WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2901
ตอนที่ 2,901 : มันคือต้วนหลิงเทียน!?
“ข้าจี้ฟ่านขอประกาศไว้ ณ ที่นี้…นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจี้ฟ่าน จักถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์ และไม่เป็นตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์อีกต่อไป รวมทั้งไม่ได้เป็นศิษย์หรือเกี่ยวข้องอันใดกับนิกายอมตะสราญรมย์อีก!!”
ทันทีที่เสียงของจี้ฟ่านดังก้องลงมาจากฟ้า ก็ทำให้ทุกคนในนิกายอมตะสราญรมย์อดไม่ได้ที่จะตกใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าศิษย์ลาดตระเวนที่เห็นฉากการลงมือสังหารอำมหิตของจี้ฟ่านเมื่อครู่ ก่อนที่จะพุ่งไปกลางฟ้าแล้วประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์กับตา พวกมันก็ได้แต่หันหน้ามามองสบตาสหายข้างๆกันด้วยสายตาสับสนงงงวย
พวกมันไม่เข้าใจจริงๆ ว่านี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่เห็นความเคลื่อนไหวอำมหิต เข่นฆ่าศิษย์สาวกร่วมนิกายดังกล่าวของจี้ฟ่าน พวกมันก็ตระหนักได้ทันทีว่าสมควรมีเรื่องราวอะไรผิดท่าเป็นแน่!
และมาตอนนี้พอได้ยินเสียงประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมะตสราญรมย์ของจี้ฟ่าน พวกมันก็ตกตะลึงอึ้งไปโดยสมบูรณ์
ผู้ใดสามารถบอกพวกมันได้บ้าง…
ว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?
พวกมันไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนอยู่ดีๆ ตถาคตถึงได้ทำอะไรแบบนั้น อีกทั้งไม่ใช่ว่านิกายอมตะสราญรมย์ชุบเลี้ยงตถาคตมาอย่างดีหรือไร ใยคนมาตีจากเสียได้?
“แล้วคนผู้นั้น…เป็นใครกัน?”
“หากข้ามองไม่ผิดเหมือนมันจะผ่านค่ายกลมาพร้อมกับตถาคต…แต่ข้ามั่นใจว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน เช่นนั้นมันไม่ใช่คนของนิกายอมตะสราญรมย์พวกเราแน่”
“เป็นไปได้หรือไม่ ที่อยู่ดีๆตถาคตเข่นฆ่าสหายร่วมนิกายทั้งประกาศถอนตัวออกมา…จะเป็นเพราะมัน?”
…
ไม่นานเหล่าศิษย์ลาดตระเวนที่กำลังตกใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ค้นพบการดำรงอยู่ของต้วนหลิงเทียนไกลตา
ต้วนหลิงเทียนลอยร่างอยู่ตรงนั้น ด้วยสีหน้าท่าทีสงบปราศจากความยินดียินร้ายใดๆ
ท่าทีดังกล่าว ในสายตาของเหล่าศิษย์ลาดตระเวนนิกายอมตะสราญรมย์แล้ว ทำให้พวกมันรู้สึกว่าอีกฝ่ายยากหยั่งถึงอยู่บ้าง
“จี้ฟ่านกลับมาแล้วหรือ?”
“แล้วนี่มันเสียสติไปแล้วหรือไร…ไฉนถึงได้พูดเหลวไหลอะไรเช่นนั้น? ถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์งั้นหรือ?”
“มันพล่ามเหลวไหลอะไรของมันกัน?”
“หากท่านบรรพบุรุษหลี่อันมาได้ยินวาจาดังกล่าวของมัน คงไม่ถึงกับโมโหจนกระอักเลือดหรอกนะ?”
“ข้ากลับรู้สึกว่าจี้ฟ่านมันมีอันใดผิดปกติ…หากไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น มันไม่มีทางประกาศตัดสัมพันธ์อะไรแบบนี้ออกมาแน่ ใช่มันถูกผู้อื่นคุกคามข่มขู่อยู่หรือไม่?”
