WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2930
ตอนที่ 2,930 : ประเทศฝูชิว
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งฮ่วนเอ๋อจะไปจากเขาในลักษณะนี้ เขาจึงไม่มีลูกแก้ววิญญาณของฮ่วนเอ๋อเก็บไว้เลย
“เจ้าพาข้าย้อนกลับไป ปูพรมค้นหาพื้นที่ตะเข็บชายแดนรอยต่อภาคกลางให้ทั่วๆเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวกับหลิวก่วงหลินเสียงหนัก สองตาบัดนี้ยังเริ่มแดงก่ำขึ้นมา
“ขอรับนายท่าน!”
หลังสบตากับต้วนหลิงเทียนปราดหนึ่ง หลิวก่วงหลินก็เร่งก้มหน้าหลบตา ขานรับคำอย่างอย่างเชื่อฟังและเริ่มออกเดินทางทันที เพราะมันก็สัมผัสได้ถึงความกังวลของต้วนหลิงเทียนชัดเจน
และตอนนี้มันยังตระหนักถึงน้ำหนักแม่นางฮ่วนเอ๋อในใจนายท่านของมันชัดเจน
“นายท่าน…ข้าต้องขออภัยด้วย”
หลังจากพาต้วนหลิงเทียนออกตระเวนหาฮ่วนเอ๋อไปได้สักพัก หลิวก่วงหลินก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขอขมาออกมาด้วยความรู้สึกผิด
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว เจ้าจะขอโทษไปให้มันได้อะไรขึ้นมา ที่สำคัญเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าแต่แรก เพราะเจ้าเองก็ไม่อาจทำอะไรได้ ฮ่วนเอ๋อก็มีนิสัยแน่วแน่เด็ดเดี่ยวนัก เมื่อนางตัดสินใจแล้วนางย่อมทำได้ทุกอย่าง”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะกังวลเรื่องความปลอดภัยของฮ่วนเอ๋อ แต่เขาก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลที่จะไปลงกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เขาจึงไม่คิดโทษหลิวก่วงหลินแม้แต่น้อย
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หลิวก่วงหลินก็รู้สึกสะท้านในใจ ยิ่งมายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น
จากนั้นมันจึงทุ่มเทเรี่ยวแรงเพื่อพาต้วนหลิงเทียนออกตามหาฮ่วนเอ๋ออย่างหนัก
‘ฮ่วนเอ๋อ ขออย่าให้เจ้าเป็นอะไรไปเลย…หากเจ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ข้าจะมีหน้าไปพบผู้อาวุโสตู้เฟยได้อย่างไร’
ต้วนหลิงเทียนยังจดจำกูป๋อของฮ่วนเอ๋อ หรือตู้เฟยที่ทิ้งโลกใบเล็กไว้ได้ชัดเจน นางยังเป็นคนที่มอบเคล็ดอมตะระดับราชา ไท่อี้สุดลี้ลับให้เขาฝึกปรืออีกด้วย
และตู้เฟยก็ได้กำชับเขาไว้เป็นมั่นเหมาะว่าอย่าให้ฮ่วนเอ๋อพบเจอคนของเผ่าจิ้งจอกมายาที่ไม่ได้แซ่ตู้เด็ดขาด กระทั่งหากพบคนของเผ่าจิ้งจอกมายาที่ล่วงรู้ตัวตนของฮ่วนเอ๋อ เขายังต้องรีบฆ่ามันทันทีที่ทำได้
นอกจากนั้นตู้เฟยยังบอกเขาเอาไว้อีกว่า สาเหตุที่มารดาของฮ่วนเอ๋อทิ้งฮ่วนเอ๋อไป เผ่าจิ้งจอกมายาก็มีส่วนไม่น้อย
และด้วยใจที่เป็นกังวลถึงฮ่วนเอ๋อ ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนคิดจะบ่มเพาะพลังต่อ แต่เขาก็ไม่อาจสงบใจเพื่อบ่มเพาะพลังได้เลย ไม่ทันไรก็คิดฟุ้งซ่านเสียสมาธิ
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาก็ล่วงเลยไปอีก 3 ปี
“นายท่าน ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่าน พวกเราได้ตระเวนหาแม่นางฮ่วนเอ๋อไปเป็นล้านล้านลี้สวรรค์ พื้นที่รอยต่อระหว่างภาคกลางกับพื้นที่ชายแดนถูกพวกเราค้นหาไปมากแล้ว แต่กลับมิพบแม่นางฮ่วนเอ๋อเลย…”
“ตอนนี้เวลาก็ผ่านไป 3 ปีแล้ว ถึงพวกเราคิดตามหาแม่นางฮ่วนเอ๋อ ก็เกรงว่าคงเป็นเรื่องยาก..”
