WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2897
ตอนที่ 2,897 : ไม่เชื่อ
คนที่มีอายุไม่ถึงร้อยปีนั้น สามารถปกปิดกลิ่นอายเลือดเนื้อตัวเองได้โดยอาศัยวิชาลับหรือของบางอย่าง เพื่อไม่ให้ผู้อื่นสามารถล่วงรู้ได้ว่าที่แท้ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี…
อย่างไรก็ตาม หากเป็นผู้ที่มีอายุเกินร้อยปีไปแล้ว คิดจะเสแสร้งทำตัวว่ายังเป็นผู้ที่ยังอายุไม่ถึงร้อยปีนั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!
หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นไปไม่ได้ในหลิงหลัวเทียนรวมถึงในระนาบเทวโลกอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดไปแม้แต่คนเดียว ว่าต้วนหลิงเทียนจะปลอมตัวมา และที่แท้อายุเกินร้อยปีไปแล้ว
“ข้าเชื่อว่าหากเรื่องราวในวันนี้แพ่รออกไป ไม่เพียงแค่จะทำให้ 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ต้องตกใจ กระทั่งพื้นที่ชายแดนทุกภาคไม่พ้นต้องพากันแตกตื่นครั้งใหญ่!”
“จริง…โดยเฉพาะคนที่เคยพบเจอกับปรมาจารย์โอสถต้วนมาก่อน ข้าเกรงว่าคงไม่มีใครคิดใครฝันแน่ๆว่าที่แท้ปรมาจารย์โอสถต้วนจะซุกซ่อนความแข็งแกร่งอันน่ากลัวขนาดนี้เอาไว้!”
“น่าเสียดายยิ่งที่ปรมาจารย์โอสถต้วนเป็นคนของตระกูลใหญ่ในภาคกลาง จะช้าก็เร็วจึงต้องจากไปในสักวัน…หาไม่แล้วด้วยมีปรมาจารย์โอสถต้วน นิกายอมตะไท่อีของพวกเราคงต้องกลายเป็นนิกายอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดใน 6 พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้แน่ กระทั่งเผลอๆจะมีอำนาจเหนือและปกครองทั้งภาคตะวันออกเฉียงใต้เลยก็เป็นได้!”
“อย่าพึ่งคิดไปไกลขนาดนั้น…อย่าได้ลืมไปเสียเล่า ว่าในพื้นที่ชายแดนได้รับผลกระทบจากค่ายกลจำกัดด่านพลังเอาไว้ ตัวตนขอบเขตราชาอมตะจึงมิอาจรั้งอยู่ได้นาน หากข้าเข้าใจไม่ผิด…ปรมาจารย์โอสถต้วนคงต้องออกจากพื้นที่ชายแดนไปเร็วๆนี้แล้วล่ะ”
…
พอได้เห็นพลังของต้วนหลิงเทียนแล้ว เหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะไท่อีทั้งหลายก็ตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ทันที และรู้ว่าอีกไม่นานต้วนหลิงเทียนก็คงต้องอำลานิกายอมตะไท่อีไปแล้ว
“เหตุผลที่ปรมาจารย์โอสถต้วนยังรั้งอยู่ในนิกายอมตะไท่อีเรา ส่วนใหญ่เป็นเพราะคิดฝึกฝนวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนาง 3 สายที่ได้มาอย่าง ‘ราชันไม่เคลื่อนไหว’ และ ‘ปราณม่วงบูรพา’ ให้แตกฉาน เพื่อที่จะได้บันทึกไว้ในยันต์อมตะเก็บความทรงจำให้นิกายอมตะไท่อีเรา…”
ตอนนี้เองไป๋ผิงประมุขนิกายอมตะไท่อี ที่นิ่งเงียบฟังบทสนทนาอยู่นาน ก็เอ่ยออกมาอย่างทอดถอนใจ “และตัดสินจาก ราชันไม่เคลื่อนไหวกับปราณม่วงบูรพาที่ปรมจารย์โอสถต้วนพึ่งใช้ออกมาให้พวกเราเห็น…ข้าเกรงว่าคงอีกไม่นานก็คงแตกฉานแล้วล่ะ เวลาที่ต้องจากกันคงอีกไม่นานแล้ว”
“และเท่าที่ข้าสังเกตเห็น น่ากลัวว่าปราณม่วงบูรพาของปรมจารย์โอสถต้วน สมควรฝึกสำเร็จไม่ก็เจียนจะสำเร็จเต็มที…ส่วนราชันไม่เคลื่อนไหว จากลักษณะพุทธองค์ร่างทองที่ใกล้ชัดเจน ก็คงใช้เวลาอีกไม่นานที่จะบรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ…”
พอนึกถึงฉากเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ไป๋ผิงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกรอบ เพราะเรื่องนี้หมายความว่านิกายอมตะไท่อีของพวกมัน กำลังจะสูญเสียปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงไป…
ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่ปรมาจารย์โอสถธรรมดาๆ แต่เป็นปรมจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่มีทักษะความสามารถไม่ได้ด้อยไปกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับขุนนางด้วยซ้ำ หากโอสถที่หลอมเป็นโอสถอมตะระดับสูง!
