WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2700
ตอนที่ 2,700 : ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า
“ท่านผู้อาวุโส ข้าไม่ได้โกหกท่านแม้ครึ่งคำ…”
เผชิญหน้ากับสายตาที่มองจ้องมาด้วยความเย็นชาของหญิงชรา ฉินอวี่ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมเผยความจนปัญญา “ต้วนหลิงเทียนนั้น เป็นคนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ได้ไม่ถึง 5 ปีจริงๆ…เรื่องนี้ข้าขอยืนยันด้วยชีวิต!”
กล่าวถึงท้ายประโยคสีหน้าของฉินอวี่ก็เต็มไปด้วยความจริงจังนัก
หญิงชราหยีตามองเพ่งทุกอิริยาบทของฉินอวี่ ด้วยพยายามมองหาอาการผิดปกติจากการโกหก ทว่านางกลับไม่พบอาการใดๆเลย แต่ต้นจนจบฉินอวี่มองสบตานางด้วยความแน่วแน่มั่นใจ ไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวแม้แต่น้อย
เรื่องนี้จึงทำให้นางสงสัยไม่น้อย…
เรื่องที่ฉินอวี่กล่าว…เป็นความจริง?
“แม่เฒ่า ท่านรู้จัก…มู่หรงปิงสินะ?”
และในขณะที่หญิงชรามองจ้องฉินอวี่ด้วยความสงสัยเต็มใจ ต้วนหลิงเทียนก็เพ่งตามองถามหญิงชราเสียงเข้ม
มู่หรงปิง!
และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนถามเรื่องนี้ ลูกตาหญิงชราก็หดเล็กลงโดยพลัน นางละสายตาออกจากร่างฉินอวี่หันกลับมามองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาปานฟ้าฟาด กล่าวเย้ยเยาะออกมาว่า “ดูเหมือนเจ้าก็ยังมิได้โง่งมนี่ รู้แล้วหรือว่าคุณหนูมู่หรงปิงมาจากนิกายสือหังเซียน?”
“เช่นนั้นเจ้าคงพอใจได้แล้วกระมัง…เพราะอย่างน้อยๆเจ้าก็ไม่ได้ตายเป็นผีโง่งม!”
ประโยคสุดท้ายของหญิงชรา ขณะกล่าวเจตนาฆ่าฟันก็ปะทุออกมาอย่างไม่คิดจะห้าม!
‘นางมาจากนิกายสือหังเซียนจริงๆ!’
ได้ยินคำของหญิงชรา มุมปากต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มบางๆออกมาอย่างพึงใจ เพราะตอนนี้เขาสามารถยืนยันความเป็นมาของมู่หรงปิงได้แล้ว ทราบว่าที่แท้นางก็คือคนของนิกายสือหังเซียนนี่เอง!
นี่เป็นคำตอบที่เขาแสวงหามาตลอด หลังจากที่แยกกับมู่หรงปิงตอนนั้น
“แม่เฒ่า ที่ท่านมาล่าสังหารข้าแบบนี้…นางรู้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนมองสบตาหญิงชราเขม็ง กล่าวถามเสียงหนัก
“ฮึ! คนกำลังจะตาย ไม่จำเป็นต้องรู้อะไรให้มาก!!”
หลังหญิงชราตะคอกเสียงเหี้ยม พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดปะทุออกมาลุกโชนท่วมร่างนางดั่งเพลิงไฟ! แรงกดดันพลังขุมหนึ่งแผ่พุ่งออกมาปานอสูรกายดุร้าย โจนทะยานเข้าใส่อ๋องฉินกับอ๋อง 3 ในฉับพลัน!
กระทั่งฉินอวี่ที่ขวางอยู่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอด ทั้งหมดถูกแรงกดดันพลังที่ว่าซัดกระแทกจนปลิดปลิวกระเด็นไปไม่เป็นท่า!
“ต้วนหลิงเทียน!!”
