WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2921
ตอนที่ 2,921 : ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 3 ของนิกายอมตะสือหัง
ในนิกายอมตะสือหังนั้น มีตัวตนขอบเขตพลังขุนนางอมตะ 9 ตำหนักอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน
ประมุขนิกายอมตะสือหัง หนานกงซิ่ว ผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของนิกายอมตะสือหัง หลินหรู และผู้พิทักษ์ลำดับที่ 2 ของนิกายอมตะสือหัง หวางตันเฟิ่ง!
และบัดนี้ ตัวตนขอบเขตพลังขุนนางอมตะ 9 ตำหนักของนิกายอมตะสือหังก็ได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าโดยมิได้นัดหมายเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน และคนที่พุ่งมาหยุดร่างเบื้องหน้าและถามออกมาเมื่อครู่ก็คือ หวางตันเฟิ่ง!
การมาถึงของหวางตันเฟิ่ง ได้ดึงดูดสายตาของคนนิกายอมตะสือหังให้ไปรวมอยู่ที่นางทันที
เหล่าศิษย์ที่พอได้สติกันแล้ว ต่างก็เร่งประสานมือโค้งคารวะกล่าวทักทายทำความเคารพอย่างไม่รอช้า
“ศิษย์ขอคารวะผู้พิทักษ์หวัง!”
“ศิษย์ขอคารวะผู้พิทักษ์หวัง!”
…
ถึงแม้หวางตันเฟิ่งจะเป็นเพียงผู้พิทักษ์ลำดับที่ 2 และพลังฝีมือไม่อาจสู้หลินหรูผู้พิทักษ์ลำดับที่ 1 ได้
อย่างไรก็ตามหากให้เทียบกับหลินหรูแล้ว เหล่าศิษย์นิกายอมตะสือหังทั้งหลายจะกริ่งเกรงหวางตันเฟิ่งมากกว่า…
เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากมาย หนึ่งเลยก็คือนิสัยส่วนตัวของหวางตันเฟิ่งนั้นค่อนข้างเอาแต่ใจทั้งโหดเหี้ยมอำมหิต ผิดกับหลินหรูที่แม้จะพูดน้อยหน้าดุแต่นิสัยใจคอที่แท้จริงกลับอ่อนโยนใจดี ส่วนอีกประการก็คือบิดาของหวางตันเฟิ่งเป็นถึงผู้พิทักษ์สูงสุดนิกายอมตะสือหัง!
และผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายสือหัง ก็คือตัวตนที่บรรลุถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศเพียงหนึ่งเดียวในนิกายอมตะสือหัง เป็นดั่งเสาหลักที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้
แม้แต่ประมุขของนิกายอมตะสือหังเอง ยามพบเจอผู้พิทักษ์สูงสุดก็ต้องทำตัวเคารพแลดูเรียบๆร้อยๆไม่กล้าไม่เกรงใจ
“ผู้พิทักษ์หวางตันเฟิ่ง?”
พอหญิงงามไม่คุ้นหน้าปรากฏกายขึ้นมามองจ้องถามเขาอย่างเอาเรื่อง ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และพอได้ยินคำทักทายนางจากเหล่าศิษย์โดยรอบ เขาก็คาดเดาตัววตนของสตรีที่หน้าตางดงามหมดจดผู้นี้ได้ทันที
ผู้พิทักษ์ลำดับที่ 2 ของนิกายอมตะสือหัง หวางตันเฟิ่ง!
ขณะเดียวกันนางยังเป็นอาจารย์ของมู่หรงปิงอีกด้วย!
และเหตุผลหลักที่ทำให้เขาต้องมานิกายอมตะสือหังครั้งนี้ ก็คือการสะกดนางไว้นั่นเอง! หมายให้นางบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหาย ไม่กล้าไปลงมือลงไม้กับมู่หรงปิงอย่างวู่วาม!