…
เหล่าคนของนิกายอมตะสราญรมย์พากันกล่าวถึงเรื่องนี้กันด้วยความไม่เข้าใจ และยังพากันเหินร่างออกจากเคหะสถานขึ้นมาเหนือฟ้าเพื่อออกมาดูให้รู้ว่าที่แท้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
หลังลอยร่างขึ้นมาแล้ว ทั้งหลายก็หันมามองสบตาถามไถ่ออกความเห็นกันใหญ่ แต่สุดท้ายทุกคนก็ชักสีหน้าว่างเปล่า ด้วยไม่มีใครทราบว่านี่มันเรื่องอะไร
“เมื่อครู่เป็นเสียงของตถาคตจริงๆหรือ?”
“ดูเหมือน…ตถาคตจะกลับมาแล้ว!”
“ข้าได้ยินว่าท่านบรรพบุรุษหลี่ผิงกับท่านประมุขรวมถึงเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงกำลังเฝ้ารอการกลับมาของมัน…อย่างไรก็ตามทุกท่านคงไม่คิดไม่ฝันกระมัง ว่าพอกลับมาถึงสิ่งแรกที่ตถาคตกระทำกลับเป็นการประกาศถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์?”
“ข้าได้ยินมาว่าตถาคตได้ออกเดินทางไปพร้อมกับบรรพบุรุษหลี่อัน…หากทว่าบรรพบุรุษหลี่อันกลับทิ้งชีวิตไว้ด้านนอก แต่ตถาคตกลับรอดมาได้ ข้าว่าสมควรต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นแน่?”
“ไม่ผิด ข้าเองก็สัมผัสได้ว่าท่าทีของตถาคตแปลกไปจากเดิมอย่างมาก…หรือท่าทีที่เปลี่ยนไปครั้งนี้ของมัน จะเกี่ยวพันกับการตายของบรรพบุรุษหลี่อัน?”
…
เหล่าคนของนิกายอมตะสราญรมย์ที่ทราบแล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกันระงม ด้วยตระหนักได้ว่าท่าทีของจี้ฟ่านที่นิกายอมตะสราญรมย์ชุบเลี้ยงมาแต่เล็ก วันนี้แลดูผิดแปลกไปไม่น้อย
และในขณะที่คนของนิกายอมตะสราญรมย์กำลังตกตะลึงและติดใจเรื่องที่จี้ฟ่านประกาศถอนตัวอยู่นั้นเอง…
“จี้ฟ่าน!!”
สุรเสียงหนึ่งอันกึกก้องปานพายุฟ้าคะนอง พลันดังขึ้นไปทั่วถิ่นที่อยู่นิกายอมตะสราญรมย์อย่างกะทันหัน ทำให้แก้วหูของผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยสะท้านสะเทือนไปเป็นแถบ!
เสียงนี้ไม่เพียงแต่จะดันสนั่นกึกก้องปานฟ้าคำรน แต่ตราบใดที่ยังไม่สติเลอะเลือน ย่อมบอกได้ทันทีว่าในน้ำเสียงมันเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะอันเกรี้ยวกราด!
และเสียงนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ของนิกายอมตะสราญรมย์พอได้ฟังก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของใคร…มันคือเสียงของหลิวเสวียนคง ประมุขนิกายอมตะไท่อี!!
“ฟังจากน้ำเสียงแล้ว…ท่านประมุขดูเหมือนจะโกรธมาก!”
“จะไม่ให้โกรธได้อย่างไร ตถาคตเป็นศิษน้องคนเล็กของท่านประมุข ทั้งยังได้รับการดูแลจากบรรพบุรุษหลี่อันอย่างดี ทุกคนช่วยเหลือส่งเสริมมาโดยตลอด แต่อยู่ๆกลับมาประกาศถอนตัวอกจากนิกายอมตะสราญรมย์หน้าตาเฉย…หากข้าเป็นท่านประมุข ไม่ว่าจี้ฟ่านจะมีเหตุผลอะไรก็ตาม น่ากลัวข้าจะมีโมโหจนคลั่ง!”
“จริง ประมุขจะพิโรธหนักมากก็ช่วยไม่ได้”
…
สำหรับโทสะอันเกรี้ยวกราดของหลิวเสวียนคงนั้น เห็นได้ชัดว่าผู้คนส่วนใหญ่ในนิกายอมตะสราญรมย์ เข้าใจได้ว่าไฉนมันถึงโกรธ…
ปงงงง!!
