WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2990
ตอนที่ 2,990 : 3 นิกาย 2 ตระกูลมาถึง
สองวันต่อมา
“นอกจากพวก 3 นิกาย 2 ตระกูลแล้ว…ดูเหมือนคนอื่นๆที่ตั้งใจจะเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำครั้งนี้ จะมากันครบแล้วสินะ?”
ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างกลางน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียนกับคนของประเทศฝูชิว กล่าวออกมาขณะกวาดตามองดูผู้คนจากทั่วทุกสารทิศที่นำพาเหล่ายอดฝีมือขอบเขตยยอดเซียนอมตะของสังกัดตนมาช่วงชิงโอกาส
และเป็นดั่งที่หวงเจียหลงเคยกล่าวไว้ก่อนหน้าไม่มีผิด นอกเหนือจากยอดเซียนอมตะจากแดนพันประเทศแล้ว ยังมียอดฝีมือจากขุมกำลังต่างๆ รวมถึงเหล่าผู้ที่ไร้ชื่อเสียงแห่แหนกันมาจากทั่วทุกสารทิศ
“3 นิกาย 2 ตระกูลมากันแล้ว!”
ทันใดนั้นเอง ฟากหนึ่งของขอบฟ้าพลันปรากฏเสียงอุทานดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของต้วนหลิงเทียนกับคนของประเทศฝูชิวให้หันไปดูชมตามต้นเสียงทันที
“3 นิกาย 2 ตระกูลมาแล้ว?”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนรวมถึงคนอื่นๆ พอมองไปตามต้นเสียง ก็เห็นว่า
ปรากฏร่างคนหลายกลุ่มกำลังเหินลัดฟ้ามาแต่ไกล
ยังเห็นว่าเหล่าผู้ที่มามีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 5 กลุ่ม
สมาชิกแต่ละกลุ่มนั้นมีราวๆ 10-12 คน และมีร่างที่แลดูโดดเด่นเหินนำหน้ามา
คนกลุ่มหนึ่งมาในชุดสบายๆไร้รูปแบบอันใด และผู้ที่เหินนำมาก็เป็นชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างเจ้าเนื้อ ยามมันเหินข้ามฟ้า พุงของมันยังกระเพื่อมไม่หยุด แลดูชวนให้ผู้คนขบขันไม่น้อย
ที่สำคัญลูกตาของมันนั้นคล้ายคนกำลังจะหลับตาอยู่รอมร่อ แก้มที่อุดมไปด้วยไขมันเหมือนจะเบียดลูกตาจนหมด
ส่วนกลุ่มที่อยู่ข้างๆนั้น มีเครื่องแต่งกายในรูปแบบเฉพาะ แลดูไม่ต่างอะไรจากนักพรตเต๋าที่โลกเก่าของต้วนหลิงเทียน ทว่าแม้ชุดคลุมนักพรตเต๋าของพวกมันจะมีรูปแบบเหมือนๆกัน หากแต่ยังมีรายละเอียดบางส่วนที่แตกต่างกันพอให้สังเกตเห็นได้ไม่ยาก
ตัวอย่างเช่นชุดคลุมนักพรตเต๋าของร่างที่เหินนำมาหน้าสุดนั้น บริเวณชายขอบของเสื้อคลุมไม่เว้นบริเวณชายแขนเสื้อนั้นจะขลิบด้วยด้ายสีทอง
ส่วนชุดคลุมของร่างที่เหินถัดจากมัน จะขลิบเงิน
สำหรับบอีก 10 คนที่เหลือนั้นจะเป็นสีทองแดง
เห็นได้ชัดว่า สีทองแดง สีเงิน และสีทองนี้ สมควรบ่งบอกถึงฐานะสูงต่ำไม่ผิดแน่
“กลุ่มนี้…เป็นคนของนิกายอมตะเป้าผู่รึ?”
