WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2699
WSSTH ตอนที่ 2,699 : โกหก?
ฟิ่ว! ฟิ่ว!
ร่างอ๋องฉินกับอ๋อง 3 เหินข้ามฟ้าไปฉับไว แต่ละคนรุดเร่งไปทางฉินอวี่อย่างร้อนใจหมายช่วยชีวิตฉินอวี่ให้ได้!
“ฮึ!
ทว่าทันใดนั้นเอง หญิงชราพ่นลมเสียงเย็นออกมาคำหนึ่ง จากนั้นนางแค่พลิกฝ่ามือเบาๆ ก็บังเกิดคลื่นพลังขุมหนึ่งกำจายออกมาจนความว่างเปล่าสะท้านสะเทือน!
ท่ามกลางสายตาผู้คนรอบเวทีประลอง จากจุดที่ฝ่ามือนางพลิกคว่ำจนความว่างเปล่าสะเทือน บังเกิดวงคลื่นหนึ่งแผ่ขยายออกไปเร็วไว!
มองไปเสมือนผิวน้ำยามมีหินร่วงตกก็ไม่ปาน ก่อเกิดระลอกน้ำซัดกระเพื่อมออกไปเป็นวงคลื่น!!
ต้องทราบด้วยว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ในระนาบเทวโลก! พื้นที่มิติไม่ทราบว่าแข็งแกร่งกว่ากันเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่เมื่อเทียบกับระนาบโลกียะ!!
ในระนาบเทวโลก ไม่ใช่ทุกคนสามารถสามารถสร้างผลกระทบใหญ่โตขนาดนี้ได้ยามลงมือ
อย่างน้อยๆต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตยอดเซียนอมตะ แม้จะลงมือด้วยพลังทั้งหมด ก็ไม่อาจสร้างผลกระทบใหญ่โตขนาดนี้ได้!
ปง! ปง!!
…
เสียงระเบิด 2 สำเนียงดังขึ้นไล่เลี่ย ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน เป็นร่างอ๋องฉินกับอ๋อง 3 นั้น ถูกคลื่นพลังซัดกระแทกเข้าอย่างจัง! มาทางไหนก็ปลิวละลิ่วย้อนกลับไปทางนั้น…แต่ละคนกระอักเลือดออกปากไม่หยุด กลิ่นอายพลังเข้มแข็งก่อนหน้า บัดนี้กลายเป็นอ่อนโทรมปานคนจะตายแหล่มิตายแหล่!!
“อะ…อะไร!”
“ท่านอ๋องฉินกับท่านอ๋อง 3…ไม่อาจรับมือนางได้?”
“นาง…ร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ!? ได้อย่างไรกัน!?”
…
เหล่าผู้ชมรอบๆเวทีประลองพากันเผยสีหน้าตื่นตระหนกตกใจไม่น้อย
นอกจากคนของ 16 มณฑลแล้ว กระทั่งเหล่าผู้ชมในอัฒจันทร์ที่นั่งพิเศษไม่เว้นคนของนิกายมังกรบินก็หน้าเหวอกันเป็นแถบ!
ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่ใช่ข้าราชบริพารของอ๋องฉิน…
แต่ในสายตาของพวกมัน อ๋องฉินก็คือผู้เข้มแข็งขอบเขตยอดเซียนอมตะเพียงหนึ่งเดียว! พวกมันจึงให้การยอมรับอีกฝ่ายในฐานะยอดฝีมืออันดับ 1 ของวังฉิน…!!
ทว่าตอนนี้ตัวตนที่พวกมันเห็นไม่ต่างอะไรจากตำนานที่ยังมีชีวิต ต่อหน้าหญิงชราที่อาศัยแค่การพลิกฝ่ามือเบาๆ ยังไม่อาจต้านทานรับไว้ได้!?
หญิงชราผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่!?
“ฉินอวี่!!”