หวางตันเฟิ่งนั้น ไม่เพียงแต่จะมีรูปร่างหน้าตางดงาม การแต่งกายของนางยังเรียกว่าเครื่องประดับจัดเต็ม แลดูหรูหราทั้งมีระดับไม่เบา เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนชมชอบแต่งตัวคนหนึ่ง
นอกจากนี้มองจากรูปลักษณ์ของนางแล้ว นายังดูไม่ต่างอะไรจากสตรีวัยสามสิบต้นๆ แม้จะดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าดรุณีน้อยแรกรุ่นจนขาดความสดใส หากแต่ก็มีเสน่ห์ไม่ใช่น้อย
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงบัดนี้ หวางตันเฟิ่งก็เอาแต่มองจ้องเขาด้วยสายตาเยียบเย็น กระทั่งในแววตายังฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันอย่างไม่คิดระงับ
‘ดูท่านางจะรู้หมดแล้วสินะ ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างข้ากับมู่หรงปิง’
เมื่อเห็นสายตาเย็นชาแฝงจิตฆ่าฟันที่อีกฝ่ายมองมา ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาเรื่องราวได้อย่าง่ายดาย
‘ในเมื่อนางรู้เรื่องระหว่างข้ากับมู่หรงปิงแล้ว คงเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะปราณีมู่หรงปิง…บางทีนางอาจบังเกิดอาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหายอยู่บ้าง เพราะมีเรื่องตระกูลใหญ่ในภาคกลางหนุนหลังข้าอยู่ แต่ในเมื่อนิกายอมตะสราญรมย์มันขุดประวัติความเป็นมาข้าออกมาได้ ทั้งยังป่าวประกาศไปทั่ว แถมนิกายอมตะสือหังก็อยู่ใกล้นิกายอมตะสราญรมย์มากกว่านิกายอมตะไท่อี…’
‘เช่นนั้นสิบในสิบนิกายอมตะสือหัง…สมควรได้รับข่าวเรื่องประวัติความเป็นมาของข้าแล้ว’
‘ในสถานการณ์แบบนี้…มู่หรงปิง…นาง’
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่กล้าคิดอีกต่อไป ขณะเดียวกันสำนึกเทวะอันทรงพลังของเขาก็กำจายออกมาจากร่างเร็วไว
สำนึกเทวะของเขาสัมผัสได้ถึงหวางตันเฟิ่งที่อยู่เบื้องหน้าชัดเจนกว่าใคร เพราะพลังฝึกปรือของหวางตันเฟิ่งนั้นไม่ใช่ชั่วเลย
เรียกว่าในบรรดาฝูงชนของนิกกายอมตะสือหังที่มารวมตัวกัน นางเด่นไม่น้อยอีกทั้งยังเป็นคนที่อยู่ใกล้เขาที่สุด
จากนั้นสำนึกเทวะของเขาที่แผ่ขยายออกไป ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงตัวตนขอบเขตพลังขุนนางอมตะ 9 ตำหนักอีกสองคน
และสองคนนนี้หาใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขาไม่ เพราะพวกนางก็เคยพบเจอกับเขาตอนที่อยู่เมืองเต๋าโอสถพื้นที่แห้งแล้งมาก่อนแล้ว
ประมุขนิกายอมตะสือหัง หนานกงซิ่ว!
ผู้พิทักษ์ลำดับที่ 1 ของนิกายอมตะสือหัง หลินหรู!
อย่างไรก็ตามด้วยความที่สำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนนั้นอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 6 ผสาน เช่นนั้นไม่ว่าจะหวางตันเฟิ่ง หนานกงซิ่ว หรือหลินหรู ก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะของเขาได้เลย เนื่องจากระดับพลังมันแตกต่างกันเกินไป
จากนั้นสำนึกเทวะของต้วนหลิงเทียนก็แผ่ขยายออกไปอีก
ชั่วพริบตาถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะสือหัง ก็ถูกสำนึกเทวะของเขาครอบคลุมจนทั่ว
‘ขุนนางอมตะ 10 ทิศ?’
‘ดูเหมือน…มันจะเป็นผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายอมตะสือหัง บิดาหวางตันเฟิ่ง หวางชิวขวง’
ต้วนหลิงเทียนที่แผ่สำนึกเทวะครอบคลุมไปทั่วทั้งนิกายอมตะสือหัง ไม่ทันไรก็จับสัมผัสถึงหวางชิวขวงได้ และเป็นธรรมดาว่าหวางชิวขวงเองก็ไม่อาจสัมผัสถึงสำนึกเทวะเขาได้เช่นกัน
“ฮู่ว~~”
จากนั้นไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงมู่หรงปิง และยืนยันได้ว่ามู่หรงปิงยังปลอดภัยไร้เรื่องราว ต้วนหลิงเทียนก็ถอนสำนึกเทวะกลับทันที อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่สีหน้ายังเผยให้เห็นถึงความหวาดเสียวไม่หาย
“ตกลงเจ้าคือต้วนหลิงเทียนใช่หรือไม่?”