เห็นชุดคลุมนักพรตเต๋าที่เป็นเอกลักษณ์ ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และคาดเดาได้ว่านักพรตเต๋ากลุ่มนี้ สมควรเป็น 1 ใน 3 นิกาย 2 ตระกูลอย่าง นิกายอมตะเป้าผู่ที่เคยได้รับฟังข้อมูลมาไม่ผิดแน่
นิกายอมตะเป้าผู่ ก็คือ 1 ใน 3 นิกายอมตะที่เป็นขุมกำลังระดับ 7 ที่เป็นรองก็แต่คฤหาสน์เฉวียนโยว
เรียกว่าในเขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มีเพียง 2 นิกายอมตะที่เหลือเท่านั้น ที่พอจะมีขุมกำลังทัดเทียมกับพวกมัน
“ส่วนทางด้านนั้น…นิกายอวิ๋นไถ?”
ไมนานสายตาต้วนหลิงเทียนก็ถูกคนกลุ่มที่ 3 ดึงดูดความสนใจไป
นั่นเพราะคนกลุ่มนี้…ดูอย่างไรก็เป็นหลวงจีนไม่มีผิดเพี้ยน! แต่ละคนสวมใส่จีวรสีสันต่างๆ มีทั้ง ทอง เงิน และสีแดง
ผู้ที่สวมจีวรสีทองนั้นมีเพียงคนเดียวเท่านั้น และก็คือหลวงจีนชราหน้าตาดูใจดีมีเมตตาที่เหินร่างนำมาหน้าสุด อย่างไรก็ตามแม้หน้าตามันจะแลดูใจดีมีเมตตา แต่ทั่วร่างกลับแผ่พุ่งความชั่วร้ายออกมาอย่างบอกไม่ถูก ชวนให้ผู้คนรู้สึกย้อนแย้งเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงงเทียนก็ได้ยินหวงเจียหลงเล่าให้ฟังว่า นิกายอวิ๋นไถนี้ เป็นนิกายที่เต็มไปด้วยเหล่าหลวงจีนหัวโล้นเหมือนๆกับนิกายอมตะสราญรมย์ในพื้นที่ชายแดนที่เขาเคยพบเจอมาก่อน
หากท่านไม่ได้เป็นหลวงจีน แต่คิดจะเข้าร่ววมนิกายนี้ ก็จำต้องออกบวชเป็นหลวงจีนเสียก่อน
“ส่วนนั่น…สมควรเป็นคนของนิกายอมตะเหอฮวนสินะ”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มหันไปมองสำรวจกลุ่มคนกลุ่มที่ 4 และเรียกว่าในบรรดาคนทั้ง 5 กลุ่มที่พึ่งมาถึง คนกลุ่มนี้นับว่าสะดุดตาผู้คนเป็นที่สุด
เพราะที่นำมาก็คือเกี้ยวไร้หลังคา อันมีคน 8 คนแบกหาม และผู้ที่นั่งอยู่บนเกี้ยวที่ว่า ก็เป็นชายหนุ่มแลดูหล่อเหลาจนใช้คำว่าเทพบุตรหน้าหยกคงไม่เกินเลย เกี้ยวของมันแบ่งคนแบกหามออกเป็นหน้า 4 หลัง 4
ส่วนด้านหลังเกี้ยวของมันนั้น ปรากฏร่างคน 10 คนเหินตามมาไม่ห่าง เป็นสตรี 5 คนและบุรุษ 5 คน ที่สำคัญคือแต่ละคนหน้าตาดีทั้งสิ้น ราวกับพวกมันจงใจคัดแต่คนหน้าตาดีมาก็ไม่ปาน
และคนกลุ่มนี้ นอกจากผู้ที่แบกหามเกี้ยวทั้ง 8 คนที่ใส่ชุดกุลีสีเทาแลดูเรียบง่ายแล้ว ที่เหลือล้วนแต่งงองค์ทรงเครื่องมาจัดเต็ม แลดูหล่อเหลาทั้งงดงามมีระดับไม่น้อย
“นิกายอมตะเหอฮวนมากันแล้วรึ!!”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังมองดูชมคนกลุ่มดังงกล่าวด้วยความสนใจ เสียงตื่นเต้นยินดีหนึ่งพลันดังขึ้นข้างๆเขา
เสียดังกล่าวยังคุ้นหูเขาเหลือเกิน เรียกว่าเพียงได้ฟังเขาก็บอกได้ทันทีโดยไม่ต้องหันไปดู ว่าเป็นเสียงของหวงเจียหลง
“เอ่อ พี่เจียหลง ไฉนท่านแลดูตื่นเต้นนักเล่า?”
