WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2939
WSSTH ตอนที่ 2,939 : ต้วนหลิงเทียนขึ้นสังเวียน
“ขอแสดงความยินดีด้วย ผู้นำเหอ!”
“ขอแสดงความยินดีด้วยผู้นำเหอ บุตรสาวของท่านนั้นประหนึ่งนกหงส์ในร่างผู้คนโดยแท้ หลังจากนางเข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแล้วกลับออกมา ตัวนางย่อมสามารถเข้าสู่ 3 ขุมกำลัง 2 ตระกูลใหญ่ได้อย่างราบรื่น และมีโอกาสได้เข้าร่วมกับคฤหาสน์เฉวียนโยว ทีนี้อนาคตย่ยอมสดใสไร้จำกัดแล้ว!!”
“มิผิด…ทั้ง 3 ขุมกำลัง 2 ตระกูลใหญ่ ล้วนเป็นขุมกำลังและตระกูลระดับ 7 คฤหาสน์เฉวียนโยวเองก็เป็นถึงขุมกำลังอมตะอันดับ 6 มิกี่แห่งในสวรรค์แดนใต้ของพวกเรา ทรัพยากรนั้นเลิศล้ำสุดที่พวกเราจักจินตนาการได้ออก หากแม่นางเหอเชี่ยนก้าวหน้าจนสามารถเข้าร่วมได้ คนก็เหมือนหนึ่งก้าวทะยานฟ้า กลับกลายเป็นหงส์ไปแล้วจริงๆ!”
…
ผู้นำสกุลเหอในชุดนักบู๊ตัวเดิม เมื่อฮ่องเต้ฝูชิวประกาศว่าบุตรีของตัวได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนลับสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ ก็เริ่มหันมาประสานมือกล่าวคำแสดงความยินดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
และตั้งแต่ที่ลูกสาวตัวเองได้รับสิทธิ์เป็นที่แน่นอนแล้ว ผู้นำสกุลเหอก็ยิ้มจนแก้มแทบปริ เรียกว่ายามนี้เสมือนกรามค้างยากจะหุบลงได้จริงๆ
ถึงแม้ว่าการเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้นจักมีภยันตรายไม่น้อย กระทั่งผู้ที่เข้าไปยังตายมากกว่าที่รอดกลับออกมา…
อย่างไรก็ตามมั่นเชื่อมั่นในตัวบุตรีผู้นี้เป็นที่สุด และรู้สึกเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าลูกสาวตัวเองต้องพบพานโชคชะตาเลิศล้ำ และโอกาสอันยิ่งใหญ่ภายในสถานที่แห่งนั้น ต้องสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย!
ในขณะที่เห็นเหอเชี่ยนได้รับสิทธิ์ไปเป็นคนแรก เหล่ายอดฝีมือที่มั่นใจในตัวเองก็รู้สึกเลือดร้อนขึ้นมา ยากจะนั่งเฉยรอเวลาได้สืบไป
เรียกว่าหลังจากฮ่องเต้ฝูชิวประกาศให้เหอเชี่ยนได้รับสิทธิ์ไปได้ไม่ทันไร การประลองหลังจากนั้นก็ปรากฏยอดฝีมือขึ้นประลองกันยกใหญ่
พริบตาการประลองที่ให้ความรู้สึกเนือยๆเหมือนคนไม่ได้รับประทานข้าว ก็กล้ายเป็นร้อนระอุดุเดือดขึ้นมาทันตาเห็น!
ฟุ่บบบ!!
เสียงแหวกสายลมฉับไวดังขึ้น และคราวนี้ผู้ที่เคลื่อนไหวลงมือ ก็คือคนจากอัฒจันทร์ฝั่งซ้ายอันเป็นอาคันตุกะของตระกูลราชวงศ์!
จังหวะนี้ทุกสายตาก็พากันจับจ้องมองไปยังร่างที่พึ่งเหินทะยานออกมา ด้วยสงสัยว่าเป็นใครกันหนอ
“เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเจียหลง!!”
“หวงเจียหลงผู้นี้เป็น 1 ใน 2 บุตรชายประเสริฐที่พลังฝีมือโดดเด่นที่สุดของเจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเหยี่ยนเฟย…แต่ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่ามันจะลงมือเร็วถึงเพียงนี้!”
“มิพ้นเห็นแม่นางเหอเชี่ยนลอยลำไปแล้ว จึงรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาเป็นแน่…”
“มันพอลงสังเวียนมา เรื่องจะคว้าสิทธิ์ก็คงมิใช่เรื่องยากกระมัง…”
“เหอะๆ นั่นมันแน่อยู่แล้ว…พลังฝีมือของมันให้เทียบกับแม่นางเหอเชี่ยนก็มิใช่ว่าจะด้อยกว่า ที่สำคัญมันยังมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาในมือ!”
