WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2710
ตอนที่ 2,710 : ล้านหินอมตะระดับสูง!
“ลู่หนันผู้นั้น…มันอย่างไรก็นับเป็นต้าหลัวจินเซียนมือดีคนหนึ่งของตระกูลลู่…ทว่าต่อหน้าเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น มันถึงกับแพ้พ่ายตายตกในพริบตา…”
“แถมลู่เหวินปินไม่ใช่นายน้อยอัจฉริยะของตระกูลลู่ธรรมดาๆ ยังเป็นถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้นำตระกูลลู่อีกด้วย! เห็นว่ามันถูกแต่งตั้งให้เป็นว่าที่ประมุขตระกูลลู่แล้วแท้ๆ…แต่ชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้เพียงอีกฝ่ายพูดว่าจะฆ่ามัน ก็ชิงฆ่าผู้อื่นเขาก่อนทันที!!”
“มันเป็นผู้ใดกันแน่ หรือไม่กลัวถูกตระกูลลู่ล้างแค้นเลย?”
…
เหล่าผู้คนบนถนนที่ชมดูเรื่องราวอยู่ อดไม่ได้ที่จะกระซิบคุยกันด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ สายตาที่มองต้วนหลิงเทียนยังฉายความยำเกรงไม่น้อย
หนึ่งเลยพวกมันยำเกรงความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียน!
ส่วนอีกด้านพวกมันก็นับถือจิตใจอันกล้าหาญของต้วนหลิงเทียนไม่น้อย เพราะเขาถึงกับกล้าฆ่านายน้อยลู่ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น กลางเมืองฉีลู่!!
“เหอๆ นายน้อยรองสกุลฉีโชคดีจริงๆที่มันไม่ทันได้ลงมือทำอะไร…ไม่งั้นมันกับอาวุโสสกุลฉีทั้ง 2 ด้านหลัง เผลอๆจะกลายเป็นเลือดเปื้อนถนนไปแล้ว”
“เมื่อกี้ข้าเห็นนายน้อยฉีทำท่าราวกับจะสั่งให้ชายชราสองคนนั่นลงมือแล้วด้วยซ้ำ…แต่ก่อนจะลงมือนายน้อยลู่ดันโผล่มาเสียก่อน จึงยังไม่ทันได้ทำอะไร”
“เช่นนั้น…กล่าวได้ว่านายน้อยลู่กลับช่วยชีวิตนายน้อยรองสกุลฉีไว้อย่างไม่รู้ตัว?”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น…และไม่ได้ช่วยธรรมดาๆแม่เอ๊ย…เช่นนี้เรียกว่ามาตายแทน!”
…
นึกถึงฉากเรื่องราวก่อนหน้าที่จะบังเกิดฉากเลือดสาด ผู้คนบนถนนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองนายน้อยรองสกุลฉี ฉีโหยว ด้วยสายตาซับซ้อน หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“คุณชายท่านนี้ เป็นข้ามีตาหามีแววไม่ เมื่อครู่เป็นข้าเสียมารยาทกับคุณชายแล้วจริงๆ ข้าต้องขอภัยต่อพวกท่านด้วย หวังว่าคุณชายจะไม่ถือสา”
หลังสติฉีโหยวกลับมาอยู่กับร่องกับรอย สีหน้ามันก็ค่อยๆหวนคืนสู่ความสงบ จากนั้นก็ประสานมือโค้งคารวะ กล่าวคำขอขมาลาโทษต้วนหลิงเทียน ราวกับอยากเลิกแล้วต่อกันเพียงเท่านี้
ชายชราทั้ง 2 ด้านหลังก็ป้องมือโค้งคารวะเช่นกัน
หากต้วนหลิงเทียนแค่ลงมือเข่นฆ่าลู่เหวินปินคนเดียว พวกมันจะไม่ทำอะไรแบบนี้เลย
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนได้เข่นฆ่าลู่หนันที่พลังฝีมือทัดเทียมกับพวกมันได้อย่างง่ายดาย ทำให้พวกมันทราบดี…ว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนอยู่เหนือพวกมันนัก!
ด้วยเหตุนี้ไหนเลยพวกมันจะกล้าหืออือต่อหน้าต้วนหลิงเทียนอีก!