หลังงานสมัชชาเต๋าโอสถจบลง ทุกคนไม่ว่าใครก็ให้การยอมรับว่าปรมาจารย์โอสถต้วนคือปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่มีทักษะความสามารถในเต๋าโอสถสูงที่สุด…
กระทั่งในพื้นที่ชายแดนนั้น เกรงว่าคงไม่อาจหาปรมาจารย์โอสถคนไหน ที่มีทักษะความสามารถเหนือกว่าหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีคนนี้ได้อีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลายต่อหลายคนจึงกล่าวว่า ปรมาจารย์โอสถต้วน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี คือปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่มีทักษะความสามารถสูงสุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่ชายแดน!!
อนิจจาปรมาจารย์หลอมโอสถอมตะระดับสูงที่โดดเด่นจนไม่อาจหาผู้ใดเทียบเทียมได้คนนั้น กำลังจะออกจากนิกายอมตะไท่อีในไม่ช้า…
เพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ไป๋ผิง ก็รู้สึกหดหู่ใจแล้ว
“ปรมาจารย์โอสถต้วน…ไม่คิดเลย…ข้าไม่คิดเลยจริงๆ…”
ซือถูหมิง ปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ที่ลอยร่างกลางหาวนั้น ยังคงเหม่อลอยไม่หาย ในใจยังคงปรากฏฉากการลงมืออันทรงพลังของต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าฉายซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด สุดท้ายมันก็ได้แต่ถอนหายใจออกมารอบแล้วรอบเล่า
ซือถูหมิงถึงขั้นไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าตอนนี้ปรมาจารย์โอสถอีก 2 คนที่สนิทกันอย่าง หยางชง กับอวี๋จ้งจิ่งได้เหินร่างมาหามันแล้ว
“ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าปรมาจารย์โอสถต้วน ที่แท้เป็นตัวตนทรงพลังขอบเขตราชาอมตะ!!”
หยางชงที่พึ่งมาหลังได้ฟังเรื่องราว ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“สัตว์ประหลาด!”
อวี๋จ้งจิ่งกล่าวคำสั้นๆออกมาไม่กี่พยางค์ แต่คำนี้ของมันนับว่าให้นิยามต้วนหลิงเทียน และบ่งบอกถึงความตกใจของมันหลังได้รับทราบเรื่องราวออกมาหมดสิ้น
หลังจากสนทนากันด้วยความตื่นเต้นกันอีกสักพัก เหล่าคนของนิกายอมตะไท่อีก็เริ่มแยกย้ายกันไปทีละคน
ขณะเดียวกัน คนของนิกายอมตะไท่อี ที่มีธุระต้องออกไปกระทำนอกนิกายอมตะไท่อี ก็นำเรื่องราวที่ประสบพบเจอออกไปเล่าให้สหายด้านนอกฟังกันอ่างออกรส
ทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่เพียงแต่จะแพร่ไปทั่วนิกายอมตะไท่อี กระทั่งเมืองไท่อีเองก็เริ่มคุยกันถึงเรื่องนี้ยกใหญ่ สุดท้ายเล่ากันไปปากต่อปาก ก็ไม่วายแพร่ไปถึงเมืองของนิกายอมตะเชียนจี และเมืองของนิกายอมตะหลงหวู่!