ในระหว่างที่ค้นหาเป็นระยะเวลา 3 ปี หลิวก่วงหลินไม่เคยปริปากบ่นสักคำ แต่เมื่อผ่านไปครบ 3 ปีแล้วแต่ยังไม่เจอฮ่วนเอ๋อ และจากการคำนวณความเร็วในการเคลื่อนไหวของฮ่วนเอ๋อ สุดท้ายหลิวก่วงหลินก็ไม่อาจไม่กล่าวออกมา
เพราะมันรู้ดีว่าตอนนี้ถึงจะตามหาต่อไปก็ไม่มีประโยชน์
มันก็เลยรวบรวมกล้ากล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนออกมาตรงๆ
แน่นอนว่าเป็นเพราะหลังจากที่อยู่กับต้วนหลิงเทียนมา 3 ปี หลิวก่วงหลินจึงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคนมีเหตุผล ไม่งั้นต่อให้มันมีความกล้ามากกว่านี้ร้อยเท่า มันก็ไม่กล้ากล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนแน่นอน
“ข้ารู้”
ได้ยินคำเตือนของหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าขานคำอย่างผิดหวัง แต่เขารู้ดีว่าหลิวก่วงหลินพูดไม่ผิดแม้ครึ่งคำ แต่อย่างไรเสียในใจก็รู้สึกไม่ยอมรับอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าพลังฝีมือของฮ่วนเอ๋อจะไม่ใช่ชั่ว และภายใต้ขอบเขตขุนนางอมตะ คงยากที่จะมีใครเป็นภัยคุกคามนางได้
ทว่าเมื่อฮ่วนเอ๋อไปถึงภาคกลาง ตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ ย่อมมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน
เขาจึงไม่อาจไม่ห่วงฮ่วนเอ๋อได้
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าหลังค้นหามาถึง 3 ปีแบบนี้ หากจะพบฮ่วนเอ๋อจริง คงพบนางไปนานแล้ว
‘ฮ่วนเอ๋อ ขออย่าให้เจ้าเป็นอะไรไปเลย…ไม่งั้นพี่หลิงเทียนคงไม่อาจอภัยให้ตัวเองได้ชั่วชีวิต’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างเงียบงัน
ใน 2 ช่วงชีวิตที่ผ่านมา เขาแทบไม่เคยเสียใจกับเรื่องราวที่เขาได้กระทำลงไปเลย
แต่คราวนี้เขาเสียใจนัก
เขาไม่น่าแนะนำฮ่วนเอ๋อให้หลิวก่วงหลินรู้จักในฐานะน้องสาวออกไปเลย
ใจเขารู้ดีว่าถึงเรื่องนี้จะไม่ใช่ต้นตอการจากไปของฮ่วนเอ๋อทั้งหมด แต่ไม่พ้นต้องเป็นชนวนเหตุให้นางตัดสินใจแน่นอน
“ไปหาที่ตั้งหลักกันเถอะ จากนั้นค่อยสืบหาสถานการณ์โดยรอบคร่าวๆ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินก็มาถึงพื้นที่รอยต่อระหว่างชายแดนกับภาคกลางอีกครั้ง และพอเสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนดังจบคำ หลิวก่วงหลินก็หอบหิ้วต้วนหลิงเทียนเดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ภาคกลางทันที
หลังจากเดินทางไปอีกราวๆครึ่งเดือน ก็ยังไม่พบเจอเมืองอะไร แม้แต่ร่องรอยผู้คนหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆก็ไม่มี อย่างไรก็ตามทิวทัศน์ใต้ฝ่าเท้าที่เดิมเป็นทะเลทรายนั้น เริ่มเผยให้เห็นความเขียวขจีแล้ว…เป็นแหล่งน้ำกลางทะเลทราย!