“เจ้าอาศัยข้าต่างมือปืน…แต่ตอนนี้แค่ขอโทษไม่กี่คำ แล้วคิดว่าจะจบเรื่องได้รึไง?”
ต้วนหลิงเทียนหันกลับมาหรี่ตามองฉีโหยว พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“แล้ว…คุณชายท่าน…ต้องการอันใด?”
ฉีโหยวที่ก้มหัวอยู่ กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
มีคำกล่าวไว้ว่า ‘ผู้ฉลาดรู้สถานการณ์’ ถึงฉีโหยวจะมั่นใจว่า ไม่ใช่ในตระกูลฉีของมันจะไม่มีผู้ปราบชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าได้ ทว่าน้ำไกลมิอาจดับไฟใกล้ ไหนเลยมันยังจะกล้าวางท่าอยู่ได้ จำต้องอ่อนน้อมขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน
“นำพวกเราไปตระกูลฉีของเจ้า…”
ต้วนหลิงเทียน มองฉีโหยววกล่าออกด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “มาเถอะ เดินไปคุยไป”
“ได้”
แม้ฉีโหยวจะไม่รู้ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงบอกให้มันนำไปที่ตระกูล แต่ในเมื่อต้วนหลิงเทียนอยากไปนัก มันก็ได้แต่ก้มหัวเออออตามไปก่อน เพียงลอบกล่าวในใจว่า ‘ข้ายังกลัวคนตระกูลฉีจะมาช่วยข้าไม่ทัน…แต่ในเมื่อสวรรค์มีทางเจ้าไม่เดิน นรกไร้ประตูเจ้าดันทุรังมุดมาแบบนี้ ข้าก็จักสงเคราะห์ให้!’
ขณะที่ก้มหัวไปลอบกล่าวในใจ สองตาของฉีโหยวก็ทอแสงเย็นออกมาวูบวาบ
ครู่ต่อมา ท่ามกลางสายตาของเหล่าคนเดินถนน ฉีโหยวกับชายชราทั้ง 2 ก็เดินนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไปทางตระกูลฉี
ไม่ว่าทั้ง 5 เดินผ่านทางใด ผู้คนล้วนหลีกทางให้เดินกันอย่างสะดวก
พริบตาแผ่นหลังพวกต้วนหลิงเทียนก็หายลับไปจากสายตาพวกมัน
จังหวะนี้เหล่าผู้คนเดินถนนอดไม่ได้ที่จะพากันระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็เริ่มสนทนากันอย่างออกรส ไม่ต้องคอยเบาเสียงอะไรเพราะกลัวปากพาซวยอีก
“เฮ่ พวกเจ้าว่าไฉนเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นอยู่ดีๆ มันเกิดอยากไปตระกูลฉีขึ้นมาเล่า?”
“ฟังจากที่มันพูดตอนแรก ข้ารู้สึกเหมือนมันจะคิดบัญชีกับนายน้อยรองสกุลฉี…แต่ตอนนี้อยู่ๆกลับให้ผู้อื่นนำกลับบ้าน อย่าได้บอกเชียว ว่าเจ้าหนุ่มนั่นมันคิดว่าตระกูลฉีใครอยากไปเดินเล่นก็ไปได้?”
“ไปตระกูลฉี…มิใช่มันไปรนหาที่ตายหรือไร แม้พลังฝีมือมันจะไม่ใช่ชั่ว แต่หากคิดจะไปสร้างคลื่นลมอะไรที่ตระกูลฉี…ข้าเกรงว่ามันยังมีคุณสมบัติไม่ถึงกระมัง?”
“ตระกูลฉี…อย่างไรก็มีต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์อยู่ถึง 2 คน!”
…
เหล่าผู้คนบนถนนอดไม่ได้ที่จะสับสน ครุ่นคิดกันไปวุ่นวาย
ชายหนุ่มชุดม่วงที่แท้นึกเฮี้ยนอันใดขึ้นมาถึงกล้าบุกไปตระกูลฉี?
ไม่ใช่พาตัวเข้าจุดดับหรือไร…นี่ยังต่างอะไรกับลูกแกะคิดไปเยี่ยมชมรังหมาป่า?
