้กราบไหวฟ้าดินเป็นสามีภรรยา แต่อย่างน้อยๆก็ได้ร่วมสัมพันธ์ดั่งสามีภรรยากันไปเรียบร้อย
“อีกทั้ง…ข้ายังได้ยินจากอาจารย์ป้ามาอีกว่า ในการประชุมใหญ่ของนิกายหลังจากนี้อีก 1 เดือน ท่านอาจารย์ป้าจะแต่งตั้งให้ท่านขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้สืบทอดประมุขนิกายสือหังเซียนของพวกเรา วันใดที่อาจารย์ป้าลงจากตำแหน่ง ท่านก็จะกลายเป็นประมุขรุ่นต่อไป…”
ดรุณีน้อยในชุดเขียวกล่า
“อาจารย์ป้า…กล่าวเช่นนั้นจริงหรือ”
สองตามู่หรงปิงทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง
“จริงสิศิษย์พี่หญิงสาม! ข้าได้ยินมากับหูเลยนะ!”
ดรุณีน้อยชุดเขียวพยักหน้างึกๆราวลูกเจี๊ยบจิกเม็ดข้าว
ได้ยินวาจาดังกล่าวของดรุณีน้อยชุดเขียว มู่หรงปิงได้แต่ลอบทอดถอนในใจอย่างอดไม่ได้…
ตามกฏของนิกายสือหังเซียนแล้ว นอกเหนือจากศักยภาพพรสวรรค์และพลังฝีมือจะเด่นล้ำที่สุดในรุ่น ยังมีข้อกำหนดพื้นฐานอีกอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการขึ้นเป็นประมุข
ถือครองพรหมจรรย์!
ทว่าเมื่อ 1 ปีที่ผ่านหลังจากที่นางหวนกลับออกมาจากโลกใบเล็กที่ถูกทิ้งไว้โดยยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะของนิกายสราญรมย์ นางก็ไม่ใช่สตรีบริสุทธิ์อีกต่อไป
กล่าวอีกอย่างได้ว่า ชั่วชีวิตนี้นางถูกลิขิตให้พลาดตำแหน่ง ประมุข ของนิกายสือหังเซียนไปเรียบร้อย
“ลู่หลัว…ตอนนี้อาจารย์ป้าอยู่ที่ใด?”
หลังได้รับทราบที่อยู่ของประมุขนิกายสือหังเซียนจากปากของดรุณีน้อยชุดเขียวแล้ว สตรีในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อน มู่หรงปิง ก็เหินร่างวูบขึ้นฟ้าไปราวผีเสื้อสีม่วงโบยบินทิ้งขุนเขาขจีไว้เบื้องล่าง
“อาจารย์ป้า…”
ในบ้านลานหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางขุนเขาใหญ่ มู่หรงปิงก็ได้พบเจอกับประมุขนิกายสือหังเซียนคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นอาจารย์ป้าของนางเช่นกัน
“ปิงเอ๋อ…เจ้าไฉนมาหาอาจารย์ป้าได้เล่า มีเรื่องใดหรือ?”
ประมุขนิกายสือหังเซียนนั้นเป็นสตรีหน้าตางดงาม รูปร่างมากล้นไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน สวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีขาวปักลายดอกบัวจำนวนมาก เมื่อแลเห็นว่าผู้มาหาเป็นมู่หรงปิง ใบหน้าแววตาของนางก็ทอความอ่อนโยนแลดูใจดีออกมาทันที
ราวกับผู้ใหญ่ที่เห็นชนรุ่นหลังอันประเสริฐได้ดิบได้ดี…
มู่หรงปิงคนนี้แม้จะไม่ใช่ศิษย์ของนางโดยตรง แต่ก็เป็นศิษย์ของศิษย์น้องร่วมอาจารย์เดียวกันกับนาง และยังเป็นศิษย์รุ่นเยาว์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของนิกายสือหังเซียนในปัจจุบันอีกด้วย
หาไม่แล้วนางคงไม่คิดแต่งตั้งให้มู่หรงปิงขึ้นดำรงตำแหน่งงว่าที่ประมุขนิกายคนต่อไป!
ว่าที่ประมุข ก็คือผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งประมุขนิกาย!
“อาจารย์ป้าข้าได้ยินมาว่าท่านคิดแต่งตั้งข้าให้เป็นว่าที่ประมุขในการประชุมใหญ่ของนิกายหลังจากนี้อีก 1 เดือน…ข้ามาเพื่อขอให้ท่านล้มเลิกความคิดดังกล่าว!”
มู่หรงปิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“เอ๋?”
ได้ยินคำของมู่หรงปิงประมุขนิกายสือหังเซียนอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นค่อยถามออกมาด้วยสีหน้าสับสนงุนงง “ปิงเอ๋อ…เจ้าหมายความว่าอะไร…หรือเจ้ามิอยากเป็นประมุขคนต่อไปของนิกายสือหังเซียนเราแล้ว?”
“ข้าเองก็เคยได้ยินอาจาร์ยเจ้าบอกมาหลายครั้ง…ว่าการขึ้นเป็นประมุขนิกายสือหังเซียนเรา คือความปรารถนาและเป้าหมายของเจ้าตั้งแต่ยังเล็กนี่นา?”