‘อีกไม่นานก็คงพบเจอร่องรอยผู้คน’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
และความจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนคิดถูก
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินก็เห็นร่างไม่กี่ร่างเหินอยู่ไกลๆ หลิวก่วงหลินจึงหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนพุ่งไปหาทันที และพอกลุ่มคนดังกล่าวเห็นพวกต้วนหลิงเทียนเข้ามาใกล้ ชายชราที่เหินนำก็ให้สัญญาณเตือน จนคนทั้งกลุ่มบังเกิดความตื่นตัวทันที
พวกมันย่อมคิดว่าพวกต้วนหลิงเทียนเป็นโจรขอบเขตขุนนางอมตะที่มาปล้นชิงเป็นธรรมดา! เพราะอยู่ดีๆ จะมีใครเหินโร่เข้าหาผู้อื่นหรือมาขวางทางในพื้นที่แถบนี้?!
“สหายทั้งหลายอย่าพึ่งเข้าใจพวกเราผิด…พวกเราแค่อยากถามพวกท่านว่าที่นี่คือที่ใด”
หลิวก่วงหลินที่เห็นความกังวลของกลุ่มคนขอบเขตยอดเซียนอมตะเบื้องหน้า ก็เร่งกล่าวออกไปตรงๆทันที
พอได้ยินคำพูดของหลิวก่วงหลิน คนกลุ่มดังกล่าวก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจอย่างโล่งอก
เพราะสุดท้ายแล้วพวกมันก็ตระหนักได้จากความเร็วของหลิวก่วงหลินว่าเป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะไม่ผิดแน่ และตัวตนเช่นนี้หากคิดเข่นฆ่าพวกมันเพื่อปล้นชิง ก็คงไม่จำเป็นต้องพูดจาให้เสียเวลา
“ท่าน…พวกท่านมาจากพื้นที่ชายแดนหรือ?”
ชายชราที่เป็นตัวตนขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่แลดูจะเป็นผู้นำคนกลุ่มนี้ ก้าวออกมาประสานมือเป็นการทักทายพลางกล่าวถาม
“มิผิด”
หลิวก่วงหลินพยักหน้ารับ สุดท้ายแล้วมันก็พึ่งมาภาคกลาเป็นครั้งแรก จึงไม่รู้ที่ทางอะไรเลย
“เนื่องจากพวกท่านมาจากพื้นที่ชายแดน พวกท่านสมควรพบแหล่งน้ำกลางทะเลทรายแห่งนี้เป็นที่แรก…ทันทีที่พวกท่านมาถึงที่นี่ก็ถือว่าพวกท่านเข้าเขตประเทศฝูชิวเราแล้ว”
ชายชรากล่าว
“ประเทศฝูชิวรึ?”
ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ด้านหลังเลิกคิ้วขึ้น ด้วยไม่คิดว่าในแถบพื้นที่ทะเลทรายอันแห้งแล้งแบบนี้ ยังจะมีประเทศก่อตั้งอยู่ และจากที่เขาคาด ไม่พ้นต้องมีลักษณะการปกครองคล้ายๆในพื้นที่ชายแดนแน่นอน
ในพื้นที่ชายแดนนั้นตัวตนที่ปกครองประเทศได้ก็ล้วนแล้วแต่ต้องมีพลังฝีมือในระดับหนึ่ง อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นยอดเซียนอมตะ
อย่างไรก็ตามตัวตนยอดเซียนอมตะในตระกูลราชวงศ์ที่ปกครองประเทศนั้น พลังฝีมือยังอ่อนด้อยกว่าพวกนิกายอมตะใหญ่หลายขุม
“ประเทศฝูชิวหรือ?”
หลิวก่วงหลินเองก็แปลกใจไม่ต่างอะไรจากต้วนหลิงเทียน จากนั้นหลังจากสอบถามรายละเอียดไปสักพัก พวกต้วนหลิงเทียนจึงได้รู้ความแตกต่างระหว่างประเทศในพื้นที่ชายแดน กับประเทศในพื้นที่ภาคกลาง
ในพื้นที่ภาคกลางนั้น ต่อให้เป็นประเทศเล็กๆที่อยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน หากแต่ผู้ที่ปกครองประเทศอย่างน้อยๆก็ต้องมีระดับพลังขอบเขตราชาอมตะ!