ต้วนหลิงเทียน อดไม่ได้ที่จะกล่าววถามหวงเจียหลงด้วยสีหน้างุนงง ด้วยไม่ทราบว่าไฉนอีกฝ่ายถึงได้แลดูตื่นเต้นจนออกนอกหน้านอกตาแบบนี้
“อั้ยน้องต้วน ก็ข้าตื่นเต้นจริงๆนี่นา”
เห็นต้วนหลิงเทียนหันมามองถามด้วยยสาตาสงสงสัย หวงเจียหลงก็คลี่ยิ้มราวตัวโง่งม ก่อนที่จะหันกลับไปมองกลุ่มคนของนิกายอมตะเหอฮวนด้วยสายตาชื่นชม
“เหตุไฉนที่ข้าตื่นเต้นขนาดนี้ ก็เพราะนิกายอมตะเหอฮวน เป็นนิกายอมตะที่ข้าอยากเข้าร่วมมากที่สุดในบรรดานิกายอมตะทั้ง 3…”
หวงเจียหลงกล่าวออกมาอย่างคึกคัก “และคนที่นำพากลุ่มคนของนิกาอมตะเหอฮวนเดินทางมาครั้งนี้ หากข้าจำไม่ผิดสมควรเป็น 1 ใน 3 ประมุขนิกายอมตะเหอฮวน ปี้ไห่หมิงเฟิง!”
“นิกายอมตะเหอฮวนค่อนข้างแหวกแนวอยู่บ้าง เพราะมีประมุขนิกายถึง 3 คน…และประมุขปี้ไห่หมิงเฟิงผู้นี้ถึงแม้จะไม่ได้มีพลังฝีมือสูงส่งที่สุดในบรรดา ประมุขทั้ง 3 แต่เรื่องที่มีความสามารถเด่นล้ำที่สุดนั้นไม่ผิดแน่!”
“เพราะลือกันว่านอกจากจะเป็น 1 ใน 3 ประมุขนิกายอมตะเหอฮวนแล้ว ประมุขปี้ไห่หมิงเฟิงยังมีฐานะไม่ใช่ชั่วในคฤหาสน์เฉวียนโยว และมักจะย้อนกลับไปติดต่อธุระที่คฤหาสน์เฉวียนโยวหลายครั้ง”
ขณะที่หวงเจียหลงกล่าวถึงจุดนี้ สายตาที่ใช้มองปี้ไห่หมิงเฟิง เทพบุตรหน้าหยกที่นั่งๆนอนๆบนเกี้ยวอย่างสบายอารมณ์ด้วยสายตาเทิดทูน
“พี่เจียหลง…ข้าว่าที่ท่านอยากเข้าร่วมนิกาอมตะฮวนเหอ เพราะสนใจเคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่ของนิกายอมตะฮวนเหอมากกว่ากระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนเหลืบอมองหวงเจียหลงด้วยสาตาแปลกๆ พลางกล่าว “เพราะเท่าที่ข้าได้ยินมา…เคล็ดวิชาบำเพ็ญคู่เป็นเคล็ดอมตะที่ใช้สั่งสมพลังอันยอดเยี่ยมใช้หยินเสริมหยาง ใช้หยางเติมเต็มหยิน ซึ่งจะให้ผลลัพธ์แก่คู่ชายหญิงที่ฝึกปรือร่วมกันอย่างมาก…”
“หากท่านเข้าร่วมนิกายอมตะฮวนเหอได้ ต่อไปไม่รู้จะมีสาวน้อยกี่คนต่อกี่คนที่ต้องถูกท่านรังแก…เพราะข้าได้ยินมาว่าพลังอำนาจของเคล็ดบำเพ็ญคู่นั้น สตรีธรรมดาทั่วไปนั้นแทบไม่อาจต้านทานความล่อลวงของมันได้เลย”
หลังกล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“อั้ยน้องต้วน รังกงรังแกอันใดท่านก็พูดเกินไป นี่ท่านเห็นข้าเป็นคนอย่างไร? ข้าหวงเจียหลงนั้นเรียกว่าเกิดมาเพื่อเป็นองครักษ์พิทักษ์สตรี ที่ข้าคิดใช้เคล็ดบำเพ็ญคู่กับน้องๆทั้งหลายในใต้หล้านั้น…ทั้งหมดก็เพื่อเห็นแก่ดรุณีน้อยไร้เดียงสาทั้งหลายที่ไม่รู้จักพวกหมาป่าใจร้ายต่างหาก! ข้าจึงคิดอุทิศตัวเอง และรับพวกนางมาดูแลอย่างดี ไหนเลยจะเป็นบุรุษไม่รับผิดชอบได้!”