“พวกเจ้าคิดว่า…เป็นไปได้หรือไม่ที่ชายหนุ่มชุดม่วงกับสตรีนางนั้น เป็นตระกูลฉีเตี๊ยมมา?”
ตอนนี้เองปรากกฏร่างอาแปะผู้หนึ่ง ที่สองตาฉายประกายเฉลียวฉลาดทำราวกับล่วงรู้ทุกสรรพสิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ทั้งหมดที่พวกเราเห็นนั้น ที่แท้อาจเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง ทั้งหมดเป็นตระกูลฉีวางบทมาให้สังหารนายน้อยลู่!”
“ตอนนี้พวกมันเพียงแค่ร่วมมือกันเสแสรงแสดงละคร ให้ดูเหมือนว่ามีเรื่องบาดหมางกัน และคิดไปหาความกันที่ตระกูลฉี…แต่ทั้งหมดสมควรกระทำเพื่อสร้างความสับสนให้ตระกูลลู่! ที่แท้ชายหนุ่มหญิงสาวผู้นั้นก็แค่ไปรับเงินสกุลฉี ก่อนจะจากเมืองงฉีลู่ของพวกเราไป!!”
“ถึงตอนนั้นต่อให้สกุลลู่สงสัยว่าพวกมันเป็นมือสังหารที่ตระกูลฉีจ้างวานมา แต่เมื่อคนไม่อยู่ก็มิมีหลักฐานอันใด…เช่นนั้นต่อให้ตระกูลลู่จะไร้ยางอายเพียงใด ก็ไม่กล้าเปิดศึกกับตระกูลฉีอย่างไร้หลักฐาน!”
เมื่ออาแปะมาดทรงภูมิกล่าวจบคำ ผู้คนบนถนนก็หันมามองมันด้วยสายตาทึ่งๆ จากนั้นก็พากันชักสีหน้าจริงจังครุ่นคิด ก่อนจะมีคนกล่าวพึมพำออกมาว่า “ล้ำลึกๆ”
“ข้าก็คิดอยู่แล้วเชียว…ว่าเรื่องราวมันทะแม่งๆพิกล ให้นายน้อยรองสกุลฉีใจป้ำเพียงใด ก็ไม่มีทางควักหินอมตะระดับสูงถึง 20,000 ก้อนเพื่อดูหน้าสตรีหรอก!”
“จริง เรื่องนี้อาจเป็นดั่งพี่ท่านว่า! เพราะในอดีตให้นายน้อยรองสกุลฉีใจป้ำเพียงใด ก็ไม่เคยใจป้ำกับเรื่องเหลวไหลเช่นนี้!”
“นั่นน่ะสิ จ่ายค่าชมดูรูปโฉมสตรีนางหนึ่งด้วยหินอมตะระดับสูง 20,000 ก้อน…เหลวไหลใหญ่แล้ว!”
…
เหล่าผู้คนบนถนนทั้งหลายกล่าวไปกล่าวมาก็เห็นพ้องต้องกันกับข้อสันนิษฐานของอาแปะเมื่อครู่…
เป็นชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้น ถูกตระกูลฉีจ้างวานมาไม่ผิดแน่!
ยังดีที่ตอนนี้นายน้องรองสกุลฉีไม่ได้อยู่ฟังข้อสันนิษฐานของพวกมัน หาไม่แล้วคงได้กระอักเลือดเพราะโมโห
พวกมันยังกล้าคิดว่าตระกูลฉีจัดฉากได้อย่างไร?
หากชายหญิงคู่นั้นเป็นตระกูลฉีเตี๊ยมกันมาจริง เมื่อครู่มันจะกลัวจนหน้าเสียขนาดนั้นหรือ?
“คุณชาย…ท่านต้องการอะไรกันแน่?”