ผู้ที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตราชาอมตะนั้น ไม่มีสิทธิ์ตั้งตัวเป็นใหญ่เพื่อสร้างประเทศอะไรขึ้นได้
“ราชาอมตะสามารถตั้งตัวเป็นใหญ่ปกครองพื้นที่เพื่อสร้างประเทศของตัวเองได้รึ? เช่นนี้ไม่ใช่ว่าราชาอมตะที่ออกจากพื้นที่ชายแดนมายังภาคกลาง ก็สามารถตั้งตัวเป็นใหญ่สร้างประเทศของตัวเองได้รึไง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำ
“สหายน้อยท่านนี้ เรื่องที่ท่านกล่าว หากเป็นในทฤษฎีแล้วก็ไม่ผิด”
ชายชราหันไปพยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนเบาๆ จากนั้นก็อธิบายออกมาต่อว่า “ทว่าคิดจะก่อตั้งประเทศขึ้นมาประเทศหนึ่ง ย่อมมิใช่เรื่องง่ายๆเลย…ไม่เพียงแต่จะต้องใช้กำลังคนและความพยายามไม่น้อยกว่าจะวางระบบการจัดการและสร้างประเทศขึ้นมาได้ ไหนจักเรื่องผังเมืองอาคารบ้านเรือน ทั้งยังประชากรผู้อยู่อาศัยอีก”
“เช่นนั้นแล้วผู้คนที่คิดเป็นใหญ่ส่วนมากจักเลือกหนทางที่ง่ายดายกว่า…เรียกว่าดั่งนกกางเขนชิงรัง ในเมื่อมีประเทศอยู่แล้ว ไยไม่เข่นฆ่าสังหารตระกูลราชวงศ์ แล้วปกครองประเทศในฐานะนายเหนือคนใหม่แทนเล่า?”
ชายชรากล่าวสืบต่อ
“ภายใต้สถานการณ์ต่อสู้ช่วงชิงดังกล่าว เช่นนั้นต่อให้เป็นฮ่องเต้ของประเทศเล็กๆในแถบชายแดนของภาคกลาง ปกติแล้วก็ยังเป็นราชาอมตะชนชั้นยอดฝีมือที่มีพลังฝีมือพอตัว!”
“และตัวตนเช่นนี้ เป็นธรรมดาว่ามิใช่ตัวตนที่ราชาอมตะหน้าใหม่ที่พึ่งออกมาจากพื้นที่ชายแดนจะต่อกรได้…และในฐานะที่เป็นราชาอมตะเช่นกัน ไหนเลยจะมีราชาอมตะที่ยอมอยู่ใต้อาณัติราชาอมตะเช่นกัน ทำให้ราชาอมตะจากพื้นที่ชายแดนส่วนมาก เลือกจะเข้าร่วมกับตระกูล พรรค สำนัก หรือนิกายในภาคกลางแทน”
“ที่สำคัญมิว่าจะเป็นตระกูล พรรค สำนัก หรือนิกายอันใดในภาคกลาง ก็ล้วนไม่ตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ชายแดน ฐานที่มั่นของพวกมันล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ในจุดที่มีชีพจรผลึกอมตะทั้งสิ้น ทรัพยากรอันใด สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอันใด ล้วนดีกว่าประเทศในแถบชายแดนเช่นนี้มาก”
ชายชรากล่าวถึงจุดนี้ ค่อยหยุดลง
ต้วนหลิงเทียนก็ครุ่นคิดเรื่องราวตามไปในใจ
ประเทศที่มาตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ในแถบพื้นที่ชายแดนนั้น ถือได้ว่าเป็นขุมกำลังที่อ่อนแอที่สุด ไม่อาจช่วงชิงพื้นที่หรือทรัพยากรอะไรในภาคกลางได้
อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นแบบนั้น แต่ผู้นำประเทศทั้งหลายก็ล้วนเป็นชนชั้นราชาอมตะทั้งสิ้น แถมไม่ใช่ราชาอมตะธรรมดาๆ
หลังได้รับทราบเรื่องราวคร่าวๆของประเทศในพื้นที่ชายแดน กับเมืองต่างๆในภาคกลางจากคนกลุ่มนี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ให้หลิวก่วงหลินพาเขาเดินทางอีกครั้ง
“จุดแวะพักแรกของพวกเรา เอาเป็นเมืองหลวงของประเทศฝูชิวแล้วกัน”
หลังจากถามทางชายชรากลุ่มเมื่อครู่แล้ว หลิวก่วงหลินก็ได้รู้เส้นทางไปยังประเทศฝูชิวเรียบร้อย