เรียกว่าเมืองใหญ่ทั้ง 3 เสมือนเดือดพล่านขึ้นมาทันตาเห็น แต่ละคนที่ได้รับทราบข่าวไม่มีใครไม่ตกตะลึง!
แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดผู้ที่สงสัยคลางแคลง!
เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องราวที่เกิดครั้งนี้ มันฟังดูเหลือเชื่อทั้งเกินจริงมากเกินไป!
ขณะเดียวกัน ทางด้านนิกายอมตะเชียนจี และนิกายอมตะหลงหวู่ก็เริ่มได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วเช่นกัน
“ต้วนหลิงเทียน หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีผู้นั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นปรมจารย์โอสถฝีมือเลิศล้ำ แต่ยังเป็นตัวตนอันทรงพลังขอบเขตราชาอมตะอีกหรือ?”
“เป็นไปได้ยังไง!?”
“หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อีผู้นั้น ข้าเคยพบเจอมากับตัว และยืนยันได้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายอายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ…ผู้ที่ประสบความสำเร็จในเต๋าโอสถสูงเทียมฟ้าเช่นนั้น ไหนเลยจะกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะไปได้?”
“ข่าวปลอม! เรื่องนี้สมควรเป็นข่าวปลอมที่นิกายอมตะไท่อีจงใจแพร่ออกมาสร้างความสับสนให้ผู้คนแน่!!”
….
ไม่ว่าจะเป็นนิกายอมตะเชียนจี หรือนิกายอมตะหลงหวู่ พอได้ยินเรื่องราวที่ร่ำรือกันหนาหูจากภายนอกช่วงนี้ ทั้งหมดล้วนปักใจเชื่อว่าไม่พ้นเป็นข่าวปลอมแน่แท้! เพราะเรื่องแบบนี้มันสุดที่ใครจะเชื่อได้ลงคอจริงๆ!!
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น หยอกล้อกับบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ จากนั้นก็ใช้พลังวิญญาณทำลายอำนาจจิตของหลี่อัน สุดท้ายก็ทำลายดวงจิตเข่นฆ่าหลี่อันได้ในพริบตางั้นหรือ?”
“หึ! หากต้วนหลิงเทียนผู้นั้นแข็งแกร่งถึงขั้นนั้นจริงๆ…ไฉนตอนเกิดเรื่องขึ้นกับบรรพจารย์ไท่อีในจัตุรัสเต๋าโอสถ มันถึงนิ่งดูดายปล่อยให้บรรพจารย์ไท่อีโดนไป๋หวู่จี้เข่นฆ่าไปเช่นนั้นเล่า? ในเมื่อหากมีพลังมากพอจะช่วยเหลือ ไยจึงไม่ช่วยคนแต่แรก?”
“ใช่! ตอนนั้นยามที่ประมุขนิกายอมตะสวรรค์ลี้ลับ ไป๋หวู่จี้ ลงมือกับบรรพจารย์ไท่อี ไฉนมันนิ่งเฉยไม่ลงมืออะไร ทั้งๆที่หากมีพลังระดับนั้นจริง มันอาศัยแค่หนึ่งฝ่ามือก็สมควรยุติเรื่องราวได้แล้ว?”
“มิผิด วันนั้นใครๆก็เห็น ว่าสุดท้ายมันก็นิ่งเฉยไม่ทำอะไร จวบจนเหอซานถูกไป๋หวู่จี้ฆ่าตาย!”
“อีกทั้งในงานสมัชชาเต๋าโอสถ ไม่ใช่ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นก็เปิดเผยระดับพลังฝึกปรือออกมาแล้วหรือไร ว่ายังเป็นเพียงยอดเซียนอมตะขั้นลี้ลับเท่านั้น?”
…
นิกายอมตะเชียนจีกับนิกายอมตะหลงหวู่ ก็ไปเข้าร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถเช่นกัน แถมพวกมันยังได้เห็นเรื่องราวการตายของบรรพจารย์ไท่อีมากับตา เช่นนั้นพวกมันจึงปักใจเชื่อกันว่าข่าวที่แพร่ออกมาจากนิกายอมตะไท่อีนั้น ล้วนแล้วแต่ไร้แก่นสารข้อเท็จจริง เป็นข่าวปลอมเห็นๆ!!
เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็มีจุดที่น่าสงสัยมากเกินไป!
“มัน…เป็นราชาอมตะ?”
ในนิกายอมตะเชียนจี โจวฉู่ชิงที่ได้ยินข่าวจากภายนอกแล้วเช่นกัน ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาทันที เพราะนางเองก็รู้สึกว่าข่าวดังกล่าวช่างไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย
สุดท้ายก็จบลงเช่นนี้
ถึงแม้ว่าข่าวการสังหารบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์ หลี่อัน จะแพร่ออกมาจากนิกายอมตะไท่อี จนแพร่ไปทั่วเมืองใหญ่ในพื้นที่รกร้าง แต่นอกจากคนของนิกายอมตะไท่อีแล้ว ก็ไม่มีคนของนิกายอมตะใหญ่ที่เหลืออีก 2 นิกายเชื่อถือสักคน
และทั้งหมดเป็นเพราะว่า ในบรรดาระดับสูงของนิกายอมตะเชียนจีและนิกายอมตะหลงหวู่ที่ไปร่วมงานสมัชชาเต๋าโอสถและเห็นบรรพจารย์ไท่อีตายตกกับตา ไม่มีใครเชื่อว่าข่าวเรื่องนี้เป็นจริงแม้แต่คนเดียว
เมื่อมีผู้ที่เห็นเรื่องราวมากับตาและเป็นพยานว่าวันนั้นต้วนหลิงเทียนนิ่งดูดายเหอซานตายตกอย่างไรออกมาพูด ก็ทำให้คนของนิกายอมตะเชียนจีและนิกายอมตะหลงหวู่อื่นๆ เชื่อถือคำพูดของคนในมากกว่า ไม่มีใครคิดเชื่อคำคนนอกอย่างนิกายอมตะไท่อีแม้แต่คนเดียว
“พวกมัน…ไม่มีผู้ใดเชื่อกันเลยหรือ?”
“หึ! พลังฝีมือของปรมาจารย์โอสถต้วน เป็นข้าเห็นมากับตา! ท่านเป็นราชาอมตะไม่ผิดแน่นอน! พวกนิกายอมตะเชียนจีกับนิกายอมตะหลงหวู่นั่น คิดว่าข้ากล่าวเหลวไหลเช่นนั้นรึ?”
“พวกมันไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ! หรือข้าไปบังคับให้พวกมันเชื่อ!?”
….
หลังได้รับทราบว่าคนนอกไม่มีใครเชื่อเรื่องราวที่เล่าออกไป คนของนิกายอมตะไท่อีย่อมไม่สบอารมณ์เป็นธรรมดา
“แต่นี่ก็ช่วยไม่ได้ พวกนิกายอมตะเชียนจีกับนิกายอมตะหลงหวู่จะไม่เชื่อก็ไม่แปลกหรอก เพราะสุดท้ายพวกมันก็ไม่ได้มาเห็นเรื่อราวกับตาอย่างที่พวกเราเห็น…ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใดจะไปทราบว่า อยู่ๆปรมาจารย์โอสถต้วนจะเข่นฆ่าสังหารหลี่อันได้ง่ายดายขนาดนั้น ยังจะไปทันคิดเรื่องนำลูกแก้วเงาลอยมาบันทึกเรื่องราวได้ทันอย่างไร?”