ฉินอวี่ที่ถูกแรงกดดันพลังซัดจนปลิวละลิ่วพ้นทาง พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง สีหน้ามันจึงเปลี่ยนไปใหญ่หลวง
“อ้อ…ดูเหมือนที่แท้นางจะไม่รู้สินะ”
มองสบกับแววตาดุร้ายอำมหิตของหญิงชรา ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะไม่หวาดกลัว ยิ่งมารอยยิ้มก็ยิ่งฉีกกว้างขึ้น แม้ตอนนี้เบื้องหน้าจะไร้อ๋องฉิน อ๋อง 3 และฉินอวี่ปกป้อง เขาก็ไม่ได้แลดูหวั่นเกรงหรือขลาดกลัวอะไร แววตายังคงใสกร่ะจ่างหาความตื่นตระหนกไม่เจอ
“ฮึ! ตาย!!”
เมื่อเห็นรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน หญิงชราก็ไม่สบอารณ์อย่างแรง ใบหน้าเหี่ยวย่นเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ ตะคอกเสียงเย็นดังสนั่นสะท้านแดนดิน!
วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดทั่วร่างของนาง เริ่มส่งเสียงกู่ร้องออกมาน่ากลัวนัก
และทันใดนั้นเอง พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของนาง ก็ปะทุออกมามหาศาลดั่งแพเมฆทะมึน! โถมเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนเร็วไว ราวพยัคฆ์จ้าวป่าคิดกลืนร่างลูกแกะน้อยในหนึ่งคำ!
มวลพลังดั่งแพเมฆดำหอบจิตสังหารอำมหิตขุมนี้ ช่างลัดข้ามฟ้ามาด้วยความเร็วน่าอัศรรย์นัก!
และไม่ทันที่มวลพลังดังเมฆทะมึนจะมาถึง กลิ่นอายพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงก็แผ่มาให้ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้แต่ไกล!
“แม่เฒ่า เรื่องนี้ทีหลังท่านอย่าได้สอดมือจะดีกว่า…”
ตอนนี้เองอยู่ๆเสียงของต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้น
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ช่างเฉยเมยนัก หาความหวั่นวิตกหรือหวาดกลัวไม่เจอแม้แต่น้อย
“และหลังจากที่ท่านกลับไปถึงนิกายสือหังเซียนแล้ว ก็เอาคำข้าไปบอกให้ประมุขนิกายท่านฟังชัดๆ…วันหน้า ข้าจะนำของหมั้นไปเยือนนิกายสือหังเซียนด้วยตัวเอง! และสู่ขอนางมาตบแต่งข้าอย่างยิ่งใหญ่ไม่ต้องอายใคร!!”
เสียงต้วนหลิงเทียนนยังคงดังสืบต่อ
“หืม?!”
ขณะที่ฟังต้วนหลิงเทียนพูด หญิงชราก็คล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง และนั่นทำให้หน้าของนางเปลี่ยนสีไปทันที
“เจ้า…เจ้าไฉนถึงมียันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าได้!?”
ในขณะเดียวกันที่หญงชราอุทานออกมาด้วยความตกใจ นางก็คล้ายจะรีบร้อนขึ้นหลายส่วน รีบควบคุมพลังมหาศาลที่โถมไปดั่งแพเมฆดำให้ปะทุระเบิดออกมาทันที! ทันใดนั้นเสียง ตูม ก็อุบัติขึ้นดังสนั่นปานฟ้าถล่ม!!
นางถึงกับควบคุมให้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดมหาศาลของนาง…ระเบิดออกในฉับพลัน เปล่งพลังทำลายล้างออกมา!!
พริบตาต่อตา เมฆเห็ดมหึมาก็เริ่มเบ่งบานขึ้น!
“แย่แล้ว!!”
“อ๊าคคคค!!”
“ไม่—–!!”
…
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เมฆรูปดอกเห็ดเบ่งบานขึ้น พลังทำลายล้างมหาประลัยจากการระเบิด ก็ถล่มกวาดออกไปรอบทิศทาง!!
พลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงนี้ พริบตาก็คร่าชีวิตเหล่ารุ่นเยาว์อายุไม่ถึงร้อยปีจาก 16 มณฑลไปแทบหมด!
ที่ยังรอดอยู่นั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย!
