WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2938
WSSTH ตอนที่ 2,938 : เพิ่มกฏ!
การที่มีคนพุ่งไปยืนหยัดบนสังเวียน 7 คนก่อนใครเช่นนี้ ก็เสมือนมีจ้าวสังเวียนให้ผู้อื่นท้าชิง 7 คน แต่ละคนยังยืนรอด้วยท่าทางมั่นใจ ร่างกายพร้อมปะทะ!
‘หากเป็นแบบที่ว่า คนที่ลงมือก่อนก็ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะอาศัยกลยุทธ์ตัดกำลังด้วยจำนวน…’
ได้ยินคำของชายวัยกลางคนด้านหลังหลิวก่วงหลิน ต้วนหลิงเทียนก็ลอบกล่าวในใจอย่างเงียบงัน
ยิ่งไปกว่านั้น หากคนที่ขึ้นไปก่อนคิดขัดเกลาตัวเองดั่งที่ชายวัยกลางคนว่า ก็คงมีไม่น้อยที่สามารถยกระดับพลังฝีมือของตัวเองได้ เพราะการบ่มเพาะพลังในห้องหับอย่างเดียว โดยไม่ได้สูดกลิ่นคาวเลือดและอันตราย ก็คงยากจะก้าวหน้าอันใดได้มาก
เช่นนั้นการประลองสวรรค์ใต้ครานี้ จะขึ้นสังเวียนไปก่อนและระวังตัวมากพอไม่ประเมินตัวเองสูงเกินไป ก็มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษอะไร
แต่ถึงกระนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะขึ้นไปก่อนอยู่ดี ยังตั้งใจแน่วแน่แล้วอีกด้วย…ว่าพี่จะขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย!
…
เพราะมีแต่ทำแบบนี้ถึงจะมีความปลอดภัยที่สุด!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังครุ่นคิดเรื่องราวไปเรื่อย ก็ปรากฏเสียงแหวกฝ่าสายลมดังขึ้นอีก 3 เสียง เป็นร่างคนที่พุ่งขึ้นไปยืนบนสังเวียนทั้ง 3 ที่ยังว่างอยู่นั่นเอง
เรียกว่าบัดนี้ ทั้ง 9 สังเวียน ก็มีเจ้าสังเวียนประจำเรียบร้อยแล้ว
“ตอนนี้ทั้ง 9 สังเวียนล้วนมีเจ้าสังเวียนแล้ว…ตราบใดที่คิดว่าตัวเองพลังฝีมือแน่พอ และคิดประสบความสำเร็จในการประลองสวรรค์ใต้ครั้งนี้ ก็เชิญขึ้นมาท้าทายเจ้าสังเวียนทั้ง 9 ได้เลย!”
“และสำหรับเจ้าสังเวียนแต่ละคนนั้น หากพ่ายแพ้ไปแล้ว นอกจากจะท้าทายผู้ที่เอาชนะตัวเองได้ ก็ยังเหลือสิทธิ์ให้ท้าทายผู้อื่นได้อีก 9 ครั้ง จะกลับมาเป็นเจ้าสังเวียนได้อีกหรือไม่ ก็พึ่งพลังฝีมือตัวเองเถอะ!”
เสียงประกาศของฮ่องเต้ฝูชิวดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ “เช่นนั้นข้าขอประกาศ เริ่มต้นการประลองสวรรค์ใต้ ณ บัดนี้!”
การประลองสวรรค์ใต้ ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
และเมื่อเสียงประกาศของฮ่องเต้ฝูชิวดังจบคำ ร่างทั้ง 9 บนสังเวียนแสง ก็แลดูพร้อมรบเต็มเปี่ยม สภาวะพลังทั่วร่างกลายเป็นองอาจเหี้ยมหาญ!
“นั่นบุตรชายของเจ้าเมืองหนานหมิน หงซี ใช่หรือไม่? เห็นว่าถึงแม้ระดับพลังฝึกปรือของมันจะบรรลุถึงแค่ยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์เท่านั้น แต่ความเชี่ยวชาญในด้านวรยุทธ์กับเวทย์พลังของมันนั้นร้ายกาจไม่ใช่ชั่วจริงๆ”
“พวกเจ้าดูนู่นเร็ว นั่นคือบุตรีของของประมุขตระกูลเหอแห่งเมืองเป่ยหยวน เหอเชี่ยน! แม้นางจะเป็นสตรีนางหนึ่ง แต่ยามอายุได้ 300 ปีเศษ พลังฝึกปรือก็ทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้ว! แถมวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่นางฝึกปรือก็ล้วนแตกฉานหมดสิ้น! นับเป็นสุดยอดอัจฉริยะในรอบพันปีของตระกูลเหอก็ว่าได้!!”