ในชั่วพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดลงมือช่วยเหลือฉินอวี่เช่นกัน หากแต่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาอย่างไรก็ต้องช้ากว่าอ๋องฉินและอ๋อง 3 อยู่บ้าง
“ต้วนหลิงเทียน หากชาติหน้ามีจริง…ข้าหวังว่าจะได้เกิดมาเป็นสหายกับเจ้าอีก”
ฉินอวี่แย้มยิ้ม ก่อนที่มันจะหลับตาลง เท้าเหยียบอากาศก้าวออกไปอย่างห้าวหาญ เตรียมเผชิญหน้ากับแรงกดดันพลังของหญิงชราที่สามารถคร่าชีวิตของมันได้ในพริบตาอย่างไม่หวั่นไหว…
ในห้วงเวลานี้ ฉินอวี่ยังบังเกิดความโล่งใจประการหนึ่ง ราวกับมันได้ปลดเปลื้องพันธนาการบางอย่างในใจ
แต่เป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลก เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ติดหนี้ชีวิตต้วนหลิงเทียนอยู่…เมื่อรู้ว่ากำลังจะได้ชดใช้ ยังไม่รู้สึกโล่งอกได้อย่างไร?
“ฉินอวี่!!”
สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปใหญ่หลวง ลูกตามองจ้องแทบถลนออกเบ้า จังหวะนี้เขารู้สึกเสียใจไม่น้อย อดคิดไปไม่ได้ว่าไฉนเขาต้องทำตามใจตัวเองนัก? ก่อนหน้านี้แค่จากไปเงียบๆก็สิ้นเรื่องสิ้นราวแล้วไม่ใช่หรือ?
หากเขาจากไปแต่แรก คงไม่ต้องเกิดเรื่องแบบนี้!
‘หืม?’
แต่ในขณะที่สีหน้าต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนไปใหญ่หลวง และสองตาถลึงมองเรื่องราวเบื้องหน้าจนแทบปริแตก เขาก็สัมผัสได้ชัดเจนว่า…
แรงกดดันพลังอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลปานคลื่นสมุทร ที่โถมถันเข้ามาหมายกลืนร่างฉินอวี่อย่างเกรี้ยวกราดนั้น ในพริบตาที่มันจะปะทะกับร่างฉินอวี่ อยู่ๆก็สลายหายไปเสียอย่างนั้น
ปงงง!!
อย่างไรก็ตามแม้กลิ่นอายพลังของหญิงชราจะสหายหายไป แต่แรงกระเพื่อมของมวลอากาศจากการเคลื่อนไหวของแรงกดดันพลังยังคงอยู่ และมันกระแทกเข้าร่างฉินอวี่อย่างจัง จนฉินอวี่กระเด็นล่าถอยไปนับสิบก้าวค่อยขืนร่างหยุดลงได้อีกครั้ง ปากกระอักโลหิตออกมาเป็นก้อน สีหน้าซีดลงไม่ต่างกระดาษ…
ยังดีที่ไม่รุนแรงถึงตาย!
“ฉินอวี่เจ้าเป็นไงบ้าง?”
ต้วนหลิงเทียนที่วูบร่างมาถึง พุ่งมือไปประคองหลังฉินอวี่ ขมวดคิ้วกล่าวถามออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ข้าไม่เป็นไร…”
ฉินอวี่ส่ายหัวไปมาตอบคำต้วนหลิงเทียน ก่อนจะหันมองไปทางหญิงชราด้วยสายตางุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าไฉนอีกฝ่ายกลับหยุดมือลงในวินาทีสุดท้ายแล้วไม่เข่นฆ่ามันทิ้ง?
“นี่เจ้าเต็มใจสละชีวิตให้มันจริงๆ?”
หญิงชรามองกล่าวกัฉินอวี่ด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
อย่างไรก็ตามแม้นางจะทำเป็นเยาะเย้ย ทว่าลึกลงไปในใจแล้วนางรู้สึกชื่นชมนัก!