หวางตันเฟิ่งที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนเขม็ง พอเห็นว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนฉายให้เห็นความหวาดกลัว ก็จี้ถามออกไปเสียงแข็งอีกรอบ
“ข้า ต้วนหลิงเทียน ยินดีที่ได้พบผู้พิทักษ์หวางตันเฟิ่ง”
ถึงแม้จุดประสงค์การมาวันนี้ของเขาคือจะขู่ให้หวางตันเฟิ่งหวาดกลัวจนไม่กล้าแตะต้องมู่หรงปิง แต่อย่างไรเสียหวางตันเฟิ่งก็เป็นอาจารย์ที่ชุบเลี้ยงมู่หรงปิมาแต่เล็กแต่น้อย ไม่ว่านางจะร้ายเพียงใด แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังทักทายนางออกไปด้วยท่าทีสุภาพให้เกียรติ
เผชิญหน้ากับการประสานมือคารวะอย่างแสดงความเคารพของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของหวางตันเฟิ่งยังคงความเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน อย่างไรก็ตามแววตาอำมหิตเยียบเย็นของนางก็ค่อยๆลดท่าทีลง
หากบอกว่าตอนแรกที่รับทราบการมาของต้วนหลิงเทียนนั้น นางมีโมโหนัก
บัดนี้พอได้เห็นต้วนหลิงเทียนทั้งท่าทีอีกฝ่าย นางจึงพอได้สงบอารมณ์ลงบ้าง
ขณะเดียวกัน แววตานางก็อดไม่ได้ที่จะเรืองขึ้นอีกวาบ และกลอกตามองไปยังความว่างเปล่าทั่วๆ หมายสำรวจดูว่าใช่มียอดฝีมือเร้นกายลอบให้ความคุ้มครองต้วนหลิงเทียนอยู่หรือไม่
“เถี่ยไท่เหอ จากนิกายอมตะไท่อี ยินดีที่ได้พบผู้พิทักษ์หวางตันเฟิ่ง”
ตอนนี้เองเถี่ยไท่เหอที่อยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน ก็ป้องมือประสานคารวะทักทายหวางตันเฟิ่งออกไป
“ผู้พิทักษ์หวางไม่จำเป็นต้องตรวจสอบให้เสียเวลา…ครานี้ที่มาเยือนนิกายอมตะสือหัง มีแต่พวกเราสามคน ไม่มีบุคคลที่ 4 แต่อย่างไร”
ต้วนหลิงเทียนมองหวางตันเฟิ่งที่กลอกตาไปมา พลางกล่าวออกเสียงเบา
“นอกจากนั้น…ก็เป็นอย่างที่นิกายอมตะสราญรมย์ป่าวประกาศออกมา ข้าเป็นแค่ผู้ที่พึ่งขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนได้แค่ไม่กี่ปี ไร้ซึ่งภูมิหลังอย่างตระกูลใหญ่อันใดทั้งสิ้น”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวสืบต่อ
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องหวางตันเฟิ่งด้วยสายตาลึกซึ้ง เอ่ยถามออกไปต่อว่า “ท่านไม่พ้นคงได้ยินข่าวจากนิกายอมตะสราญรมย์มาแล้วกระมัง?”
ได้ยินคำสารภาพของต้วนหลิงเทียน สีหน้าแววตาหวางตันเฟิ่งก็เปลี่ยนไปทันใด สายตาที่ใช้มองจ้องต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเผยให้เห็นความประหลาดใจขึ้น
“ต้วนหลิงเทียนเจ้า…กล้าดีอย่างไรถึงมาหลอกข้าได้หา!?”
