WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2713
WSSTH ตอนที่ 2,713 : รอบคอบ
ในสหัสโลกธาตุ มีระนาบเทวโลกทั้งสิ้นเก้าเก้า 81 ระนาบ หรือที่เรียกกันว่าแดนสวรรค์ทั้ง 81 แดน…
ทว่าในแต่ละระนาบเทวโลกนั้น ไม่ว่าที่ใดก็ไม่ปรากฏว่ามีชีพจรผลึกอมตะระดับสูงสุดเกินกว่า 10 เส้นมาก่อน…
และชีพจรผลึกอมตะระดับสูงสุดนั้น ในรอบหมื่นปี ก็จะมีผลึกเทพปรากฏให้เห็นแค่ชิ้นเดียว…
พูดอีกอย่างได้ว่า…
โดยเฉลี่ยแล้ว ทุกๆรอบพันปีของแต่ละระนาบเทวโลก จะปรากฏผลึกเทพขึ้นมาชิ้นหนึ่ง!
เช่นนั้น ผลึกเทพ มันล้ำค่าถึงขนาดไหนมองจากเรื่องนี้ก็ทราบได้
และในมือของฮ่วนเอ๋อ…มิคาดกลับถือครองผลึกเทพอยู่ชิ้นหนึ่ง!
‘ฮ่วนเอ๋อ…ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคิดว่าท่าทางฮ่วนเอ๋อจะมีความเป็นมายิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจะคาดคิด เพราะนางมีผลึกเทพนั้น พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ
เสียงที่ว่ายังดังมาจากด้านนอกไกลๆ
“ลู่เฉียน ผู้นำตระกูลลู่ พร้อมด้วยผู้นำรุ่นก่อนของสกุลลู่และบรรพบุรุษของสกุลลู่ มาเยี่ยมเยียนผู้นำตระกูลฉีแห่งตระกูลฉี! รบกวนแล้ว!!”
เสียงที่ว่ายังดังสนั่นหวั่นไหวนัก เรียกว่ากึกก้องไปทั่วทั้งพื้นที่ของตระกูลฉีเลยก็ว่าได้
“เป็นพวกตระกูลลู่งั้นเรอะ! แถมตัวเบ้งๆยังมากันพร้อมหน้า!!”
ลูกตาของผู้นำตระกูลฉีหดหยีลโดยพลัน
“ท่านบรรพบุรุษขอรับ…พวกสกุลลู่ไม่พ้นมาหาความเรื่องการตายของนายน้อยสกุลลู่ ลู่เหวินปินเป็นแน่…และดูท่ายังคิดมาหาใต้เท้าทั้งสองท่านโดยเฉพาะ”
นายน้อยรองสกุลฉีหันไปกล่าวคำกับบรรพบุรุษ ก่อนที่จะกลางประโยคจะสลับมามองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ
แม้จะกล่าวคำรายงานไปตามสภาพ อย่างไรก็ตามขณะที่กล่าว สองตาของนายน้อยรองสกุลฉีก็ทอประกายสว่างขึ้นวาบหนึ่ง!
เพราะในความคิดของมัน
การที่คนสกุลลู่พาพวกมาหาความแบบนี้ ไม่ได้ต่างอะไรกับยื่นคอมาพาดเขียงโดยแท้!
กระทั่งผู้นำตระกูลฉีกับบรรพบุรุษตระกูลฉีที่คุกเข่าอยู่ ก็ทำตาลุกวาวขึ้นมา เพราะพวกมันเองก็คิดว่าการที่สกุลลู่มาที่นี่แบบนี้ นับว่ามาหาที่ตายโดยแท้!
กระทั่งในใจยังเริ่มคิดไปไกล สองตาเริ่มเหม่อลอยคล้ายคนเพ้อฝัน
เพราะถ้าหากผู้นำตระกูลลู่ อดีตผู้นำรุ่นก่อน รวมถึงบรรพบุรุษตระกูลลู่ตกตายขึ้นมา ทีนี้ในเมืองฉีลู่แห่งนี้ยังจะมีผู้ใดต้านทานพวกมันได้อีกเล่า?!