ในระหว่างเดินทาง ไม่เพียงต้วนหลิงเทียนจะครุ่นคิดถึงข้อมูลที่ได้รับจากชายชราเท่านั้น ในใจยังอดไม่ได้ที่จะนึกเป็นห่วงฮ่วนเอ๋อขึ้นมาอีกรอบ
“ขอนายท่านอย่าได้กังวล…ฟ้าต้องคุ้มครองแม่นางฮ่วนเอ๋อแน่”
หลิวก่วงหลินที่เห็นต้วนหลิงเทียนเป็นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง ก็กล่าวปลอบออกไปทันที
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
3 เดือนหลังจากนั้น
“นายท่านจากข้อมูลของชายชราที่พวกเราสอบถามก่อนหน้า…หากผ่านสันเขาด้านหน้าไป ก็สมควรเป็นเมืองหลวงของประเทศฝูชิวแล้ว”
เสียงหลิวก่วงหลินดังขึ้นเข้าหูต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนที่เติมเดิมนั่งหลับตาอยู่พอได้ยินเสียงรายงานของหลิวก่วงหลิน ก็ลืมตาขึ้นมาทันที
พอมองไปก็เห็นแนวเขาลูกใหญ่กำลังทอดตัวยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา มองไปคล้ายมังกรตัวเขื่องที่หมอบฟุบหลับไหลอยู่
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนที่ถูกหลิวก่วงหลินหอบหิ้วเดินทาง ก็เหินร่างข้ามแนวเขาไปเรื่อยๆ
ทว่าทันใดนั้นเอง
ฟู่มม!
เสียงแหวกสายลมแรงหนึ่งดังออกมาจากแนวเขาด้านล่าง จากนั้นก็ปรากฏร่างชราผู้หนึ่งหอบหิ้วร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งเหินบินขึ้นมาจากเขาด้านล่างเร็วไว!
ไม่ทันไรทั้งคู่ก็พุ่งมาหยุดขวางหลิวก่วงหลินกับต้วนหลิงเทียนเอาไว้
สีหน้าของหลิวก่วงหลินยังเปลี่ยนไปทันที ร่างยังชะงักหยุดลงกลางหาว ท่าทีเปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งขรึม เพราะพินิจจากความเร็วที่อีกฝ่ายพุ่งมาขวาง น่ากลัวพลังฝีมือของอีกฝ่ายจะสูงส่งกว่ามันมาก!
“ขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์”
ต้วนหลิงเทียนเองก็มองออกได้ไม่ยากว่าพลังฝึกปรือของชายชราที่เหินร่างนำมานั้น อยู่ในขอบเขตขุนนางอมตะ 3 ศักดิ์ ซึ่งมีระดับเดียวกับเขาในตอนนี้
“หืม?”
จากนั้นชายหนุ่มที่ถูกชายชราหอบหิ้วมาขวางทาง ก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนตาขวางทันที
ชายหนุ่มดังกล่าวแม้เสื้ออาภรณ์จะแลดูหรูหรา หากแต่ใบหน้ากลับปรากฏปานแดงคล้ำน่ากลัว ซึ่งทำลายรูปโฉมของมันหมดสิ้น แลดูอัปลักษณ์ไม่น่ามองเป็นที่สุด
ที่พิกลก็คือชายหนุ่มในชุดหรูหน้าอัปลักษณ์ดังกล่าว ยามมองหลิวก่วงหลิก็ไม่เป็นอะไร แต่พอมันมองมาที่ต้วนหลิงเทียน สีหน้ากลับฉายชัดถึงความอิจฉารุนแรง ในนแววตายังปรากฏจิตสังหารขึ้นมาด้วยซ้ำ
“เจ้าจักทำลายใบหน้าของเจ้าด้วยตัวเอง หรือตาย!”
ครู่ต่อมา ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพาหลิวก่วงหลินเหินเลี่ยงอีกฝ่าย เพราะคร้านจะสนใจอะไร
ชายหนุ่มชุดหรูอัปลักษณ์นั่น ก็พาชายชราหอบหิ้วมาขวางทางต้วนหลิงเทียนเอาไว้ ยังมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงดุร้าย ทำราวกับต้วนหลิงเทียนเป็นศัตรูฆ่าบิดาแย่งชิงภรรยาของมันมา!