กระทั่งเหล่าอาวุโสของแต่ละมณฑล ไม่เว้นเหล่าอาวุโสฝ่ายใน ก็แทบไม่อาจป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากแรงระเบิดของพลังมหาประลัยนั่นได้! แต่ละคนกระอักโลหิตยกใหญ่ หลายคนยังบาดเจ็บสาหัส ตกตายไปเลยก็มี!!
คงมีแต่ชนชั้นผู้ว่าการมณฑลที่บรรลุถึงขอบเขตต้าหลัวจินเซียนเท่านั้นที่มีพลังมากพอจะปกป้องตัวเองและรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่มีความสำคัญได้อย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว
อย่างไรก็ตามพวกมันก็ยังมีพลังอันจำกัด เช่นนั้นจึงปกป้องอัจฉริยะได้เพียงบางคนเท่านั้น!
ที่สำคัญเมื่อเกิดเรื่องฉุกละหุกเช่นนี้ขึ้น คนที่พวกมันปกป้องก็หาใช่อัจฉริยะที่เก่งกาจมากพรสวรรค์ที่สุดในมณฑลไม่ หากแต่เป็นรุ่นเยาว์ที่มีความสัมพันธ์กับพวกมัน!
ยกตัวอย่างเช่นทางด้านอัฒจันทร์ของมณฑลหลิวฟง ชนชั้นอาวุโสฝ่ายในอะไรล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัสเจียนตายกันหมด เป็นฉู่ถิงซวนผู้ว่าการมณฑลหลิวฟงไม่ได้สนใจจะช่วยพวกมันแม้แต่น้อย มันทุ่มพลังปกป้องตัวเองกับลูกทั้ง 2 คนเท่านั้น ส่วนอัจฉริยะที่เหลือ ตายเรียบ!
มณฑลอื่นๆก็มีสถานการณ์คล้ายๆกัน จะเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สำคัญ ถ้าไม่ใช่ศิษย์หรือเกี่ยวพันทางสายเลือด ล้วนถูกปล่อยให้ตายอย่างไม่มีใครดูดี ทั้งหมดห่วงก็แต่คนของตัวเองเท่านั้น
กล่าวได้ว่าในบรรดา 16 มณฑลนั้น รุนเยาว์ที่รอดชีวิตจากการระเบิดมาได้ หากไม่นับรวมต้วนหลิงเทียน…ก็มีแค่ 9 คนเท่านั้น!
ที่อนาถที่สุดก็คือมณฑลจิ่วโยว
นั่นเพราะเถียนจี้หวี่ ผู้ว่าการมณฑลจิ่วโยวได้ตกตายไปเพราะยอดฝีมือของนิกายสือหังเซียนแต่แรก อัฒจันทร์ที่นั่งของมณฑลจิ่วโยวจึงไม่เหลือต้าหลัวจินเซียนแม้แต่คนเดียว…ผู้ที่มีพลังฝีมือสูงสุดก็คงเหลือแต่ผางปิงกับเจิ้งชิวเท่านั้น ทว่าทั้ง 2 แค่ปกป้องตัวเองก็เต็มกลืน ยังนับประสาอะไรกับปกป้องคนอื่น? สุดท้ายจึงมีแค่พวกมันทั้งคู่เท่านั้นที่เก็บกู้ชีวิตมาได้…
กล่าวได้ว่าสภาพอัฒจันทร์ที่นั่งของทั้ง 16 มณฑลใต้วังฉิน ยามนี้อนาถสุดจะกล่าว…
ทางด้านอัฒจันทร์ที่นั่งสำหรับบุคคลพิเศษนั้นยังดี
เพราะมีผู้บาดเจ็บแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ทั้งหมดสืบเนื่องมาจากผู้ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์พิเศษข้างชั้นลอยนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญของแต่ละขุมพลังในเขตวังฉินทั้งสิ้น ผู้ที่นำพาคนมาพลังฝีมือล้วนบรรลุต้าหลัวจินเซียนทั้งนั้น จึงไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร
เมื่อมีต้าหลัวจินเซียนลงมือช่วยกันหลายคน ผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงต้าหลัวจินเซียนจึงไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก
มีเพียงไม่กี่คนที่ดวงซวยนั่งห่างจากต้าหลัวจินเซียนเกินไป และพลังฝีมือตัวเองก็แค่พอถูไถจึงได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง
ส่วนคนของวังฉินที่ควบคุมสนามพลังกั้นเวที และคอยดูแลเรื่องราวต่างๆทั้งหลาย ล้วนปลอดภัยกันดี
สำหรับฉินอวี่ ก็มีอ๋องฉินกับอ๋อง 3 คุ้มครอง จึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
คนของอ๋องฉินที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินการประลอง 16 มณฑล อันที่จริงด้วยด่านพลังต้าหลัวจินเซียนของมัน คงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรหากมันนั่งอยู่บริเวณอัฒจันทร์ อนิจจาเมื่อครู่มันยังลอยร่างไม่ห่างต้วนหลิงเทียนเท่าไหร่ เรียกว่าพลังงของหญิงชราได้ระเบิดบึ้มจ่อหนังหน้าด้วยซ้ำ! สภาพเลยสะบักสะบอมแลดูไม่ได้อยู่บ้าง!!