ถึงตอนนั้นกระทั่งชื่อเมืองฉีลู่แห่งนี้ยังต้องเปลี่ยน!
เพราะสุดท้ายแล้วตระกูลลู่ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว!
“ตระกูลลู่งั้นเรอะ! มาได้จังหวะดีจริงๆ!!”
ต้วนหลิงเทียนที่นั่อยู่ พลันลุกขึ้นยืนดังพรวด จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างก็ปะทุระเบิดออกมา ยังเรียกใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน อดีตอุปกรณ์เทพจนทั่วร่างปรากฏเป็นรังสีกระบี่นับพันๆหลากสีสัน อีกทั้งยิ่งใช้ปฐมเวทย์กลืนกินดูดกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินเพิ่มพลัง รังสีกระบี่สีรุ้งทั้งหลายก็ยิ่งส่องสว่างเจิดจ้าขึ้นกว่าเดิม!
“ค่ายกลกระบี่!”
“13 กระบี่บงกชฟ้า!”
ทันใดนั้นเอง รังสีกระบี่สีรุ้งนับพันของต้วนหลิงเทียนก็ร้อยเรียงก่อเกิดค่ายกลกระบี่ จากนั้นยังปรากฏพลังกระบี่อีก 12 สายอุบัติขึ้น และเริ่มผสานรวมกันเป็นหนึ่งในชั่วพริบตา แสงกระบี่ส่องสว่างจ้าไปทั่วโถงรับแขกสกุลฉี!
เรียกว่าบัดนี้ โถงรับแขกสกุลฉี เสมือนจมอยู่ในทะเลแห่งสีสันก็ไม่ปาน!
‘ทรงพลังอะไรจะขนาดนี้!?’
‘พลังของเจ้าหนุ่มชุดม่วงคนนี้ ที่แท้มิได้อ่อนด้อยไปกว่าต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์เลย!’
ผู้นำตระกูฉีรวมถึงบรรพบุรุษตระกูลฉีอดไม่ได้ที่จะคิดไปใจสะท้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้นำตระกูลฉี เพราะอาศัยแค่กลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามที่ปะทุออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนยามนี้ มันรู้ตัวดีว่าสู้ต้วนหลิงเทียนไมได้เลย!
‘มัน…ที่แท้ยังซุกซ่อนพลังฝีมือเอาไว้จริงๆ!!’
กระทั่งฉีโหยวกับเฒ่าชราผู้ติดตามทั้ง 2 ยังอดไม่ได้ที่จะคิดไปด้วยความตื่นตระหนก
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเร่งเร้าพลังสภาวะถึงขีดสุด หากทว่าผู้นำตระกูลฉีกับบรรพบุรุษตระกูลฉี ก็ไม่ได้คิดระแวงป้องกันอะไร เพราะพวกมันคิดว่าที่ต้วนหลิงเทียนเร่งเร้าสภาวะฆ่าฟันออกมาแบบนี้กอปรกับวาจาที่กล่าวออกเสียงแข็งยามลุกพรวดขึ้นยืน ไม่พ้นอีกฝ่ายต้องคิดเข่นฆ่าคนสกุลลู่ที่บุกมาหาความเป็นแน่!!
แต่แน่นอนว่าอีกเหตุผลหนึ่งทั้งยังเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้พวกมันไม่คิดระวังป้องกัน ล้วนเป็นเพราะสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน…
สตรีนางนี้คือยอดเซียนอมตะ หากคิดจะฆ่าพวกมันก็ลำบากเพียงยกมือเท่านั้น…
ดังนั้นพวกมันจึงไม่คิดแม้แต่น้อยว่าที่ต้วนหลิงเทียนเร่งเร้าพลังสภาวะขึ้นมา จะทำไปเพราะคิดเข่นฆ่าพวกมัน
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
จนเมื่อเสียงกระบี่จากการกรีดอากาศเข้ามาฉับไวหอนดังขึ้น รวมทั้งเบื้องหน้าสายตาอยู่ๆก็กลับกลายเป็นโลกสีรุ้ง เพราะบัดนี้ค่ายกลกระบี่ได้บรรลุถึงตัวพวกมันเสียแล้ว ผู้นำตระกูลฉีกับบรรพบุรุษตระกูลฉีจึงค่อยตระหนักได้ว่า…ที่แท้ต้วนหลิงเทียนคิดลงมือกับพวกมันนี่เอง สีหน้าจึงเปลี่ยนไปใหญ่หลวง!!