“ที่สำคัญ ลูกแก้วเงาลอยธรรมดาก็คงไม่อาจบันทึกภาพเรื่องราวอะไรได้ทัน…เว้นเสียแต่จะเป็นลูกแก้วเงาลอยระดับราชาอมตะ ถึงจะสามารถจับภาพความเคลื่อนไหวของปรมาจารย์โอสถต้วนได้ทัน กล่าวได้ว่าคงยากที่พวกเราจะหาหลักฐานอะไรมายืนยันได้…”
“ใช่…เพราะต่อให้เป็นลูกแก้วเงาลอยระดับขุนนาง ก็ไม่อาจบันทึกการเคลื่อนไหวของราชาอมตะได้ มีแต่ลูกแก้วเงาลอยระดับราชาอมตะเท่านั้น ถึงจะสามารถบันทึกความเคลื่อนไหวของตัวตนขอบเขตราชาอมตะได้”
…
คนของนิกายอมตะไท่อีหลายคนสนทนาถึงเรื่องนี้กันด้วยความเสียดาย ว่าไฉนพวกมันถึงไม่มีลูกแก้วเงาลอยระดับราชาพกติดตัวกันไว้
ซ้ำร้ายคนที่มีลูกแก้วเงาลอยระดับราชาวันนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะพวกมันหลายคน ถึงแม้จะมีลูกแก้วเงาลอยระดับราชาพกติดตัว แต่เรื่องราวก็เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ใครจะไปทันคิดถึงเรื่องนำออกมาบันทึกได้ทัน…
ทำให้เหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะไท่อีที่มีลูกแก้วเงาลอยระดับราชาไว้ในครอบครอง พากันโอดครวญกันยกใหญ่ แต่ละคนเรียกว่าเสียใจกันสุดซึ้ง…
ว่าไฉนตอนนั้นพวกมันถึงไม่มือไวนำลูกแก้วเงาลอยระดับราชาออกมาบันทึกฉากเรื่องราวเอาไว้กันหนอ?!
แน่นอนว่ายังมีหลายคนที่ถึงไม่มีลูกแก้วเงาลอยระดับราชา ก็พากันโอดครวญด้วยความเสียดายเช่นกัน เพราะต่อให้จะเป็นลูกแก้วเงาลอยระดับขุนนาง แม้จะไม่อาจบันทึกฉากการลงมือของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ได้ แต่หากบันทึกฉากตอนหลี่อันตกตายก็ไม่นับว่ามีปัญหาอะไร
เพราะหลังจากที่หลี่อันถูกจับ จวบจนใช้อำนาจจิตกระทั่งถูกพลังวิญญาณของต้วนหลิงเทียนสวนมาฆ่าตาย คนก็อยู่นิ่งๆกลางฟ้า อย่างน้อยๆ ก็สามารถบันทึกฉากสุดท้ายก่อนมันตกตาย ไม่เว้นฉากที่มันร่วงตกฟ้าไปจนร่างแหลกเหลว นอนตายเยี่ยงสุนัขตัวหนึ่งได้ไม่ยาก…
แน่นอนว่าหลังหลี่อันร่างแหลกเหลวไปแล้ว คราวนี้ต่อให้พวกมันจะบันทึกแล้วเอามาให้ผู้คนดู ผู้คนก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่านั่นคือหลี่อันบรรพบุรุษของนิกายอมตะสราญรมย์…ไม่พ้นต้องคิดว่านิกายอมตะไท่อีจัดฉากอะไรกันแน่! เพราะนิกายอมตะไท่อีไหนเลยจะมีปัญญาฆ่าหลี่อันได้!!
“พวกเจ้าได้ยินเรื่องที่พึ่งร่ำลือกันช่วงนี้หรือไม่…ตอนนี้คนของนิกายอมตะเชียนจีและนิกายอมตะหลงหวู่ได้ออกมายืนยันว่าเป็นข่าวปลอมพร้อมให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือแล้วด้วย…กระทั่งหลังข้าได้ฟังยังรู้สึกว่าสมเหตุสมผลยิ่ง”
“เหตุผลอะไรหรือ?”
“พวกมันกล่าวว่า หากปรมาจารย์โอสถต้วนเป็นราชาอมตะจริง…ในงานสมัชชาเต๋าโอสถ ไฉนถึงนิ่งดูดายปล่อยให้ไป๋หวู่จี้ฆ่าผู้อาวุโสเหอซาน? มิใช่หากฆ่าได้กระทั่งหลี่อัน เช่นนั้นคิดจะหยุดไป๋หวู่จี้เอาไว้ ก็นับเป็นเรื่องราวอันง่ายดายหรือไร?”