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า…
ตอนที่นางยังเยาว์ นางกับสหายเคยตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเก้าตายหนึ่งรอด และสุดท้ายก็เป็นสหายของนางเลือกที่จะสละชีวิตตัวเอง เพื่อช่วยให้นางรอดตายมาได้…
เพราะเคยมีประสบการณ์แบบนี้ นางจึงรู้สึกนับถือทั้งชื่นชมฉินอวี่นัก ที่สามารถยอมตายเพื่อสหายได้…
เมื่อครู่ที่นางลงมือกับฉินอวี่ ทั้งหมดก็เพื่อตรวจสอบดูว่าฉินอวี่พูดความจริงหรือคำ ‘ยินดีตายแทน’ เป็นแค่ลมปาก…
เพราะสุดท้ายแล้ว การกล่าววาจาลอยๆนั้น…ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถทำได้! หากแต่พูดแล้วทำได้อย่างปากนั้น…ต่างกันอย่างสิ้นเชิง!!
“อะ…อาวุโส ท่านคงไม่…เปลี่ยนใจใช่ไหม?”
ฉินอวี่กล่าวถามออกไปด้วยสีหน้าหวั่นๆ ด้วยกลัวว่าหญิงชราจะกลับคำพูดแล้วหันไปฆ่าต้วนหลิงเทียน!
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ตอนนี้เองอ๋องฉินกับอ๋อง 3 ที่ถูกหญิงชราซัดจนปลิวหงายไปก่อนหน้า ก็ได้หอบร่างสะบักสะบอมมาหยุดบังขวางฉินอวี่เอาไว้ และนี่ยังเป็นการปกป้องต้วนหลิงเทียนอีกด้วย
“ท่านผู้อาวุโส…”
อ๋องฉินมองหญิงชราหน้าเครียดกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ถึงแม้ข้าจักมิทราบว่าสหายของหลานชายข้าไปทำให้ประมุขนิกายของท่านขุ่นเคืองตรงที่ใด…แต่หากความบาดหมางระหว่างประมุขนิกายของท่านกับสหายของหลานข้าพอจะใช้วิธีอื่นสะสางได้…วังฉินของข้ายินดีกระทำทุกอย่างเพื่อให้ประมุขนิกายของท่านพอใจ!”
‘ประมุขนิกาย?’
ได้ยินคำพูดของอ๋องฉิน ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที ลอบกล่าวในใจว่า ‘หญิงชรานางนี้เป็นคนของนิกายงั้นเหรอ…แถมฟังจากสิ่งที่อ๋องฉินพูด ดูเหมือนคนที่อยากให้ข้าตายจริงๆ ที่แท้กลับเป็นประมุขนิกายของนางไม่ใช่ตัวนางเอง?’
“เจ้าหนู…”
หญิงชราไม่ได้สนใจอะไรอ๋องฉิน เพียงหันไปมองฉินอวี่และพูดว่า “หากนี่เป็นเรื่องราวความบาดหมางระหว่างข้ากับสหายเจ้า เห็นแก่ใจที่ยอมสละได้กระทั่งชีวิตเพื่อสหายของเจ้า ข้าอาจเมตตาละเว้นมันสักครา…”
“แต่ที่ข้ามาเพื่อฆ่ามันคราวนี้…เป็นคำสั่งตรงจากท่านประมุขนิกายสือหังเซียนของข้า!”
“เช่นนั้นวันนี้…จะอย่างไรมันก็ต้องตาย!”
“ไม่มีผู้ใดหยุดข้าได้!”
ขณะกล่าววาจาประโยคท้ายๆ เสียงของหญิงชรายิ่งมาก็ยิ่งเย็นลง เจตนาฆ่าฟันยังเผยออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บ พาลให้ผู้คนรู้สึกหนาวสะท้ายเหมือนถูกจับไปขังในถ้ำน้ำแข็ง!
‘สือหังเซียน?’
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันใด ในใจเริ่มสะท้านสั่นไหว ‘นิกายสือหังเซียน…หรือจะเป็นนิกายต้นสังกัดของมู่หรงปิง? ที่แท้หญิงชรานางนี้เป็นคนจากนิกายมู่หรงปิง?’
“นิกายสือหังเซียน!?”
“ว่าอะไรนะ! สตรีชรานางนี้เป็นคนของนิกายยสือหังเซียนงั้นเรอะ!?”
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินชื่อนิกายของหญิงชรา คนอื่นๆในงานประลอง 16 มณฑลเองก็ได้ยินด้วยเช่นกัน และทั้งหมดก็พากันแตกตื่นตกใจกับความเป็นมาของหญิงชรานัก!!