“อันใด!? อุปกรณ์อมตะระดับราชาเชียวรึ?”
“เหอะๆ พวกเจ้าจะแปลกใจทำเพื่อ? เจ้าเมืองตู้อวิ๋นไม่ว่าผู้ใดก็รู้ว่าครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับราชาอยู่ 5 หรือ 6 ชิ้น หากเจ้าเมืองตู้อวิ๋นมิให้บุตรชายนำติดไม้ติดมือมาใช้ประลองสักชิ้นพวกเจ้าว่าเป็นไปได้เหรอ? หรือการประลองสวรรค์ใต้ที่ช่วงชิงสิทธิ์เข้าร่วมแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ยังสำคัญไม่พอ?”
“มิผิด สหายท่านนี้กล่าวถูกแล้ว!”
…
ผู้ที่พึ่งโจนทะยานขึ้นไปท้าทายเจ้าสังเวียนคนหนึ่ง ก็คือ หวงเจียหลง บุตรชายคนที่ 4 ของยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตราชาอมตะ เจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเหยี่ยนเฟย!
เนื่องจากอัตลักษณ์อันโดดเด่นและความสามารถที่ทำให้ผู้คนกล่าวขานถึงกันหนาหู ทำให้ยามเมื่อหวงเจียหลงปรากฏกายลงสู่สังเวียน ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมดไปทันที
และเจ้าสังเวียนที่หวงเจียหลงขึ้นไปท้าชิง ก็มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนร่างผอม ด่านพลังบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ความสำเร็จในวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังทั้งหมดก็บรรลุถึงจุดสูงสุดแล้วเช่นกัน
อนิจจาแม้สรรพวิชามันจะแตกฉานถึงขีดสุด ทว่าทั้งหมดมีระดับขุนนางแค่ไม่กี่วิชา ส่วนที่เหลือกว่าครึ่งล้วนแล้วแต่เป็นระดับสวรรค์เท่านั้น!
เช่นนั้นแม้ด่านพลังฝึกปรือจะทัดเทียมกับหวงเจียหลง หากแต่พลังความแข็งแกร่งกลับมิอาจเทียบกับหวงเจียหลงได้เลย ทันทีที่เห็นหวงเจียหลงปราดร่างมาท้าชิงตัวเอง มุมปากจึงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มขื่นขมออกมา
อีกทั้งศาสตราคู่กายของมันก็เป็นแค่อุปกรณ์อมตะระดับขุนนางเท่านั้น ไหนเลยจะเทียบรัศมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่หวงเจียหลงสมควรมีไว้ในครอบครองได้ติด…
“ข้ายอมแพ้!”
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้หวงเจียหลงกล่าววาจาท้าทายอย่างเป็นทางการ ชายวัยกลางคนดังกล่าวก็ชิงประกาศคำยอมแพ้ออกมาก่อน เลือกจะเหินร่างออกจากสังเวียนอย่างไม่รอช้า จากนั้นก็สอดส่องมองไปยัง 7 สังเวียนที่เหลือว่าจะขึ้นไปท้าทายผู้ใดดี…
เนื่องจากมันเลือกที่จะยอมแพ้ไปเอง เช่นนั้นมันก็ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถท้าทายผู้อื่นได้ทันที
และการที่มันประกาศยอมแพ้หวงเจียหลงนั้น ก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ไตร่ตรองมาดีแล้ว ในเมื่อรู้ว่าตัวเองอ่อนด้อยกว่าผู้อื่นแทบทุกทาง ใยต้องไปหาเรื่องเจ็บตัวสิ้นสูญเรี่ยวแรง? มิสู้เก็บแรงไว้ท้าทายต่อยตีผู้อื่นในสภาพสมบูรณ์พร้อมจะประเสริฐกว่าหรือ?
หวงเจียหลงก็ไม่ได้แปลกใจอะไรที่เห็นอีกฝ่ายชิงกล่าวยอมแพ้ออกมาเสียก่อน มันก็ขึ้นไปลอยร่างกลางสังเวียนอย่างมั่นมาด
หลังจากนั้นเมื่อกวาดตามองไปทั่วๆคราหนึ่ง แล้วพบว่าไร้วี่แววผู้ใดจะขึ้นมาท้าทายวัดพลัง มันก็เริ่มหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
คล้ายทั้งหมด…มันขึ้นมาเพื่อเฝ้ารอให้เวลาผ่านพ้นไปครบครึ่งชั่วยามก็เท่านั้น!