ทันใดนั้นเองนำเสียขุ่นขึ้งหนึ่งพลันดังขึ้น เสียงนี้ยังคุ้นหูต้วนหลิงเทียนไม่น้อย พอมองไปก็พบบว่าเป็นประมุขนิกายอมตะสือหัง หนานกงซิ่ว ที่กำลังชักสีหน้าถมึงทึงมองจ้องมาที่เขาด้วยสายตาดุร้าย ทีท่าปานพร้อมจะกัดผู้คนได้ทุกเวลา…
ข้างๆหนานกงซิ่วก็ยังมีหลินหรู ผู้พิทักษ์ลำดับที่ 1 ติดตามอยู่ดั่งเงา และนางเองก็มองมาที่เขาด้วยสายตาไม่พอใจเช่นกัน
“ประมุขหนาน ผู้พิทักษ์หลิน…พวกเราพบกันอีกแล้ว”
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่นำพาสายตาดุร้ายของหนานกงซิ่วกับหลินหรู เพียงโค้งคิ้วขึ้นกล่าวทักทายออกไปด้วยรอยยิ้มบางๆ
หลินหรูนั้นเขาไม่ได้สนิทสนมอะไรมากนัก แต่นางก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับเขา และไม่เคยมีเรื่องราวบาดหมางกันมาก่อน กระทั่งวันนี้ในแววตาของนางแม้จะดุร้ายเอาเรื่อง แต่ก็ยังไม่เผยจิตสังหารออกมาเลย ทั้งๆที่รู้แล้วว่าเขาโกหกหลอกลวงก็ตาม…
ส่วนหนานกงซิ่วนั้น แม้จะเคยส่งคนไปฆ่าเขา แต่เขาก็สามารถเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ กล่าวไปเพราะการกระทำนี้ยังทำให้เขารู้สึกชอบพอหนานกงซิ่วผู้นี้ไม่น้อย เพราะนางเป็นห่วงและดีกับมู่หรงปิงอย่างมาก
“ประมุขหนาน ข้าต้องขออภัยต่อท่านด้วย วันนั้นที่ข้าอุปโลกน์เรื่องตระกูลใหญ่ออกมาเพราะข้ามีความจำเป็นจริงๆ…”
เช่นนั้นเขาจึงเลือกมองหนานกงซิ่วด้วยท่าทีรู้ผิด พลางกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจว่า “เช่นนั้นข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจ…”
“เจ้านี่มัน! มาหลอกข้าแล้วแท้ๆ แต่ยังจะมีหน้าขอให้ข้าเข้าใจอีกรึ!?”
โทสะในแววตาหนานกงซิ่วลุกโหมขึ้นมาปานเพลิงไฟได้น้ำมันทันใด เสียงของนางยังเย็นชามากขึ้นทุกขณะ
“เอ่อ ประมุขหนานเรื่องนี้ไว้เดี๋ยวพวกเราค่อยไปสะสางกันภายหลังเถอะ…”
โดนหนานกงซิ่วมองจ้องมาด้วยสายตาดุร้ายเอาเรื่องแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็ตัดสินใจยิ้มกล่าวเปลี่ยนเรื่องออกไปหน้าตาเฉย “จุดประสงค์การมาของข้าวันนี้ ก็คือการท้าทายผู้พิทักษ์สูงุสด หวางชิวขวง ของนิกายอมตะสือหัง…”
“ส่วนเรื่องระหว่างเรา ค่อยว่ากันภายหลังก็ยังไม่สาย…ท่านรอให้ข้าเสร็จเรื่องกับหวางชิวขวงก่อนเถอะ”
พอกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับมามองจ้องหวางตันเฟิ่งโดยไม่รู้ตัว เพราะอย่างไรเสียหวางชิวขวงที่เขาคิดมาทุบตีสั่งสอนให้รู้เรื่องวันนี้ อย่างไรก็เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของนาง
“อาศัยเจ้า คิดท้าทายท่านพ่อข้ารึ!?”
หวางตันเฟิ่งแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียม มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสีหน้าไม่ขาดหยันหยามดูถูก “หากเจ้าไร้ภูมิหลังอย่างตระกูลใหญ่อันใดในภาคกลาง วันนี้เจ้าก็อย่าหวังว่าจะรอดกลับออกไปจากนิกายอมตะสือหังเราทั้งยังมีชีวิต!!”
พอกล่าววาจาอำมหิตจบคำ จิตสังหารพร้อมกลิ่นอายพลังอันน่าพรั่นพรึงก็เริ่มแผ่ซ่านออกมาจากร่างบาง พาลให้เหล่าศิษย์นิกายอมตะสือหังที่อยู่ไม่ไกล อดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี เพราะแรงกดดันพลังระดับนี้ สุดที่พวกนางจะต้านทานรับไหวจริงๆ! เร่งพากันเหินร่างถอยห่างออกจากหวางตันเฟิ่งจ้าละหวั่นดั่งผึ้งแตกรังทันที!!
“ดูเหมือนผู้พิทักษ์หวางจะไม่เชื่อว่าข้ามีพลังสามารถพอจะท้าทาบิดาท่านได้สินะ…”
เผชิญกับการดูถูกดูแคลนของหวางตันเฟิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพียงกล่าวออกไปเบาๆอีกรอบ หากแต่น้ำเสียงที่เคยสุภาพกลับเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“เช่นนั้นข้าจะให้ผู้พิทักษ์หวางรับทราบ…ว่าข้ามีพลังฝีมือมากพอจะท้าทายบิดาท่านหรือไม่!”