พวกมันย่อมคิดเร่งเร้าพลังขึ้นมาต้านทานตามสัญชาตญาณ
อนิจจาพวกมันพึ่งคิดจะต้านทาน พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างไม่ทันได้โคจรใช้ออก รังสีกระบี่รุ้งนับพันๆของต้วนหลิงเทียนที่ร้อยเรียงเป็นค่ายกลกระบี่ก็สะบั้นหั่นร่างพวกมันเป็นละอองธุลี…
บังเกิดเป็นหมอกโลหิต 5 กลุ่มค่อยๆร่วงตกลงมาแต้มพื้นโถงรับแขกสกุลฉีให้กลายเป็นสีแดงฉาน…
การลงมือครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน เข่นฆ่าคนสกุลฉีทั้ง 5 ไปพร้อมๆกัน!
“อ่าว?”
อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็ระเบิดพลังสังหารคนสกุลฉีทั้ง 5 แบบนี้ ฮ่วนเอ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆก็อดเอียงคอถามไถ่ด้วยความงุนงงออกมาไม่ได้ว่า “ต้วนหลิงเทียน…ไฉนเจ้าฆ่าพวกมันเล่า? เจ้าไม่ได้บอกฮ่วนเอ๋อไว้ก่อนหน้านี้หรอกหรือ…ว่าพวกเราต้องมีอารยะ หากพวกมันไม่หาเรื่องพวกเรา พวกเราก็ไม่ควรฆ่าพวกมันทิ้งแค่รีดไถเอาหินอมตะมาก็พอ?”
“แล้วทำไม…”
ฮ่วนเอ๋อไม่ได้สนใจฉากนองเลือดและความตายของคนสกุลฉีแม้แต่น้อย ที่นางสงสัยก็มีแต่…
การลงมือกะทันหันของต้วนหลิงเทียนนั้น มันย้อนแย้งกับคำที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวสอนนางก่อนหน้า
“ฮ่วนเอ๋อพูดถูกแล้ว”
หลังฆ่าคนสกุลฉีจดหมดแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปยิ้มกล่าวกับฮ่วนเอ๋อว่า “ตอนนี้ที่ข้าฆ่าพวกมันทิ้ง ไม่ใช่เพราะพวกมันหาเรื่องเราก่อน…แต่เพราะพวกมันเห็นแล้วว่าเจ้ามี ผลึกเทพ ในครอบครอง…”
“และหากเรื่องที่ฮ่วนเอ๋อมีผลึกเทพเผยแพร่ออกไป…ข้ากับฮ่วนเอ๋อไม่พ้นต้องถูกผู้คนไล่เข่นฆ่า เพื่อแย่งชิงผลึกเทพในมือฮ่วนเอ๋อแน่”
กล่าวถึงประโยคท้าย สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็เผยความขึงขังจริงจังนัก
คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก!
หลังจากผ่านมาสองชีวิต ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้เรื่องพวกนี้ดี
เพราะอย่างนั้นเขาเลยรีบลงมือเข่นฆ่าคนของสกุลฉี ก่อนที่พวกมันจะทันได้พบเจอบุคคลที่ 3 และเปิดโอกาสให้พวกมันแพร่งพรายเรื่องผลึกเทพในมือฮ่วนเอ๋อ เป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เข่นฆ่าตั้งแต่นอนเปล!
เดิมทีเมื่อคนของสกุลฉีมอบหินอมตะระดับสูงล้านก้อนมา เขาก็ไม่คิดจะเอาอะไรจากสกุลฉีอีก…
น่าเสียดายที่เรื่องราวความเป็นไปในหล้า สุดที่เขาจะคาดคิดคำนวณได้…
เมื่อผลึกเทพถูกเปิดเผยออกมา เขาก็มีแต่ต้องทำแบบนี้เท่านั้น
เหตุผลที่เขาไม่บอกให้ฮ่วนเอ๋อลงมือเข่นฆ่าพวกมัน เพราะไม่อยากให้สตรีที่แลดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างนางต้องมือฆ่าคนมากเกินไป ทั้งๆที่พึ่งออกมาโลกภายนอกได้ไม่ทันไร
เช่นนั้นให้เขาฆ่าพวกมันเองจะดีกว่า
“หือ จะมีคนคิดแย่งชิงของฮ่วนเอ๋อเหรอ!?”