ซู่มมม!!
…
และพอสุรเสียงดังสนั่นของหลิวเสวียนคงดังให้ทุกคนในนิกายอมะตสราญรมย์ได้ยินกันทั่วๆ ก็ปรากฏร่างหนึ่งพุ่งทะยานแหวกฟ้าขึ้นไปด้วยความเร็วสูง!
ด้วยความเร็วที่สูงล้ำดังกล่าว กระทั่งความว่างเปล่ายังคล้ายสะเทือนสะท้านไป บังเกิดเสียงระเบิดดังประหนึ่งขุนเขาถลมฟ้าทะลาย!
‘เจ้านั่นน่ะเหรอ ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ หลิวเสวียนคง?’
หากเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะเพ่งสมาธิตั้งหน้าตั้งตาดูแค่ไหน ก็คงไม่อาจแลเห็นความเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงระดับนี้ของหลิวเสวียนคงได้เลย…
เพราะสุดท้ายแล้วหลิวเสวียนคง ก็บรรลุด่านพลังฝึกปรือขอบเขตเดียวกับหลี่อัน ขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก!
ถึงแม้พลังฝีมือของประมุขนิกายอมตะสราญรมย์อย่างหลิวเสวียนคง จะอ่อนด้อยกว่าหลี่อันมาก แต่อย่างไรเสียมันก็ยังเป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก ไม่ใช่อะไรที่ขุนนางอมตะธรรมดาๆจะเทียบเทียมได้
แต่คราวนี้ทันทีที่หลิวเสวียนคงเหินร่างออกมา ต้วนหลิงเทียนสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของมันได้ชัดเจน กระทั่งในมโนสำนึกยังรู้สึกว่าความเคลื่อนไหวของหลิวเสวียนคงช่างเชื่องช้าเหลือเกิน เชื่องช้าประหนึ่งหอยทากป่วยไร้แรงคลานก็ไม่ปาน
แน่นอนว่าไม่ใช่ความเร็วของหลิวเสวียนคงมันเชื่องช้าอะไรขนาดนั้น แต่เป็นประสาทสัมผัสและการรับรู้ของต้วนหลิงเทียนมันรวดเร็วเกินไป!
เพราะตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ครอบครองพลังอำนาจ มากพอจะทัดเทียมได้กับขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศอยู่!
อาศัยแค่ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักทั่วไปคนหนึ่ง แม้จะใช้ความเร็วสุดตัว แต่ในสายตาเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรจากหอยทากคืบคลาน…
“แห่กันมาแล้ว…”
และพอหลิวเสวียนคงประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ปรากฏตัว ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นว่า
จากเคหะสถานในถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสราญรมย์ ปรากฏร่างมากมายพากันเหินบินขึ้นมาบนฟ้า และยังมุ่งหน้ามาทางเขาอีกด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน หลิวเสวียนคง ประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ ก็เป็นคนแรกที่เหาะมาถึงเหนือฟ้ากลางหาว ไม่ไกลจากต้วนหลิงเทียนมากนัก
“จี้ฟ่าน…เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่?!”
หลิวเสียนคงที่พึ่งมาถึง ก็มองไปยังจี้ฟ่านที่เหินลอยไกลๆ กล่าวถามออกมาเสียงหนักด้วยสีหน้าดุร้าย
“ศิษย์…”
พอเห็นหลิวเสวียนคง จี้ฟ่านก็เผลอเรียกหาอีกฝ่ายออกไปตามจิตใต้สำนึก
อย่างไรก็ตามพอมันพึ่งปริปากกล่าวคำ มันก็ฉุกคิดได้ว่ามันพึ่งจะประกาศถอนตัวออกจากนิกายนอมตะสราญรมย์มาหยกๆ
และพอตระหนักได้ถึงชะตาที่นิกายอมตะสราญรมย์ไม่อาจหลีกเลี่ยง มันก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความขื่นขมในใจ ขณะเดียวกันก็เลือกจะปิดปากแน่นสนิท
ทำให้การไถ่ถามของหลิวเสวียนคงเป็นดั่งสายลมพัดผ่าน เพราะจี้ฟ่านแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
จากนั้นดั่งสายลมกรรโชกมาห่าใหญ่ เบื้องหลังหลิวเสวียนคงประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ ก็ปรากฏร่างที่พึ่งเหินลอยมาถึงมากมาย
และคนเหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ทั้งสิ้น!