“คนผู้นั้น หรือว่า…!”
…
ต้วนหลิงเทียนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นระงม แต่ละคนพากันชี้มือชี้ไม้ไปยังร่างต่างๆบนสังเวียน กล่าววาจาอย่างออกรสเปิดเผยความเป็นมาของเจ้าสังเวียนทั้ง 9 ชุดแรกหมดสิ้น
และแน่นอนว่าผู้ที่ขึ้นไปก่อน ก็ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงจากตระกูลหรือขุมพลังในประเทศฝูชิวทั้งสิ้น
จากนั้น ก็เริ่มมีคนขึ้นไปท้าทายเจ้าสังเวียนทั้ง 9 การต่อสู้ก็เริ่มอุบัติขึ้นอย่างดุเดือด
ตูม! ตูม! ตูม! ปง! ครืนน!!
…
ตูม! ปง! ครืนน! ตูม! ตูม!!
……
กลางหาวในรัศมีแสงของทั้ง 9 สังเวียนยามนี้ แต่ละคนล้วนหยิบควักอุปกรณ์อมตะคู่กายออกมาสับประยุทธ์โรมรันกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ตัวศาสตราอมตะก็เปล่งแสงพลังเปล่งอานุภาพออกมาประชันกันอย่างไม่ยอมสยบ
ขณะเดียวกันแต่ละคนมีพลังฝีมืออันใด ก็ใช้ออกมาไม่ขาดสาย หมายสยบคู่ต่อสู้ให้ได้เร็วไว!
‘ในบรรดาทั้ง 18 คนที่สู้กันอยู่ ผู้ที่พลังฝีมือร้ายกาจที่สุดดูเหมือนจะเป็น เหอเชี่ยน สตรีจากตระกูลเหอของเมืองเป่ยหยวนคนนั้น!’
หลังผ่านไปราวๆ 10 ลมหายใจ ต้วนหลิงเทียนที่มองประเมินการปะทะกันบนสังเวียนทั้ง 9 คู่ ก็พอจะสรุปพลังฝีมือสูงต่ำได้ไม่ยาก และสายตาเขาก็จับจ้องไปยัง สตรีเพียงคนเดียวในบรรดาผู้ลงประลองทั้ง 18 คน
สตรีที่ว่าก็คือ เหอเชี่ยน ลูกสาวของประมุขตระกูลเหอแห่งเมืองเป่ยหยวนที่มีคนกล่าวถึงก่อนหน้านี้
“บุตรีสกุลเหอผู้นี้ นับเป็นสตรีไม่เขียนคิ้วจริงๆ…”
“มิผิด…อาศัยอิสตรีนางหนึ่ง กลับรรลุถึงจุดนี้ได้ในเวลาแค่ 300 ปีเศษ…นางนับว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง!”
“ทั้ง 18 คนที่ประลองกันอยู่ ข้าดูแล้วผู้ที่ร้ายกาจที่สุดก็เห็นจะเป็นแม่นางเหอผู้นี้ล่ะ!”
……
เหอเชี่ยนนั้น เป็นสตรีที่มีหน้าตาสะสวยพอสมควร นางมาในชุดกระโปรงสีเขียวรูปร่างยังอวบอิ่ม ยามลงมือ หนั่นเนื้อทรวงอกทั้งสะโพกยักย้ายส่ายไปมา ย่อมให้รสชาติน่ามองแก่ผู้คนไม่เบา
เป็นธรรมดาว่านี่คือการประเมินเหอเชี่ยนจากสายตาของต้วนหลิงเทียน
ในสายตาคนอื่นนั้น เหอเชี่ยนนับว่าเป็นสตรีงามอย่างหาตัวจับยากแล้ว!