ฮ่วนเอ๋อพอได้ฟังคำอธิบาย ก็ยกมือบางกุมจี้ห้อยคอที่มารดามอบให้ไว้แน่น ใบหน้างามยังเริ่มเผยความเย็นชา “นี่เป็นของที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ฮ่วนเอ๋อ…ใครคิดแย่งไปฮ่วนเอ๋อจะฆ่าให้หมด!”
“ฮ่วนเอ๋อ…โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจ “ในโลกใบนี้ยังมียอดฝีมือที่ร้ายกาจทรงพลังอีกมากมาย…หากคนพวกนั้นคิดแย่งของฮ่วนเอ๋อไป ฮ่วนเอ๋อก็ไม่มีทางป้องกันได้ สิ่งที่พวกเราสมควรทำตอนนี้คือไม่ปล่อยให้เรื่องผลึกเทพแพร่งพรายออกไป และจากนี้ต้องเก็บมันไว้เป็นความลับอย่างมิดชิด…”
“ฮืม…ก็ใช่ ท่านแม่เองก็บอกฮ่วนเอ๋อเอาไว้เหมือนกัน…ว่าโลกภายนอกมียอดฝีมือที่ร้ายกาจยิ่ง บางคนยังร้ายกาจกว่าท่านแม่เสียอีก…”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้า
“ดังนั้น…ต่อไปฮ่วนเอ๋ออย่าได้เปิดจี้ห้อยคอต่อหน้าคนอื่นง่ายๆรู้ไหม เพราะถ้าเปิดออกมาความลับเรื่องผลึกเทพของฮ่วนเอ๋อไม่พ้นต้องถูกคนนอกล่วงรู้แน่ และต่อให้คนพวกนั้นจะไม่มีพลังสามารถพอแย่งชิง แต่พวกมันไม่พ้นต้องแพร่งพรายเรื่องที่ฮ่วนเอ๋อมีผลึกเทพออกไปแน่…”
“และทันทีที่ข่าวเรื่องผลึกเทพแพร่ไปถึงหูคนที่มีพลังฝีมือสูงกว่าฮ่วนเอ๋อ และคนพวกนั้นตามมาจนเจอ…ถึงตอนนั้นฮ่วนเอ๋อก็ทำได้แค่ทนมองมันชิงผลึกเทพไปเท่านั้น…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ
“เข้าใจแล้ว”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ นางเองก็ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็หันไปโบกมือเบาๆ เก็บแหวนพื้นที่ของคนสกุลฉีทั้ง 5 มาชมดู ทันใดนั้นสองตาเขาก็ลุกวาวขึ้นมา “สมแล้วที่เป็นบรรพบุรุษของตระกูลฉี มีหินอมตะระดับสูงสุดเก็บไว้เป็นแสนๆก้อน…กลับกันหินอมตะระดับต่ำกว่านั้นแทบไม่มี”
“นอกจากนั้นในแหวนของผู้นำตระกูลฉี ก็มีหินอมตะระดับสูงสุดอยู่อีกหลายหมื่น…”
สำหรับทรัพย์สินที่อยู่ในแหวนพื้นที่ของนายน้อยรองสกุลฉีอย่างฉีโหยว กับแหวนของชายชราผู้ติดตามทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองแวบหนึ่งก็เลิกสนใจ
“ฮ่วนเอ๋อ…ตามข้าไปเจอหน้าคนตระกูลลู่กัน”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองกล่าวกับฮ่วนเอ๋อ
“ก่อนที่พวกเราจะออกจากเมืองฉีลู่แห่งนี้…พวกเรายังสามารถรับทรัพย์จากตระกูลลู่ได้อีก”
ต้วนหลิงเทียนที่เดินนำฮ่วนเอ๋อออกจากโถงรับแขกตระกูลลู่ คลี่ยิ้มออกมาบางๆ
“เจ้าจะเอาหินอมตะขอพวกมันด้วยหรือ?”