หวงเจียหลงกล่าวออกมาพลางขมวดคิ้ว ปณิธานของมันออกจะยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ ไฉนผู้อื่นมองมันว่าคิดแต่จะตกหญิงกันเล่า?
“เอาล่ะๆ พี่เจียหลงเป็นบุรุษอันมากล้นไปด้วยความรับผิดชอบ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา พลางมองฮวงเจียหลงที่หันกลับไปมองกลุ่มคนของนิกายอมตะฮวนเหอด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มอย่างระอา และเขาไม่คิจะยกเรื่องนี้มาพูดอีกต่อไป จากนั้นก็เริ่มหันไปจับจ้องมองคนนกลุ่มที่ 5
อย่างไรก็ตาม แม้หวงเจียหลงจะประกาศปณิธานอันยิ่งใหญ่ออกมา แต่ธาตุแท้ก็ไม่ใช่คนเลวใดๆ อีกฝ่ายไม่เคยใช้พลังฝึกปรือของตัวเองรังแกสาวน้อยที่ไหนเลย เรียกว่าไม่บีบคั้น ทั้งหมดล้วนต้องยินยอมพร้อมใจไปกับมัน…
อย่างน้อยๆจุดนี้ของหวงเจียหลงก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกนับถืออยู่บ้าง แม้อีกฝ่ายจะแลดูเป็นนายน้อยเจ้าสำราญอยู่บ้าง
ด้านคนนกลุ่มที่ 5 นั้น แต่ละคนแต่งกายไม่เหมือนกันดั่งกลุ่มแรกที่ต้วนหลิงเทียนให้ความสนใจ เห็นชัดว่าสมควรเป็นคนจากตระกูลไม่ผิดแน่
“คนของตระกูลกงหยางก็มากันแล้ว”
เสียงใครบางคนแว่วดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน และพอเขาหันไปก็พบว่าคนๆนั้นกำลังมองไปยังคนกลุ่มที่ 5 เช่นกัน ต้วนหลิงเทียนจึงยืนยันได้ว่า คนกลุ่มที่ 5 นั้น ก็คือ ตระกูลกงหยาง 1 ใน 2 ตระกูล
“ถ้างั้นหมายความว่า คนกลุ่มแรกที่ข้าเห็น ก็เป็นคนของตระกูลจ่างซุนสินะ?”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปมองกลุ่มคนที่นำโดยชายวัยกลางคนร่างจ้ำม่ำอีกรอบ
คนกลุ่มนี้ ก็สมควรเป็นคนของตระกูลจ่างซุน อีกตระกูลที่เหลือของ 2 ตระกูลนอกจากตระกูลกงหยาง
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
หลังจากนั้นไม่นานนักก ร่างกลุ่มคนทั้ง 5 กลุ่มที่เหินลัดฟ้ามาแต่ไกล ในที่สุดก็บรรลุมาถึงน่านฟ้าเหนือใจกลางทะเลสาบอวิ๋นเยียน และกวาดตามองผู้คนโดยรอบที่มารอคอยแต่แรกด้วยสายตาเฉยเมย
หลายคนที่อยู่ใกล้กับจุดที่คนทั้ง 5 กลุม่ลอยร่างกันอยู่ ก็เริ่มๆเหินถอยออกไปเว้นระยะห่างให้ทั้ง 3 นิกาย 2 ตระกูลมีพื้นที่ ต้วนหลิงเทียนกับคนของประเทศฝูชิวเอง ก็เริ่มล่าถอยออกไปเล็กน้อยเช่นกัน
“ท่านประมุขปี้ไห่ รองประมุขเหิง รองประมุขจาง ผู้เฒ่ากงหยางอวี่…ในบรรดาพวกเราทั้ง 5 คน ก็สมควรมีตัวแทนที่รับผิดชอบเรื่องเปิดแดนสวรรค์ใต้โบราณมิใช่หรือ?”