ในขณะที่เดินนำไปยังตระกูลฉี ในที่สุดฉีโหยวก็เป็นคนกล่าวทำลายความเงียบขึ้นมา มันหันหน้าไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าหวั่นๆ
“ข้าต้องการแผนที่คุณภาพสูง ที่ครอบคลุมทั้งประเทศอวิ๋นเหยียนกับประเทศข้างเคียงประเทศอวิ๋นเหยียน…”
ต้วนหลิงเทียนเปิดประโยคนี้ออกมา สีหน้าของฉีโหยวยังดีอยู่…
เพราะนี้นับเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับมัน
ไม่ต้องเป็นตระกูลฉีของพวกมัน ก็สามารถหาแผนที่ดังกล่าวได้
“นอกจากนี้ข้าคิดจะเรียกค่าทำขวัญจากตระกูลฉีเจ้า 1,000,000 หินอมตะระดับสูง”
ต้วนหลิงเทียนพูดต่อ
และพอได้ยินวาจาประโยคท้ายของต้วนหลิงเทียน หน้าฉีโหยวก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน
หินอมตะระดับสูงล้านก้อน!
ต่อให้เป็นตระกูลฉีของมัน ก็ยากจะหยิบควักออกมาคราเดียว เพราะนี่ไม่ใช่เงินน้อยๆเลย!
กระทั่งอาวุโสสกุลฉีทั้ง 2 ที่ติดตามอยู่ด้านหลังฉีโหยวยังหน้าเปลี่ยนสีไปไม่น้อย แม้พวกมันจะมีคาดเดาไว้บ้างแล้ว ว่าไม่พ้นชายหนุ่มชุดม่วงต้องคิดกรรโชกหินอมตะจากสกุลฉีของพวกมันแน่ แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะหาญกล้าเรียกราคาขนาดนี้!
นั่นมันหินอมตะระดับสูงล้านก้อน!
เจ้าหนุ่มผู้นี้มั่นใจหรือว่ากลืนได้หมด?
“ข้าไม่อาจตัดสินใจเรื่องนี้ได้…รอให้กลับไปถึงตระกูลก่อนข้าค่อยไปถามท่านพ่อให้ท่าน”
ฉีโหยวสูดอากาศเข้าลึกๆค่อยกล่าว
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ “ไม่รีบ ข้าจะแวะไปนั่งจิบชาที่บ้านตระกูลฉีเจ้าสักกา…แต่อย่างไรเสียหลังไปถึงตระกูลฉีของเจ้าแล้ว ข้าสามารถรอได้แค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น หากครึ่งชั่วยามแล้วตระกูลฉีเจ้ายังไม่มีหินอมตะระดับสูงล้านก้อนให้ข้า ก็อย่าได้โทษข้าว่าใจร้ายกับพวกเจ้า!”
กล่าวถึงท้ายประโยค สายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองฉีโหยวก็ฉายประกายเยียบเย็นเผยความแหลมคมดุร้าย พาลให้ฉีโหยวตกใจกลัว จนต้องเร่งเบือนหน้าหลบตา ไม่กล้ามองต้วนหลิงเทียนอีก
“นายน้อยรอง…ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ พอเปิดปากมันก็คิดจะกลืนหินอมตะระดับสูงถึงล้านก้อน ช่างละโมบยิ่งนัก!”
ชายชราด้านหลังฉีโยวคนหนึ่งส่งเสียงผ่านพลังกล่าวกับฉีโหยว
“มันคิดเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง…แต่ต้องดูว่ามันรับประทานไหวหรือไม่!”
ฉีโหยวกล่าวเย้ยผ่านพลัง ลอบหัวเราะในใจ
“แต่ข้าดูแล้ว มันไม่คล้ายคนทำอะไรวู่วาม…ตระกูลฉีเราเป็นอย่างไร มันสมควรรู้ตื้นลึกหนาบางมาบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วขุมกำลังของพวกเราก็มิได้เป็นความลับในเมืองฉีลู่ แค่เข้าเมืองมาถามผู้ใดก็รู้ได้”
อาวุโสอีกคนของสกุลฉี เอ่ยผ่านพลังเสียงหนัก
“ท่านหมายความว่าอะไร…ท่านคิดว่าการที่มันกล้าตามพวกเรากลับไปตระกูลฉี และกล้าข่มขู่เรียกร้องราคาขนาดนี้ทั้งๆที่รู้ว่าตระกูลฉีเราเป็นเช่นไร…เป็นเพราะมันไม่กลัวตระกูลฉีของพวกเรางั้นเหรอ?”