“สมแล้วที่เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองหวง…เพียงลงสนามก็ชนะโดยมิต้องสู้รบ…ข้าเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดขวัญกล้าขึ้นไปท้าชิงมันแน่นอน”
“เหอะๆ ยังจะมีใครแส่หาความอัปยศกันเล่า เกรงว่าในประเทศฝูชิวเรายามนี้ ผู้ที่จะต่อกรรับมือหวงเจียหลงได้ เห็นทีจะมีก็แต่องค์ชาย 4 เพียงผู้เดียว!”
“มิผิด องค์ชาย 4 ไม่มา ยังจะมีผู้ใดหาญกล้าขึ้นไปลุย!”
.. .
ท่ามกลางสายตาของผู้คน หวงเจียหลง ที่ขึ้นสังเวียนไป ก็ขัดสมาธิหลับตากลางหาวอย่างสงบ จนเวลาค่อยๆไหลผ่านไปเรื่อยๆ ไม่ทันไรก็ใกล้ครบครึ่งชั่วยามแล้ว
ขณะเดียวกันผู้คนที่นั่งใกล้ๆกับเจ้าเมืองหวง ก็เริ่มกล่าวคำแสดงความยินดีล่วงหน้า ยกย่องหวงเจียหลงกันไม่ขาดปาก พลังฝีมือเลิศล้ำจนสะกดผู้คนได้ชะงัดบ้าง ร้ายกาจถึงขั้นได้ชัยโดยไม่ต้องสู้บ้าง…
ในเรื่องนี้หวงเหยี่ยนเฟยเพียงพยักหน้ารับทราบอย่างไม่ยินดียินร้ายใดๆ แลดูไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนหากแต่ก็ไม่ได้ถือดีจนเกินงาม ตรงกันข้ามกับผู้นำสกุลเหอโดยสิ้นเชิง
“ดูเหมือนจะไม่มีผู้ใดท้าทายบุตรชายเจ้าเมืองหวงแล้วจริงๆ…”
“อีกมินานสิทธิ์เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำก็จะหดหายไปอีกสิทธิ์แล้วสินะ…”
…
เมื่อเห็นว่าเวลาใกล้จะล่วงเลยไปครบครึ่งชั่วยามเต็มที แต่ก็ไร้แม้แต่เงาผู้ใดเฉียดเข้าไปใกล้สังเวียนของหวงเจียหลง ผู้คนก็รู้สึกว่าสิทธิ์ที่ 2 ได้ถูกกำหนดให้เป็นของหวงเจียหลงแน่แล้ว
ทว่าทันใดนั้นเอง
ฟุ่บบ!
ร่างต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์พลันไหววูบ คนเหินทะยานเข้าสู่สังเวียนที่หวงเจียหลงนั่งหลับตาขัดสมาธิไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ก่อนจะไปหยุดลอยเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
และเมื่อร่างต้วนหลิงเทียนเหินลุมาถึง หวงเจียหลงที่แต่เดิมนั่งหลับตาขัดสมาธิรอคอยเวลา ก็พลันลืมตาขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็ชักสายตาประหลาดใจมองจ้องต้วนหลิงเทียนเบื้องหน้า
หากว่าผู้ที่ขึ้นมาท้าทายเป็นองค์ชาย 4 ของประเทศฝูชิว มันจะไม่แปลกใจอะไรสักนิด
ทว่าบัดนี้ ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาท้าทายมัน กลับเป็นชายหนุ่มที่มันไม่เคยพบเห็นมาก่อน และพอสำนึกเทวะแผ่ออกไปสำรวจตรวจสอบโดยไม่รู้ตัว มันก็พบได้ทันทีว่าอีกฝ่ายยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี!
“เจ้า…คิดท้าทายข้าหรือ?”
จังหวะนี้หวงเจียหลงอดไม่ได้ที่จะมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงสายตาประหลาดใจ “เจ้าคิดว่า…เจ้าที่อายุไม่ถึงร้อยปี จะสู้ข้าได้จริงๆ?”
ลูกตาหวงเจียหลงหยีลงเผยประกายคมกล้า จี้ถามต้วนหลิงเทียน
ด้านผู้ชมในอัฒจันทร์ที่นั่งต่างๆ พอได้ยินวาจาไถ่ถามต้วนหลิงเทียนของหวงเจียหลง ก็หดหยีหรี่ตาลงทันใด จากนั้นสำนึกเทวะมากมายหลายสายก็แผ่พุ่งมาจากทุกทั่วสารทิศ จนต้วนหลิงเทียนเสมือนปลาน้อยกลางแหนับหมื่นพัน…
“ให้ตายเถอะ เจ้าหนุ่มนั่นอายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!”
“ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกัน? อายุไม่ถึงร้อยปีแต่กลับกล้าขึ้นไปท้าทายหวงเจียหลงเนี่ยนะ!?”
“มันอายุไม่ถึงร้อย แล้วนี่บรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะแล้วหรือยัง?”
“ถึงแม้ว่ายามสมัครเพียงกล่าวคำด้วยวาจาหรือฝากผู้อื่นมาสมัคร จึงไม่ได้มีการตรวจสอบพลังฝึกปรืออันใด แต่เมื่อลงประลองแล้ว หากพบว่าด่านพลังไม่ถึงยอดเซียนอมตะหรือเกินกว่านั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากคิดหลอกลวงฮ่องเต้ฝูชิว!”
“เหอะๆ หลอกลวงเบื้องสูง โทษทัณฑ์มิใช่เบาๆ!”
…
เมื่อผู้คนพบว่ากลิ่นอายเลือดเนื้อที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียนตามธรรมชาตินั้น บ่งบอกว่าอายุอานามคนไม่ถึงร้อยปี เสียงกล่าวด้วยความแปลกใจทั้งสงสัยก็ดังขึ้นระงมปานตลาดสด หลายคนยังตั้งคำถามยกใหญ่ว่าใช่ต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงยอดเซียนอมตะแล้วจริงหรือไม่?
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนมีทองเทพสุดลี้ลับอยู่ในร่าง เช่นนั้นทุกคนจึงไม่สามารถหยั่งถึงพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนได้เลย
อย่างไรก็ตามระนาบเทวโลกกว้างใหญ่สุดไพศาล พิสดารมากมี เคล็ดอมตะที่มีความสามารถลี้ลับจนปกปิดพลังฝึกปรือผู้คนได้ก็มีให้เห็นไม่น้อย ดังนั้นผู้คนจึงไม่ได้แปลกใจเรื่องที่ไม่อาจตรวจสอบพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนได้สักเท่าไหร่
“หากเจ้ามีอุปกรณ์อมตะระดับราชา ก็รีบนำออกมาใช้เสีย…จากนั้นก็ป้อนกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของเจ้าใส่ข้ามา…”
ต้วนหลิงเทียนไม่ตบคำถาม เพียงมองหวงเจียหลงด้วยสีหน้าแววตาสงบ เอ่ยคำเสียงเบา “ข้าจะต่อให้เจ้าลงมือก่อน 2 กระบวนท่า…ไม่งั้นข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสลงมือ”
เมื่อวาจาดังกล่าวล่วงล้ำออกมาจากลำคอของต้วนหลิงเทียน ไม่เพียงแต่หวงเจียหลงเท่านั้นที่อึ้ง กระทั่งผู้คนที่อยู่ในสถานที่จัดงานประลองสวรรค์ใต้ทั้งหมดยกเว้นหลิวก่วงหลิง ก็อึ้งไปตาปริบๆ
อุปกรณ์อมตะระดับราชา?
ชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยปีผู้นี้ ไม่เพียงหาญกล้าท้าทายหวงเจียหลง แต่ยังกล่าวบอกให้หวงเจียหลงหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้ กระทั่งยังจะต่อให้หวงเจียหลงลงมือป้อนออกมา 2 กระบวนท่าก่อน ด้วยเกรงว่าหากไม่ต่อให้ หวงเจียหลงจะไม่มีโอกาสลงมือ?
“ฮ่าๆๆๆๆ!!”
หลังจากนั้นไม่ทันไร ในที่สุดก็มีคนที่อดรนทนไม่ไหว ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้งแววตาสีหน้าของมันก็มากล้นไปด้วยความทับถมรังเกียจ “ไอ้หนูขนอุยนี่ที่ แท้มันหยิ่งหรือมีปัญหากับสมองกันแน่?”
“หยิ่งผยองสิ้นดี! หาที่ตายโดยแท้!!”
“นี่ใช่ที่เขาเรียกกันว่าลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือใช่หรือไม่? มารดามันเถอะไอ้หนูนี่มันห้าวแท้ มันกล้าพูดออกมาได้อย่างไร!?”
“เหอะๆ เหลวไหล! เลอะเทอะยิ่ง!!”