สำหรับคนที่อยู่หลังผ้าม่านในชั้นลอย ล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย
กระทั่งม้าสีขาวปลอดทั้ง 9 ที่คอยแบกหามเกี้ยว แม้จะมีพลังฝึกปรือแค่ จินเซียนตะวันม่วง ก็ยังคงนอนเอนกายอย่างสบายใจเพราะมีคนคุ้มกัน…
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
…
พลังทำลายล้างที่แผ่กำจายอกมาจากเมฆรูปดอกเห็ดยังไม่หยุดลงง่ายๆ ขยายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้นทุกขณะ ทำให้อัฒจันทร์ทั้งหลาย ไม่เว้นเวทีและอาคารปลูกสร้างในอาณาบริเวณแถบนี้ วินาศสันตะโรกันหมด! คนที่เคยนั่งบนอัฒจันทร์ ก็ได้แต่ลอยเคว้งกลางหาว!!
ซัว! ลา! ลา!
…
จากนั้นไม่นานนัก เมฆเห็ดที่เบ่งบานเหนือเวทีประลองก็สลายหายไป คงเหลือแต่เพียงสายลมแรงพัดกรรโชกส่งสำเนียงเสียงหวิว…
มองไปที่ใดก็แทบไม่พบอะไรสมบูรณ์ คงเหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง เวทีที่ว่าบัดนี้ไม่ต่างอะไรจากหลุมอุกกาบาต
อัฒจันทร์ที่นั่งล้วนพังยับ คงเหลือแต่ชั้นลอยที่มีม่านผ้าเท่านั้นที่ยังอยู่ดี ส่วนอัฒจันทร์ที่นั่งพิเศษนั้น แม้ด้านบนจะไม่พังเพราะมีต้าหลัวจินเซียน แต่เมื่อรากฐานด้านล่างพังทลาย ก็จำต้องร่วงตกลงไปเป็นซากเช่นกัน…
ขวับ ขวับ ขวับ ขวับ
…
หลังจากที่ทุกผู้คนพากันนิ่งเงียบ เหม่อมองความวินาศสันตะโรรอบๆโดยไม่กล่าวคำอยู่พักหนึ่ง พอรู้สึกตัวต่างก็พากันหันไปจับจ้องร่างหญิงชราที่ลอยล่องอยู่เหนือฟ้าในชุดธรรมดาๆทันที
หญิงชราที่แลแล้วอายุไม่น้อยนางนั้น ยังคงลอยล่องกลางหาวอย่างเฉยเมย คล้ายความบรรลัยรอบๆไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับนาง
อย่างไรก็ตามตอนนี้แค่นางลอยร่างอยู่เฉยๆ เหล่าผู้ที่รอดจากหายนะมาได้ ก็ไม่มีใครไม่มองนางด้วยความหวาดกลัว
“ยอดฝีมือของนิกายสือหังเซียน…แค่ลงมือส่งๆยังทรงพลังถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
“พลังทำลายล้างเมื่อครู่มันอะไรกัน…แค่แรงระเบิดก็รุนแรงขนาดนี้แล้ว ที่สำคัญนางไม่ได้คิดเล่นงานพวกเราแต่แรกด้วยซ้ำ…นางเพียงจุดชนวนพลังให้ระเบิดออกเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียน!”