เพียงแค่ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอหญิงงามมามากเกินไป ยังไม่ต้องกล่าวถึงที่ตัวติดกับฮ่วนเอ๋อมานาน ย่อมมีภูมิต้านทานสาวงามมากกว่าใครเขา เรียกว่าสายตามองชมความงามของเขา มีมาตรฐานสูงลิบ!
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
……
อุปกรณ์อมตะประเภทศาสตราของเหอเชี่ยน ก็เป็นแส้ยาวเส้นหนึ่ง ยามนางถ่ายทอดพลังเซียนอมตะลงไป ตัวแส้ก็กลับกลายคล้ายอสรพิษเปรียว ลงแส้คราใด เสียงอากาศแตกระเบิดดังเสียดหูอย่างหวาดเสียว ทั้งยังพลิกแพลงเลี้ยวลดยากคาดเดา ว่องไวประหนึ่งเงาก็ว่า
ในเวลาไม่ถึง 20 ลมหายใจ คู่ประลองของเหอเชี่ยนที่ด่านพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตยอดเซียนนอมตะขั้นสวรรค์ ก็มือไม้พันกันด้วยไม่อาจรับมือแส้ที่ตวัดฟาดมาประหนึ่งอสรพิษเปรียวได้ไหว ถูกปลายแส้ฟาดเข้าชายโครงอย่างจัง คนปลิวละลิ่วไปดั่งลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร พริบตาก็หลุดออกนอกรัศมีแสงเสียแล้ว…
เหอเชี่ยนชนะ!
“แม่นางเหอเชี่ยนผู้นี้ แต่ต้นจนจบลมหายใจยังคงที่ไม่แปรเปลี่ยน เห็นชัดว่านางมิได้ใช้ฝีมืออันใดมากมาย…หากนางลงมือจริงจัง เกรงว่าเจ้านั่นคงรับมือได้ไม่ถึง 5 ลมหายใจ”
ตอนนี้เองในหูต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงของหลิวก่วงหลินดังขึ้น
และเสียงของหลิวก่วงหลินก็กระตุ้นความสนใจของผู้คนที่นั่งใกล้ๆไม่น้อย “พี่ชายท่านนี้…ท่านว่าเมื่อครู่แม่นางเหอเชี่ยนยังมิได้ลงมือเต็มกำลังอีกหรือ?”
“หากยังไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง…ไฉนการรลงมือยังดุร้ายเกรี้ยวกราดเช่นนั้นได้เล่า แต่จะว่าไปนางก็แลดูสบายๆไม่น้อย ท่าทางที่พี่ชายท่านนี้กล่าวจะไม่แปลกปลอม”
“พวกเจ้าดูสิ นางไม่เห็นนำโอสถฟื้นพลังอันใดมารับประทาน ท่าทางจะใช้พลังไปแค่เล็กน้อยจริงๆ”
…
“นายท่าน…ท่านเป็นอันใดไปหรือขอรับ?”
ทว่าทันใดนั้นเอง หลิวก่วงหลินพลันเห็นว่าสีหน้าแววตาต้วนหลิงเทียนอยู่ๆก็เปลี่ยนไปเป็นสลด บรรยากาศรอบกายยังคล้ายหดหู่ลงไม่น้อย มันจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกล่าวถามออกไป ด้วยรู้สึกว่าอาการนายท่านของมันคล้ายไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่
ต้วนหลิงเทียนที่เหม่อมองการประลองเบื้องหน้าด้วยสายตาหดหู่ ก็มาฟื้นสติเอาตอนได้ยินคำถามของหลิวก่วงหลิน จึงกล่าวตอบออกไปเสียงอ่อน “อาวุธที่ฮ่วนเอ๋อถนัด ก็เป็นแส้เหมือนกัน…”
ถึงงแม้แส้ยาวในมือเหอเชี่ยนจะเป็นแค่อุปกรณ์อมตะระดับขุนนาง และแส้ยาวของฮ่วนเอ๋อจะเป็นถึงอุปกรณ์อมตะระดับราชา
อย่างไรก็ตามล้วนเป็นแส้ยาวเหมือนกัน ทำให้ยามต้วนหลิงเทียนเห็นแส้ตวัดเป็นเงาวูบวาบไปมา ก็อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงฉากเรื่องราวตอนฮ่วนเอ๋อใช้แส้ลงมือ