“เอ่อ…เรื่องนี้มันก็จริง ไฉนข้าไม่ทันนึกถึงมาก่อนนะ…”
“หรือว่า…บางทีในงานสมัชชาเต๋าโอสถตอนนั้น เป็นปรมาจารย์โอสถต้วนคิดว่าท่านบรรพจารย์ได้เข่นฆ่าไป๋อวี่ซวนไปจริงๆ? ในเมื่อบิดาอย่างไป๋หวู่จี้คิดล้างแค้น ก็เป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผล จึงไม่ได้ลงมือเข้าขัดขวางเรื่องราวความแค้นของผู้อื่น?”
“ที่เจ้าว่ามาก็อาจเป็นได้…เพราะสุดท้ายแล้วปรมาจารย์โอสถต้วนก็ต้องจากนิกายอมตะไท่อีไปในสักวัน ถึงตอนนั้นจะหยุดไป๋หวู่จี้ไม่ให้ฆ่าท่านบรรพจารย์ได้ แล้วหลังจากปรมาจารย์โอสถต้วนจากไปแล้วเล่า? ถึงตอนนั้นไป๋หวู่จี้ที่โดนขัดขวางไว้ ไม่ใช่ว่าจะมีโทสะและบุกมาเข่นฆ่าคนถึงนิกากยอมตะไท่อีหรือไร เผลอๆอาจไม่ได้มีแค่ท่านบรรพจารย์คนเดียวที่ตาย แต่อาจมีคนอื่นตายเพราะถูกมันระบายอารมณ์คับแค้น! กล่าวได้ว่าถึงปรมาจารย์โอสถต้วนจะสอดมือยับยั้งเรื่องราวได้ ก็รังแต่จะทำให้ไป๋หวู่จี้เพาะสร้างความแค้นที่มีต่อนิกายอมตะไท่อีเรามากขึ้นเท่านั้น”
“เช่นนั้นพวกเราอาจกล่าวได้ว่า…ไม่ใช่ปรมาจารย์โอสถต้วนไม่เคลื่อนไหว แต่ไม่อาจเคลื่อนไหว!”
….
เมื่อวาจาทำนองดังกล่าวดังขึ้นไปทั่วทุกแห่งหน ภายในเขตที่พักของประมุขนิกายอมตะไท่อี ไป๋ผิงประมุขนิกายอมตะไท่อีก็ได้แต่ขมวดคิ้วย่นเป็นปม สีหน้าของมันฉายชัดถึงความสับสนไม่เข้าใจออกมา
“จากที่ปรมาจารย์โอสถต้วนกล่าวไว้ก่อนหน้านี้…ตอนที่ท่านบรรพจารย์เผชิญหน้ากับการเข่นฆ่าของไป๋หวู่จี้ เป็นปรมาจารย์โอสถต้วนไม่อาจช่วยได้ทัน…กล่าวได้ว่าวันนั้นปรมาจารย์โอสถต้วนไม่อาจยับยั้งไป๋หวู่จี้ไม่ให้สังหารท่านบรรพจารย์ได้จริงๆ…”
“แต่หากเป็นเช่นนั้น…ไฉนวันนี้ปรมาจารย์โอสถต้วนถึงสำแดงพลังกล้าแข็งถึงขั้นบดขยี้หลี่อันออกมาได้ง่ายดายเล่า? แถมพลังที่เผยออก ยังนับว่าเหนือกว่าราชาอมตะทั่วไปด้วยซ้ำ?”
ในหัวไป๋ผิงตอนนี้ เรื่องราวที่ดูย้อนแย้งได้ตีกันในหัวอย่างมะรุมมะตุ้ม จนมันสับสนไปหมด
“ช่างมันเถอะ ข้าจะคิดมากไปทำอะไร…เพียงรอปรมาจารย์โอสถต้วนกลับมา ค่อยถามตรงๆเสียก็จบ”
พอคิดหาเหตุผลอยู่นานแต่ไม่อาจหาเหตุผลมารองรับได้ สุดท้ายไป๋ผิงก็เลิกคิดอะไรให้มาก เพียงตัดสินใจว่ารอให้ต้วนหลิงเทียนกลับมาก่อน ค่อยถามเจ้าตัวเอาก็รู้เอง…