และพอกล่าวจบคำ ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงโดยพลัน
พริบตาต่อมา
ซู่มมม!!
ครืนนน!!
…
มวลพลังเกี้ยวกราดสุดไพศาลขุมหนึ่งปะทุระเบิดออกมาในฉับพลัน ความว่างเปล่ารอบกายต้วนหลิงเทียนเริ่มสะท้านสะเทือน จากนั้นแสงพลังสีม่วงพลันสาดส่องออกมาทั่วร่างปานห่าพิรุณกระหน่ำ!
และเสี้ยวพริบตาต่อมา ฉับไวสุดที่ใครจะทันได้ตั้งตัว มวลพลังสีม่วงที่พวยพุ่งออกมาถมความว่างรอบกายปานห่าพิรุณกระหน่ำ ก็เริ่มควบแน่นก่อเกิดเป็นแถบริ้วพลังหลายร้อยสาย!
ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว! ซูว!
…
ไม่ทันที่ขุนนางอมตะ 9 ตำหนักทั้ง 3 ของนิกายอมตะสือหังจะทันได้ตอบสนองสิ่งใด มวลพลังสีม่วงของต้วนหลิงเทียนที่ก่อตัวเป็นแถบริ้วพลังนับร้อย ก็พุ่งทะยานตัดฟ้าไปถักทอร้อยเรียงปานข่ายฟ้าแหสวรรค์ทรงกลม มองไปละม้ายคล้ายลูกบอลถัก ปกคลุมรอบๆร่างหวางตันเฟิ่งเสียแล้ว!
พอหวางตันเฟิ่งรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หน้าของนางก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวงด้วยความหวาดกลัว แต่ครู่ต่อมานางก็ตระหนักได้ว่าแถบริ้วพลังที่อยู่ๆก็มาถักทอรอบกายนางเอาไว้ของต้วนหลิงเทียน ไม่ได้ทำร้ายอะไรนาง
เพียงแค่มันเริ่มถักสานจนคล้ายเป็นตะกร้อลูกเขื่องที่ห่อหุ้มนางเอาไว้อย่างมิดชิด ขังร่างนางเอาไว้ตรงกลาง!
วูบ!
ถึงแม้การลงมือของต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ทำร้ายอะไรนาง หากแต่การที่อีกฝ่ายสามารถลงมือก่อการได้ฉับไวสุดที่นางจะทันได้รู้สึกตัวแบบนี้ สีหน้าของนางก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไปใหญ่หลวง
วูบ! วูบ!
สีหน้าของหนานกงซิ่วกัหลินหรูเองก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวงไม่ต่างอะไรจากหวางตันเฟิ่ง เมื่อพบว่าบัดนี้หวางตันเฟิ่งได้ถูกแถบริ้วพลังของต้วนหลิงเทียนสานถักกักร่างเอาไว้เสียแล้ว
“มันสามารถลงมือต่อหน้าต่อตาพวกเรา โดยที่พวกเราไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้เลยเช่นนี้…ข้าเกรงว่าคงมีแต่ขุนนางอมตะ 10 ทิศขึ้นไปกระมังที่สามารถกระทำได้?”
หนานกงซิ่วกับหลินหรูอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามามองสบตากันด้วยความเคร่งเครียด เสียงผ่านพลังถามไถ่ของหลินหรูยังสั่นเครือไปอย่างเห็นได้ชัด!
เรื่องนี้หนานกงซิ่วเองก็รู้ดีแก่ใจ จึงทำให้ใจนางอดไม่ได้ที่จะเต้นไประรัวด้วยความหวั่นหวาด
ด้านผู้อาวุโสของนิกายอมตะสือหังในที่เกิดเหตุทั้งหมด พอพบว่าอยู่ดีๆ ผู้พิทักษ์ลำดับที่ 2 ของพวกมันอย่างหวางตันเฟิ่งก็ถูกผู้อื่นจับขังอยู่ในกรงสีม่วงประหลาดไปเสียแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงไม่เข้าใจเรื่องราว
“มา!”
และท่ามกลางใบหน้าอื้ออึงสายตาตกตะลึงของคนนิกายอมตะสือหัง ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆยกมือขวาขึ้นอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นฝ่ามือก็เริ่มหุบเป็นกำปั้น!
ครู่ต่อมากรงสีม่วงที่ล้อมกักร่างหวางตันเฟิ่งเอาไว้ ก็เปล่งแสงสว่างเจิดจ้าออกมา!