และพอนึกถึงฉากการลงมือของฮ่วนเอ๋อ ใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของฮ่วนเอ๋อ ด้วยไม่อาจทราบได้เลย ว่าตอนนี้ที่แท้นางเป็นตายร้ายดีอย่างไร ใช่กินอิ่มนอนหลับหรือไม่…
“นายท่าน แม่นางฮ่วนเอ๋อเองก็เป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน นางย่อมไม่เป็นอันใดแน่ขอรับ ป่านนี้ไม่แน่ว่านางอาจพบพานวาสนาอันใดจนพลังฝีมือก้าวหน้าสุดที่ท่านจะจินตนาการไปแล้วก็เป็นได้…”
หลิวก่วงหลินจึงได้รับทราบ ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนเหม่อไปและแลดูสลดหดหู่ขึ้นมา ที่แท้ก็เป็นเพราะเห็นเหอเชี่ยนใช้อุปกรณ์อมตะประเภทแส้เหมือนกันกับฮ่วนเอ๋อนั่นเอง…
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นเขาก็พยายามมองโลกในแง่ดี เพราะอย่างไรพลังฝึกปรือของฮ่วนเอ๋อตอนนี้ก็สูงกว่าเขาด้วยซ้ำ จากนั้นก็พยายามให้ความสนใจกับการประลองเบื้องหน้า จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่านอะไร
หลังจากที่เหอเชี่ยนสามารถเอาชนะได้เป็นคนแรกในบรรดาเจ้าสังเวียนทั้ง 9 อีก 8 สังเวียนที่เหลือก็ทยอยกันปรากฏตัวผู้แพ้ผู้ชนะตามมา และรอบนี้เจ้าสังเวียนทั้ง 9 ก็สามารถได้รับชัยชนะกันถ้วนหน้า
หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาพักฟื้นไปแล้ว ก็มีผู้ขึ้นมาท้าชิงอีกรอบ ทว่ามีเพียงสังเวียนของเหอเชี่ยนสังเวียนเดียว ที่ไม่มีใครขึ้นมา และเรื่องราวก็ดำเนินไปในรูปแบบนี้จนสังเวียนอื่นผ่านการประลองไปแล้วถึง 3 รอบ
สำหรับเรื่องนี้เหอเชี่ยนไม่ได้แลดูแปลกใจอะไร นางจึงเลือกจะนั่งหลับตาลงกลางหาว พักผ่อนมันเสียกลางสังเวียน
“เหอะๆ ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีผู้ใดคิดขึ้นไปท้าทายแม่นางเหอเลย…แต่นี่ก็ช่วยมิได้ จากพลังฝีมือของนาง ไม่พ้นต้องสามารถยึด 1 สิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ได้แน่”
หลายคนคิดไปในแนวทางดังกล่าว
“อั๊ย! ผู้นำเหอบุตรีของท่านคนนี้นับว่าร้ายกาจยิ่งนัก! นางลงมือแค่คราเดียวก็มีอานุภาพขู่ขวัญแกร่งกล้า จนไม่มีผู้ใดหาญกล้าต่อกรแล้ว นับถือ นับถือ”
มุมหนึ่งของอัฒจันทร์ ปรากฏชายชราชุดคลุมสีขาวผู้หนึ่ง หันไปกล่าวคำกับชายวัยกลางคนในชุดนักบู๊เรียบง่ายอย่างทอดถอนใจ
ขณะเดียวกันสายตาที่ใช้มองชายวัยกลางคนในชุดนักบู๊ของมัน ก็ฉายชัดถึงความอิจฉาริษยานัก
เพราะถึงแม้มันจะมีหลานชายประเสริฐคนหนึ่ง แต่อนิจจาพลังฝีมือกับสู้ลูกสาวผู้อื่นไม่ได้
“ผู้นำเฉินท่านก็กล่าวชมข้าเกินไปแล้ว…หลานชายท่านเองก็ธรรมดาที่ไหนเล่า เอาชนะคู่ต่อสู้ได้สองครั้งติดแล้ว วันนี้ท่าทางตำแหน่งเจ้าสังเวียนคงไม่ไปไหนไกล”