เพราะคนเหล่านี้จะมากจะน้อยก็พอจะรู้จักนิกายสือหังเซียนอยู่บ้าง!
“นิกายสือหังเซียน…นั่นมันนิกายที่ทรงพลังเหนือกว่าประเทศอมตะระดับสูงซะอีก! ชนชั้นยอดฝีมือก็มีไม่น้อย กระทั่งตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะยังไม่ได้มีแค่คนสองคน!”
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…ไฉนยอดฝีมือจากนิกายสือหังเซียนถึงมายังประเทศอมตะระดับกลางของพวกเราได้? แถมยังจงใจมาเขตวังฉินเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียนโดยเฉพาะแบบนี้อีก?”
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่?”
…
ในขณะที่เหล่าผู้คนรอบๆเวทีประลองกำลังสงสัยถึงต้นสายปลายเหตุ แต่ละคนก็หันมามองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ สีหน้าแววตาตอนนี้ยังแลดูเหลือเชื่อเหนือคาดอยู่บ้าง
“ดูเหมือนว่าฐานะที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนคนนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว…ข้าเองก็สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าไฉนอยู่ๆในเขตวังฉินของพวกเรากลับปรากฏอัจฉริยะระดับนี้ขึ้นมาได้!”
“จริง! ทุกคนล้วนทราบดีว่าในเขตวังฉินไม่เคยมีอัจฉริยะระดับนี้ปรากฏตัวขึ้นมาก่อน…ต้าหลัวจินซียนอายุไม่ถึงร้อย!”
“ในความคิดข้า…ต้วนหลิงเทียนผู้นี้สมควรเป็นคนของขุมพลังคู่อรินิกายสือหังเซียนไม่ผิดแน่! มันสมควรถูกยอดฝีมือของนิกายสือหังเซียนไล่ฆ่าเพื่อตัดราถอนโคน จนต้องหนีมาหลบในเขตวังฉินของพวกเรา!!”
“ใช่ มันสมควรเป็นปลาที่เล็ดลอดร่างแหมาถึงที่นี่ไม่ผิดแน่!”
…
ต้องกล่าวเลยว่าจินตนการของผู้คนโดยรอบช่างบรรเจิดแท้…
อย่างไรก็ตามพวกมันไม่ได้มโนอย่างหลักลอย เพราะที่พวกมันพูดก็มีเหตุผลจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ทำให้มีคนในงานประลองเชื่อไม่น้อย
และคิดไปว่า ต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นคุณชายนายน้อยของขุมพลังคู่อรินิกายสือหังเซียน และเป็นดั่งปลาที่เล็ดลอดร่างแหหลบหนีมาเพราะได้รับความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายร่องรอยถูกเปิดเผย นิกายสือหังเซียนจึงส่งคนมาล่าสังหารเพื่อตัดรากถอนโคนถึงวังฉินอ๋อง!
หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ พรสวรรค์และศักยภาพผิดผู้คนแถวนี้ของต้วนหลิงเทียนก็จะมีคำชี้แจงกระจ่าง!
เพราะสุดท้ายแล้วขุมพลังระดับนิกายสือหังเซียน ก็ไม่ได้ขาดอัจฉริยะที่บรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนในเวลาร้อยปี…และขุมพลังที่เป็นศัตรูของนิกายสือหังเซียนได้ อย่างน้อยๆก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกัน
ขุมพลังระดับนั้น อัจฉริยะที่บรรลุขอบเขตต้หลัวจินเซียนนทั้งๆที่อายุยังไม่ถึงร้อย แม้จะมีน้อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย!
ด้านต้วนหลิงเทียนแม้จะได้ยินเสียงซุบซิบแต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังจะถามหญิงชราให้รู้ชัดว่าที่แท้ใช่เป็นมู่หรงปิงส่งนางมาหรือไม่นั้นเอง…
“ท่านผู้อาวุโส…”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความตั้งใจจะฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายอย่างแน่วแน่ไม่แปรผันของหญิงชรา ฉินอวี่ก็รู้สึกหมดแรง หากแต่มันยังพยายามกล่าวออกมาเป็นครั้งสุดท้าย “เรื่องนี้ท่านใช่เข้าใจอะไรผิดพลาดไปหรือไม่…ประมุขนิกายของท่านไฉนถึงมามีความบาดหมางกับสหายของข้าคนนี้ได้?”