“ให้ตายเถอะ ต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสุดยอด…น่ากลัวว่าคงยังไม่ทรงพลังถึงระดับนี้ใช่หรือไม่?”
“นั่นสิ หรือหญิงชราจากนิกายสือหังเซียนผู้นี้…ที่แท้จะเป็นยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ!?”
…
เหล่าผู้ที่ยังหลงเหลือจากการระเบิด ขณะมองหญิงชราด้วยความหวาดกลัว ปากก็เริ่มเอ่ยคาดเดาระดับพลังของนาง และหลายคนลงความเห็นว่า…นางอาจจะเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตยอดเซียนอมตะ!
เป็นตัวตนอันทรงพลังขอบเขตขุนนางอมตะ!
ในนิกายสือหังเซียน ย่อมมีตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะดำรงอยู่! และไม่ได้มีแค่คนเดียว!!
“เขา…เขา…ตายแล้วหรือ?”
ฉู่อวี้ รุ่นเยาว์อัจฉริยะของมณฑลหลิวฟง ได้แต่หันรีหันขวางมองฟ้าเวิ้งว้างอย่างร้อนใจ หมายหาร่างสีม่วงให้พบ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ…
“เจ้านั่นน่าจะยังปลอดภัยดีอยู่…หากตายไปแล้วอย่างน้อยๆก็ต้องทิ้งร่องรอยอะไรไว้บ้าง แต่เจ้าไม่เห็นหรือไง รอบๆตรงนั้นว่าไม่มีแม้แต่ละอองเลือดด้วยซ้ำ?”
ฉู่เหยียนที่ลอยร่างข้างๆนาง พอเห็นอาการเสียขวัญของน้องสาวก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาเบาๆ
พอฉู่อวี้ได้ยินนางก็เริ่มสังเกตทันที และพบว่าไม่มีละอองเลือดอย่างที่พี่ชายว่าจริงๆ
ก็ใช่
หากต้วนหลิงเทียนถูกฆ่าเพราะการระเบิดเมื่อครู่จริงๆ ต่อให้ร่างจะแหลกสลายเป็นผุยผง แต่อย่างไรเสียก็ต้องหลงเหลือหมอกโลหิตให้เห็น…
แต่ตอนนี้ไม่มีเลย
สิ่งนี้บอกให้รู้ว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย!
“ก่อนที่พลังของหญิงชรานางนั้นจะระเบิด…ดูเหมือนนาจะอุทานออกมาว่า ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า…หากข้าเดาไม่ผิด ในห้วงเวลาคับขันเป็นต้วนหลิงเทียนได้ใช้ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่าออกมา และหนีรอดไปได้ต่อหน้าต่อตาของนาง…”
ฉู่ถิงซวน ผู้ว่าการมณฑลหลิวฟงเอ่ยขึ้น
ตอนนี้มาดอาลักษณ์เคร่งขรึมที่แลดูภูมิฐานสง่างามของมันไม่มีเหลืออยู่เลย…หน้ามันตอนนี้เรียกว่าเสมือนยักษ์พิโรธนัก!
นั่นเพราะรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่คัดมาแล้วจากทั่วทั้งมณฑลของมันเพื่อเข้าร่วมงานประลอง 16 มณฑลครานี้ นอกจากลูกชายกับลูกสาวของมัน…อีก 28 คนที่เหลือล้วนตายเกลี้ยงไม่มีเหลือ!!
“ต้วนหลิงเทียน !!”
ฉินอวี่ที่ได้รับการปกป้องจากอ๋องฉินและอ๋อง 3 พอรู้สึกตัวหน้าก็เปลี่ยนสีไปทันที เร่งหันรีหันขวางพยายามหาร่องรอยต้วนหลิงเทียนอย่างแตกตื่นเสียขวัญ
“อวี่เอ๋ออย่าได้ห่วงไป สหายเจ้าไม่เป็นอะไร…”
อ๋องฉินเอื้อมมือมาตบบ่าหลานชายที่ร้อนใจเบาๆ พูดว่า “ในวินาทีสุดท้าย…สหายเจ้าได้ใช้ยันต์หลบหนีเงาว่างเปล่า เพื่อหลบหนีไปจากที่นี่…”