ชายวัยกลางคนในชุดนักบู๊กล่าวพลางหัวเราะเบาๆ สายตายังมองไปยังสังเวียนหนึ่งที่มีชายหนุ่มที่พึ่งเอาชนะศัตรูมาได้ กล่าวออกด้วยวาจาถ่อมตัวเล็กน้อย “ยิ่งไปกว่านั้นหลานชายของท่านยังอายุน้อยกว่ายัยหนูบ้านข้าเสียอีก…ความสำเร็จในภายภาคหน้าของมันไหนเลยจะด้อยกว่ายัยหนูบ้านข้าเล่า…”
“ฮาย ประมุขเหอท่านก็ถ่อมตัวเกินไป…อาศัยหลานชายไม่เอาไหนของข้า ไหนเลยจะเทียบแม่นางเหอได้”
…
เมื่อลูกหลาน หรือทายาทของตระกูลและขุมกำลังมีชื่อได้ชัย สหายที่อยู่ข้างๆทั้งผู้ปกครองหรือผู้ติดตามก็กล่าววาจาชมเชยออกมาไม่ขาดปาก เรียกว่าเสียงยกย่องเยินยอบัดนี้ได้ระงมไปทั่วอัฒจันทร์ซ้ายขวา จนน่ารำคาญอยู่บ้าง…
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเงียบงัน
ไม่นานแสงครึ้มยามตะวันรอนก็เริ่มสาดส่องย้อมโลกให้หม่นหมอง ความมืดใกล้มาเยือนเต็มที
การประลองสวรรค์ใต้ดำเนินมาถึงตอนนี้ ก็มียอดเซียนอมตะที่ลงทะเบียนมากมายขึ้นไปต่อสู้แล้วพบพานกับความผิดหวัง กระทั่งบางคนก็ใช้สิทธิ์ท้าทายไปหลายครั้ง แต่ยังไม่ประสบผลเลิศ้ำอันใด
“เฮ่อ…พลังฝีมือของข้าที่แท้ยังอ่อนด้อยถึงเพียงนี้ ข้านึกว่าตัวข้าก็ไม่ใช่เล่นๆแล้วนา แต่ที่ไหนได้ถูกผู้อื่นอัดซะเดี้ยง หลังจากนี้หลายๆวันข้าไม่ไปสู้แล้ว ขอฝึกเพิ่มก่อนสักพักจะดีกว่า”
“ข้าก็ว่างั้นล่ะสหาย ข้าเองตั้งแต่โดนเจ้าหมอนั่นเตะหลุดสังเวียนมาก็รู้สึกอึดอัดใจนัก แต่ยังดีที่ตอนโดนเตะข้ารู้สึกเหมือนมีอะไรแว่บขึ้นในหัว วรยุทธ์อมตะท่าร่างข้าที่ติดขัดไม่อาจก้าวหน้าได้มานาน คล้ายเริ่มเห็นทางขึ้นมาแล้ว รอให้ข้าสำเร็จวรยุทธ์อมตะนั่นก่อนเถอะ! เดี๋ยวรู้เลย!!”
…
หลายคนที่แพ้พ่ายมาก็เริ่มสนทนนากับสหายในกลุ่มที่ประสบชะตาถูกต่อยตีจนแพ้มาอย่างอ่อนใจ หลายคนยังมุ่งมั่นจะฝึกปรือให้พบพานความก้าวหน้าอีกครั้ง เพื่อจะได้หวังผลเลิศล้ำในการท้าชิงเจ้าสังเวียนภายหลัง
และในการประลองสวรรค์ใต้วันแรก ตั้งแต่ที่เหอเชี่ยนได้ชัยเหนือศัตรูในการประลองเปิดสังเวียน ก็ไม่มีใครขึ้นไปท้าทายนางอีกเลย…
สถานการณ์ดังกล่าวยังทำให้หลายๆคนรู้สึกไร้คำจะพูดอยู่บ้าง…
กระทั่งฮ่องเต้ฝูชิวเองก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่มันพบเจอสถานการณ์แบบนี้
“ปกติไม่ว่าเจ้าสังเวียนจะร้ายกาจแค่ไหน แต่ก็ยังมีหลายคนที่คิดขึ้นไปประมือหาประสบการณ์ กว่าจะตัดสินตำแหน่งเจ้าสังเวียนได้ก็ล่วงเลยมาถึงช่วงท้ายทั้งสิ้น…แต่คราวนี้หลังแม่นางเหอเชี่ยนเอาชนะศัตรูได้ในรอบแรก กลับมิมีผู้ใดขึ้นไปท้านางเลย…”
ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินวาจาทำนองเดียวกันดังขึ้นจากรอบๆ
“เหอะๆ หากพรุ่งนี้มียอดฝีมือที่โดดเด่นอย่างแม่นางเหอเชี่ยนปรากฏตัวในสังเวียนอีกสักคน ข้าเกรงว่าเรื่องราวคงดำเนินไปอีหร็อบนี้…แบบนี้มิใช่การประลองสวรรค์ใต้ครานี้จะยิ่งยืดเยื้อออกไปหรือ?”