“เพราะเท่าที่ข้าทราบมา สหายของข้าคนนี้มิใช่คนระนาบเทวโลกแต่กำเนิด แต่เป็นคนจากระนาบโลกียะที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนของพวกเราไม่ถึง 5 ปีด้วยซ้ำ…”
“เช่นนั้นตามหลักเหตุผลแล้ว สหายของข้าคนนี้มิน่าจะไปมีเรื่องมีราวอะไรกับขุมพลังระดับสูงของพวกท่านได้เลยมิใช่หรือ?”
ฉินอวี่คิดไม่ออกจริงๆ
ว่าต้วนหลิงเทียนที่เป็นคนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาได้ไม่ถึง 5 ปีด้วยซ้ำ จะไปมีเรื่องผิดใจกับตัวตนระดับประมุขนิกายสือหังเซียนได้อย่างไร?
เพราะสุดท้ายแล้วความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 ก็กว้างใหญ่สุดไพศาลเหลือเกิน เรียกว่าไม่น่าจะมาบรรจบพบเจอกันได้ด้วยซ้ำ!
“ขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนได้ไม่ถึง 5 ปี?”
ทันทีที่คำพูดของฉินอวี่ดังจบคำ ไม่เพียงแต่ลูกตาของหญิงชราจะหดหยีลง ใบหน้าของนางยังฉายอาการตกตะลึงยากจะเชื่อ!
แม้แต่อ๋องฉินกับอ๋อง 3 ก็พากันตะลึงไม่น้อย
“ห๊ะ? อะไรนะ?”
“ต้วนหลิงเทียนน่ะหรือเป็นคนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนนเราได้ไม่ถึง 5 ปี?”
“เหลวไหลใหญ่แล้ว! เรื่องพรรค์นั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร!?”
“ด้วยเพราะกลิ่นอายเลือดเนื้อของต้วนหลิงเทียนนั้นยังสดใหม่และไม่มีทางเกินร้อยปี…เช่นนั้นหากเรื่องที่พึ่งขึ้นสวรรค์เป็นความจริง มิใช่หมายความว่าตอนมันขึ้นมาพลังฝึกปรือก็สมควรเป็นแค่เซียนอมตะสวรรค์จันทร์แดงหรือไร? แต่ในเวลาไม่ถึง 5 ปีกลับบรรลุพลังขอบเขตต้าหลัวจินเซียนเนี่ยนะ!?”
“เซียนอมตะสวรรค์จันทร์แดง…ต่อให้จะแตกฉานวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังทุกแขนงระดับสวรรค์ และบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชาบ่มเพาะอมตะระดับสวรรค์ รวมถึงมีทรัพยากรบ่มเพาะไม่เว้นสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอย่างดีที่สุดของวังฉินให้ใช้…ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพลังฝึมือบรรลุถึงต้าหลัวจินเซียนได้ในเวลาแค่ 5 ปี!!”
“ฉินอวี่ผู้นี้สมควรกล่าวเหลวไหลเป็นแน่! ที่มันปั้นเรื่องนี้ขึ้นมาโกหกยอดฝีมือจากนิกายสือหังเซียน เป็นเพราะคิดสร้างความไขว้เขวในข้อมูล จนนางปล่อยต้วนหลิงเทียนไป!”
…
หลังได้ยินคำพูดของฉินอวี่ ทุกคนเพียงตกตะลึงกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มระเบิดคำพูดออกมาดังระงม ยังกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า…
ฉินอวี่โกหก!
ต้วนหลิงเทียนไม่มีทางเป็นผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนยไม่ถึง 5 ปีได้เลย!
“เจ้าหนู!”
หญิงชรามองจ้องฉินอวี่ด้วยสายตาแข็งกร้าวกล่าวออกเสียงเย็น “แม้ข้าจะนับถือหัวใจของเจ้า….แต่มิได้หมายความว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าเห็นข้าเป็นตัวโง่งม!”