สองตาฮ่วนเอ๋อก็ลุกวาวขึ้นมาอย่างซุกซน
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ยิ่งไปกว่านั้น คราวนี้พวกเราจะได้หินอมตะเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของฮ่วนเอ๋อแล้ว…ตราบใดที่ฮ่วนเอ๋อจัดการสะกดพวกมันได้ดีๆ พวกเราก็สามารถเรียกร้องหินอมตะได้มากขึ้น”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนนำฮ่วนเอ๋อไปหาคนสกุลลู่ ด้านคนสกุลลู่ก็เหินมาถึงน่านฟ้าเหนือตระกูลลู่เรียบร้อย
แม้ก่อนหน้านี้เสียงของผู้นำตระกูลลู่จะลั่นดังไปทั่วตระกูลฉี แต่ก็ไม่มีคนตระกูลฉีหาญกล้าเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าเพื่อรับหน้าคนตระกูลลู่เลย
เพราะคนของตระกูลฉีรู้ดี…
ว่าในเวลนี้มีแต่ผู้นำตระกูลฉีกับบรรพบุรุษตระกูลฉีของพวกมันเท่านั้น ที่สามารถขึ้นไปรับหน้าได้…
หากไม่ใช่ 2 คนนี้เกรงว่าในตระกูลฉีของพวกมัน คงไม่มีใครสะกดอาคันตุกะสกุลลู่ได้เลย
“เจ้าเป็นใคร?”
ด้วยเหตุนี้เอง พอคนของสกุลลู่เห็นว่าผู้ที่เหินร่างขึ้นฟ้ามารับหน้าพวกมัน เป็นชายหนุ่มในชุดสีม่วงกับสตรีที่มีผ้าปิดหน้า พวกมันก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ร่างยังหยุดลงมองผู้มาด้วยความสงสัย
เพราะพวกมันเองก็ไม่คิด
ว่าจังหวะนี้คนของสกุฉีที่ปรากฏตัวมารับหน้าพวกมัน จะไม่ใช่ผู้นำตระกูลฉีหรือบรรพบุรุษตระกูลฉี
แต่เป็นเด็กน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกับสตรีปิดหน้าที่ไหนก็ไม่ทราบ…
“ผ้าปิดหน้า?”
ทว่าเสมือนมีประกายไฟแล่นวาบ ผู้นำตระกูลลู่ ลู่เฉียน คล้ายนึกอะไรได้ออก ลูกตามันหดหยีลงในฉับพลัน มองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออีกครั้ง ยังเผยประกายเย็นวาบ “เจ้า…คือคู่หญิงชายที่เข่นฆ่าลูกชายข้างั้นเหรอ?!”
ทันใดนั้นเอง คนในสกุลลู่ข้างๆก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที แต่ละคนมองจ้องต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อด้วยสายตาระแวดระวัง!
ในเวลานี้อีกฝ่ายยังกล้ามาปรากฏตัวต่อหน้าพวกมัน ที่แท้คนเบื่อชีวิตคิดอยากตาย หรือไม่กลัวถูกพวกมันฆ่าตายกันแน่?
และดูจากสีหน้าท่าทางของทั้งคู่แล้ว ไม่คล้ายอย่างแรก
“เจ้า…เป็นคนที่ฆ่า ลู่เหวินปิน หลานชายข้า?”
บิดาของผู้นำตระกูลลู่คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้นำตระกูลลู่รุ่นที่แล้ว ทั้งยังเป็น 1 ใน 2 ต้าหลัวจินเซียนขั้นสวรรค์ของตระกูลลู่ ยามมองสบตาต้วนหลิงเทียน แววตาก็กลายเป็นดุร้ายอาฆาต ทั่วร่างยังปรากฏไอพลังคุกรุ่นฟุ้งตลบไปด้วยจิตสังหาร!
ทำราวกับทนรอพุ่งไปเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อไม่ไหวแล้ว!