“จี้ฟ่าน ท่านประมุขถามเจ้าอยู่ เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”
“จี้ฟ่าน เจ้าออกไปครั้งนี้ ก็ปีกกล้าขาแข็งแล้วรึ? พบหน่าท่านประมุขไม่เพียงแต่จะไม่เคารพ แต่เจ้ายังกล้าเพิกเฉย!”
“จี้ฟ่าน เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไร ถึงได้ประกาศคำเหลวไหลเรื่องถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์?”
“ไม่ว่าเจ้าจะพูดไปด้ววยเหตุผลกลใด…ให้หลังจากนี้เจ้าสำนึกผิดแค่ไหน…ข้าคนหนึ่งที่จักไม่ยอมให้เจ้าดำรงตำแหน่งตถาคตของนิกายอมตะสราญรมย์เราอีกต่อไป!!”
“นิกายอมตะสราญรมย์เราชุบเลี้ยงเจ้าดีเพียงใด แต่เจ้ากลับมีใจออกห่าง! ตถาคตของพวกเรา เจ้าไร้คุณสมบัติเป็นอีกต่อไป!!”
…
หลังจากที่เหล่าอาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์มาถึง แต่ละคนก็กล่าววาจาออกมาด้วยโทสะ ทั้งหมดเพ่งเล็งตำหนิจี้ฟ่านกันยกใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้นสายตาทีแต่ละคนใช้มองจี้ฟ่านยามนี้ ทำราวกับพวกมันอดรนทนไม่ไหว อยากพุ่งเข้าไปฉีกร่างทั้งกลืนกินเลือดเนื้อจี้ฟ่านเต็มแก่!
ต้องกล่าวเลยว่าด้วยตกเป็นเป้าตำหนิของอาวุโสระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์มากมายขนาดนี้ในคราวเดียว จี้ฟ่านก็รู้สึกกดดันจนแทบทนไม่ไหว
อย่างไรก็ตามพอนึกถึงพลังฝีมืออันน่าสะพรึงกลัวของชายหนุ่มชุดม่วงด้านหลัง ร่างที่หนักอึ้งทั้งใจที่หวั่นหวาดของจี้ฟ่านก็เริ่มสงบลง ยังเกิดเป็นความมั่นใจประการหนึ่ง
เพราะให้เทียบกับแรงกดดันที่มันได้รับจากชายหนุ่มชุดม่วงแล้ว อาศัยแรงกดดันจากเหล่าอาวุโสของนิกายอมตะสราญรมย์เหล่านี้ ก็ไม่ได้คู่ควรให้กล่าวถึงเลย…
“ท่านปรมาจารย์โอสถต้วน…คนผู้นั้นคือประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ หลิวเสวียนคงขอรับ”
ท่ามกลางแรงกดดันอันดุร้ายของระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์ จี้ฟ่านไม่เพียงไม่ก้มหัว แต่ยังหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอย่างสุภาพ พลางชี้นิ้วไปทางหลิวเสวียนคงที่อยู่ไม่ไกล
“ส่วนบรรพบุรุษอีกคนของนิกายอมตะสราญรมย์ นามว่าหลี่ผิง ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ ยังไม่ปรากฏตัวออกมา…”
และพอจี้ฟ่านกล่าวจบคำ ไม่ทันให้คนของนิกายอมตะสราญรมย์ตอบสนองอะไร มันก็กล่าวเสริมออกมาอีกประโยค…
“จี้ฟ่าน! เจ้าช่างบังอาจนัก!!”
และแทบจะทันทีท่จี้ฟ่านกล่าวประโยคหลังจบคำ หลิวเสวียนคงก็คำรามออกมาปานฟ้าลั่น สองตายังงมองจ้องจี้ฟ่านด้วยโทสะ!