“จริง ข้าว่าบางทีการประลองสวรรค์ใต้ ก็จำต้องปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มกฏอะไรบางอย่างได้เสียที”
อีกคนกล่าวเสริม
และวาจาของคนผู้นี้ ประหนึ่งคำทำนายของเทพพยากรณ์ก็ไม่ปาน
เพราะเมื่อย่ำค่ำ ฮ่องเต้ฝูชิวก็เหินร่างออกมากลางหาว และประกาศออกมาเสียงดังว่า…
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป การประลองสวรรค์ใต้จักเพิ่มกฏเข้าไปอีกข้อ นั่นก็คือ หากเจ้าสังเวียนคนใดไร้ผู้ท้าทายเป็นเวลาครึ่งชั่วยามหลังพักฟื้น…จักได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณทันที!”
ด้วยคำประกาศนี้ของฮ่องเต้ฝูชิว วันต่อมาก็มีผู้ที่ขึ้นมาท้าประลองเหอเชี่ยนทันที
อย่างไรก็ตามผู้ที่ขึ้นมาท้าทายนาง สุดท้ายก็พบพานแต่ความพ่ายแพ้ และหลังจากนางชนะได้อย่างต่อเนื่องในช่วงเช้า พอเข้าสู่ช่วงบ่าย สถานการณ์ก็ซ้ำรอยเดิม…
กล่าวได้ว่าหลังเข้าสู่ช่วงบ่ายได้เกือบครึ่งชั่วยามแล้ว ก็ไร้เงาผู้ใดก้าวขึ้นสังเวียนเพื่อท้าทายเหอเชี่ยนแม้แต่คนเดียว!
สุดท้ายเวลาครึ่งชั่วยามก็ผ่านไปเจียนครบ
“หลังจากผ่านไปอีก 10 ลมหายใจก็จักครบกำหนดครึ่งชั่วยาม…หากยังไม่มีผู้ใดขึ้นไปท้าทายแม่นางเหอเชี่ยนอีก นางก็จักได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนสรรค์ใต้โบราณระดับต่ำทันที”
“แต่ด้วยพลังฝีมือของแม่นางเหอเชี่ยน ถึงจะไร้กฏดังกล่าว แต่เรื่องที่นางจะได้รับ 1 ใน 9 สิทธิ์ก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว…ดูท่าว่านางจะได้รับสิทธิ์ก่อนใครเพื่อนจริงๆ”
…
ก่อนที่จะครบกำหนดครึ่งชั่วยาม เสียงซุบซิบก็ดังขึ้นระงมอีกครั้ง หากแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครขึ้นไปท้าทายเหอเชี่ยนสักคน
ทันใดนั้นฮ่องเต้ฝูชิวก็เหินร่างออกจากที่นั่งของตัวเองอีกครั้ง และกล่าวประกาศออกมาเสียงดังว่า “การประลองสวรรค์ใต้ครั้งนี้…ในที่สุดแม่นางเหอเชี่ยนก็ไร้ผู้ใดท้าทายครบกำหนดเวลาครึ่งชั่วยาม จึงได้รับ 1 ใน 9 สิทธิ์เข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำไปครอง”
“บัดนี้ แม่นางเหอเชี่ยนสามารถออกจากสังเวียนประลองได้ และสังเวียนดังกล่าวจักไร้เจ้าสังเวียนอันใดสืบต่อ หากผู้ใดคิดเป็นเจ้าสังเวียน จำต้องเลือกท้าประลองสังเวียนอื่นแทน”
“และในเวลานี้ เหลือสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำอีกแค่ 8 สิทธิ์เท่านั้น!”