เสียงผ่านพลังรอบนี้ของฉีโหยวก็เข้มขึ้นไม่น้อย
“อาจเป็นเช่นนั้น”
อาวุโสคนดังกล่าวของสกุลฉียังคงกล่าวผ่านพลังสืบต่อ “มิแน่ว่ามันอาจจะซ่อนพลังฝีมือไว้…หรือบางทีมันอาจมีความเป็นมาไม่ธรรมดา!”
“มันจะซ่อนพลังฝีมือเอาไว้หรือมีความเป็นมาไม่ธรรมดาก็ช่างเถอะ…รอให้มันกลับไปถึงตระกูลฉีเรา เพียงให้ท่านพ่อตรวจสอบมันก่อน อย่างไรเสียถ้าท่านพ่อรับมือมันคนเดียวไม่ไหว ก็ให้ท่านบรรพบุรุษมาช่วยจัดการมันเถอะ”
ฉีโหยวกล่าว
ในตระกูลฉีนั้น มีต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์อยู่ 2 คน และทั้งคู่ยังเป็นยอดฝีมือที่ทรงพลังที่สุดของตระกูลฉี
หนึ่งในนั้นคือผู้นำตระกูลฉี บิดาของฉีโหยว
ส่วนอีกคนก็คือบรรพบุรุษของตระกูลฉี เรียกว่าเป็นผู้อาวุโสที่มีฐานะสูงสุดของตระกูลฉีก็ว่าได้
และแม้ว่าทั้งคู่จะเป็นต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์เหมือนกัน หากแต่พลังฝีมือบรรพบุรุษสกุลฉี ยังเหนือกว่าผู้นำตระกูลฉีคนปัจจุบันเสียอีก
ไม่นานภายใต้การนำทางของฉีโหยว ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็มาถึงบ้านสกุลฉี
“ต้วนหลิงเทียน พวกเรามาทำอะไรที่บ้านพวกมันเล่า ฮ่วนเอ๋อไม่อยากอยู่กับพวกมันเลย”
หลังเข้ามาในบ้านตระกูลฉีแล้วว ฮ่วนเอ๋อก็หันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย
“พวกเราตามพวกมันมาเพื่อรับหินอมตะน่ะ…ก่อนหน้านี้ในเมืองที่ฮ่วนเอ๋อซื้อของเล่นกับของกินมาเยอะแยะ ล้วนต้องใช้หินอมตะทั้งนั้นเลย หากฮ่วนเอ๋อไม่มีหินอมตะ ฮ่วนเอ๋อก็ซื้อของพวกนั้นแถมรับประทานขนมพวกนั้นไม่ได้ด้วย”
“ที่พวกเรามาที่นี่ตอนนี้…ก็เพื่อรับหินอมตะนั่นอย่างไรเล่า พอได้มาแล้วคราวนี้ฮ่วนเอ๋ออยากได้อะไร หรืออยากกินอะไรก็จัดไปเต็มที่เลย ไม่ต้องกลัวไม่มีเงินจ่ายแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับฮ่วนเอ๋อเสียงนุ่ม ทำราวกับโจรใจบาปกำลังล่อลวงเด็กน้อย
“โอ้ว!”
หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สองตาฮ่วนเอ๋อก็ลุกวาวสว่างจ้า เร่งกล่าวออกมาว่า “ถ้างั้นให้พวกมันส่งหินอมตะทั้งหมดที่พวกมันมีติดตัว รวมถึงหินอมตะทั้งหมดในบ้านมันมาให้พวกเราเถอะ!”
“ถ้าพวกมันกล้าไม่ให้…ฮ่วนเอ๋อจะฆ่าให้หมดบ้าน!”
กล่าวถึงท้ายประโยคสองตาฮ่วนเอ๋อ ก็ฉายจิตสังหารอันเยียบเย็นออกมาอีกครั้ง
ยังดีที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อนั้นใช้การส่งเสียงผ่านพลังคุยกัน และคนของสกุลฉีทั้ง 3 ไม่อาจได้ยินอะไร
หาไม่แล้วพวกมันต้องตกใจกับคำพูดของฮ่วนเอ๋อแน่นอน