“จี้ฟ่าน เจ้าไม่เพียงแต่จะเรียกชื่อข้าห้วนๆ แต่ยังกล้าเรียกหาท่านบรรพบุรุษห้วนๆ…เจ้าถึงกับกล้าไม่เคารพท่านบรรพบุรุษงั้นเหรอ!?”
“จี้ฟ่าน นี่เจ้าเบื่อชีวิตนักหรือไร!?”
“ตามกฏนิกาย ไร้สัมมาคารวะ ไม่เคารพผู้อาวุโส เจ้าต้องถูกลงโทษทางวินัยสถานหนัก!”
“ไม่ผิด! จี้ฟ่านเจ้าต้องถูกลงโทษสถานหนัก! และอย่าได้คิดว่าแค่เจ้าพูดเรื่องจะถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์ เจ้าก็จักถอนตัวออกจากนิกายอมตะสราญรมย์ได้ตามใจชอบ! เป็นนิกายชุบเลี้ยงบ่มเพาะเจ้ามา หากเจ้าคิดจะไป ก็ต้องถามความเห็นนิกายก่อน ว่ายอมให้เจ้าไปได้หรือไม่!!”
…
หลังจากประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ หลิวเสวียนคงระเบิดคำออกมาด้วยโทสะ เหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็กลับมามีสติอีกครั้ง แต่ละคนพากันมองจ้องจี้ฟ่านอย่างเอาเรื่อง เผยโทสะปานยักษ์มารปานจะคุ้มคลั่งเสียสติได้ทุกเมื่อ
อย่างไรก็ตามเผชิญกับคำตำหนิของหลิวเสวียนคงรวมถึงระดับสูงนิกายอมตะสราญรมย์อย่างดุร้าย จี้ฟ่าน ประหนึ่งคนหูหนวกไม่ได้ยิน เพียงหันไปมองทางต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีเคารพ ส่งสายตาทำราวกับจะบอกว่า “เชิญท่าน”
และทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆย่ำเท้าเหยียบอากาศก้าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อนผ่านจี้ฟ่านไป สุดท้ายก็ไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าจี้ฟ่าน
และตอนนี้เอง สายตาของหลิวเสวียนคงประมุขนิกายอมตะสราญรมย์ รวมถึงสายตาของเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ ก็ละออกจากร่างจี้ฟ่านมาตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนทันที
จากนั้นสำนึกเทวะของแต่ละคนก็แผ่พุ่งออกมาตรวจสอบต้วนหลิงเทียนกันยกใหญ่ เห็นได้ชัดว่าคิดหยั่งตื้นลึกหนาบางของต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้เลย
ถึงแม้เขาจะสามารถปิดกั้นสำนึกเทวะของทุกคนได้ง่ายดายด้วยสำนึกเทวะอันทรงพลังเหนือกว่าของเขา แต่เขาก็ไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้น
เขาคร้านจะทำอะไรไร้ประโยชน์เช่นนั้น
ดังนั้นแม้คนของนิกายอมตะสราญรมย์จะไม่อาจหยั่งถึงพลังงฝึกปรือเขาได้เพราะทองเทพสุดลี้ลับ แต่พวกมันก็สามารถตรวจพบกลิ่นอายเลือดเนื้อของเขาได้ไม่ยาก
“ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้…อายุไม่ถึงร้อยปี!”
“ชายหนุ่มชุดม่วงอายุไม่ถึงร้อยปีผู้นี้ เมื่อครู่ดูเหมือนว่าจี้ฟ่านจะเรียกหามันว่า ปรมาจารย์โอสถต้วน หรือว่ามันคือ…”
“มันใช่เป็นหัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ปรมาจารย์โอสถต้วน คนนั้นหรือไม่!?”
“มันคือ ต้วนหลิงเทียน คนนั้นงั้นหรือ?!”
…
พอตรวจสอบแล้วพบว่ากลิ่นอายเลือดเนื้อของชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้านั้นยังมีอายุน้อยกว่าร้อยปี เหล่าระดับสูงของนิกายอมตะสราญรมย์ก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนทันที ขณะเดียวกันพวกมันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าบุคคลเบื้องหน้าเป็นใคร…
หัวหน้าปรมาจารย์โอสถของนิกายอมตะไท่อี ต้วนหลิงเทียน!