……
วาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนทำให้ผู้คนมากมายอดไม่ไหวที่จะหัวเราะเยาะออกมา ยังกล่าวค่อนแคะกันไปสนุกปาก สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนบัดนี้ทำราวกับมองตัวโง่งม
อย่างไรก็ตาม หวงเจียหลง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ไม่อาจหัวเราะอะไรออกมาได้เต็มปาก
เพราะยามมันมองพินิจร่างชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า มันเห็นก็แต่ความสงบเฉยเมยในแววตาของอีกฝ่าย ราวกับอีกฝ่ายไม่ได้ยึดถือมันเป็นจริงจังอันใด
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่สามารถกระทำแบบนี้ได้ หากไม่หยิ่งผยองลำพองจนเกินตัว ก็เป็นผู้ที่มีปัญหากับสมอง แต่ทว่ายังมีอีกกรณีหนึ่ง…นั่นคืออีกฝ่ายพลังฝีมือกล้าแข็งจริงๆ!
และไม่ว่ามันจะมองพินิจชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้ามุมใดหรือท่าไหน มันก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่คล้ายคนหยิ่งผยองลำพองตัวหรือมีปัญหากับสมองใดๆ…
ขวับ!
และในขณะที่หลายๆคนกำลังหัวเราะเยาะต้วนหลิงเทียนอยู่นั้น ก็ปรากฏร่มคันหนึ่งถือไว้ในมือต้วนหลิงเทียน
และร่มที่ดูเหมือนจะผุดโผล่ออกมาจากอากาศธาตุคันนี้ ก็คือหนึ่งในอุปกรณ์อมตะระดับราชา ที่เขาได้มาจากโลกใบเล็กของ ตู้เฟย กูป๋อฮ่วนเอ๋อที่เป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะเหลือทิ้งไว้
ร่มดังกล่าวปรากฏเข้ามือต้วนหลิงเทียนไม่ทันไร พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดขุมหนึ่งก็ถ่ายทอดหลั่งไหลเข้าสู่ตัวร่ม จากนั้นตัวร่มก็เริ่มเปล่งแสงสว่างลี้ลับเรืองรองขึ้นมา กลิ่นอายพลังที่กำจายซาบซ่านไปในบรรยากาศ ยังน่ากลัวไม่ใช่ชั่ว
“อะ…อุปกรณ์อมตะระดับราชา!?”
“ร่มนั่น…เป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชา!?”
…
เรียกว่าพอร่มที่ต้วนหลิงเทียนหยิบออกมาถือไว้สำแดงพลังเล็กน้อย ผู้ที่กำลังหัวเราะเยาะต้วนหลิงเทียนอยู่ก็หุบปากลงแทบไม่ทัน!
ยังมีหลายคนที่ตระหนักได้ว่าร่มในมือของต้วนหลิงเทียนนั้นเป็นนอุปกรณ์อมตะระดับราชา และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคมทั้งสิ้น
ผู้ที่ไม่อาจแยกแยะกลิ่นอายของอุปกรณ์อมตะระดับราชาได้ด้วยความสามารถตัวเอง พอได้ยินเสียงอุทานของตัวตนที่มีชื่อเสียงทั้งเห็นสีหน้าจริงจังไม่คล้ายล้อเล่น พวกมันก็ตระหนักได้ทันที…ว่าที่แท้ร่มในมือต้วนหลิงเทียนเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชา!
จังหวะนี้ผู้ชมทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะตกใจ!
และผู้ที่เคยหัวเราะเยาะต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า พวกมันจำต้องมองต้วนหลิงเทียนใหม่อีกรอบ สายตาฉายชัดถึงความตกใจระคนเหลือเชื่อ
ชายหนุ่มอายุไม่ถึงร้อยปี ที่กล่าววาจาโอหังลำพองปานพล่ามเหลวไหล กลับมีอุปกรณ์อมตะระดับราชาจริงๆ?
“ว่าแล้วเชียว…”
พอต้วนหลิงเทียนหยิบอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมา หวงเจียหลงก็สามารถยืนยันได้เต็มสิบส่วน วาชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้าหาใช่คนที่หยิ่งผยองลำพองหรือมีปัญหากับสมองอันใดไม่!
อีกฝ่ายสมควรมีพลังฝีมือมากพอจะต่อกรกับมันได้จริงๆ!
ทั้งหมดก็เท่านี้!
แต่หวงเจียหลงยังไม่เชื่อว่าที่อีกฝ่ายกล้าต่อให้มันลงมือก่อน 2 กระบวนท่า เป็นเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่ามันจริงๆ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะล่วงรู้พลังฝีมือที่แท้จริงของมันได้!
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
หวงเจียหลงมองสบตาต้วนหลิงเทียนเขม็ง จากนั้นก็เอ่ยตอบรับคำพูดก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียน ขณะเดียวกันหอกยาว 7 ฉื่ออันแผ่กลิ่นอายลี้ลับหนึ่ง ก็ผุดจากความว่างเปล่ามากระชับถือไว้ในมือ!