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนที่เหินร่างนำกลุ่มคนของตระกุลจ่างซุน เหลือบมองผู้ที่นำพาคนของ 3 นิกายและอีกตระกูลมาทั่วๆ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
และในตอนนี้ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือใคร หากไม่ใช่สายตาฝ้าฟางไปแล้ว ย่อมมองออกได้ทันทีว่าชายวัยกลางคนร่างอ้วนยามทักทายผู้นำของอีก 4 ขุมกำลังงที่เหลือนั้น ท่าทีปฏิบัติของมันกลับไม่เหมือนกัน
เรียกว่าในบรรดาผู้นำคนของ 3 นิกายและอีกตระกูลที่เหลือ กับคนอื่นๆมันนั้นยังกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ท่าทีเหมือนคนเท่าเทียม หากแต่ยามกล่าวทักปี้ไห่หมิงเฟิงคนแรกนั้น มันกลับใช้เสียงสุภาพ เรียกหาผู้อื่นอย่างให้เกียรติ ท่าทียังแลดูนอบน้อมกว่าคนอื่นหลายส่วน
กล่าวได้ว่า มันแสดงความเคารพก็แต่ปี้ไห่หมิงเฟิงเท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาผู้นำทั้ง 4 กลุ่ม มันยังเลือกจะทักปี้ไห่หมิงเฟิงเป็นคนแรก
“ไฉนผู้นำกลุ่มคนของตระกูลจ่างซุน คล้ายจะแลดูมากเคารพกับผู้นำกลุ่มคนของนิกายอมตะเหอฮวนนักเล่า…เท่าที่ข้ารู้มาถึงตระกูลจ่านซุนจะทรงพลังไม่เท่านิกายอมตะเหอฮวน แต่ก็ด้อยกว่ากันไม่มากมิใช่หรือไร?”
ไม่ไกลจากต้วนหลิงเทียนเท่าไหร่ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหันไปกระซิบกล่าวถามสหายข้างๆ “อีกทั้งทุกคนก็มาที่นี่ในฐานะตัวแทนของขุมกำลังตัวเอง ฐานะและศักดิ์ศรีล้วนพอๆกัน มันก็มิจำเป็นต้องแลดูยกย่องผู้นำกลุ่มคนของนิกายอมตะเหอฮวนเลยมิใช่หรือไร?”
“เอ่อ…สหาย นี่เจ้าไม่รู้ใช่ไหม ว่าผู้ที่นำกลุ่มคนนิกายอมตะเหอฮวนมาครั้งนี้เป็นใคร?”
ได้ยินคำถามของชายวัยกลางคน สหายที่ถูกถามก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเพื่อนตัวเองด้วยสีหน้าแววตาแปลกๆ ราวกับประหลาดใจไม่น้อยที่เพื่อนตัวดันถามคำถามอะไรพรรค์นี้ออกมา
“แล้วเป็นใครเล่า?”
ชายวัยกลางคนที่ถูกสหายย้อนถาม ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะมันไม่รู้จริงๆว่าผู้นำกลุ่มคนของนิกายอมตะเหอฮวนเป็นใคร
“นั่นน่ะ คือ1 ใน 3 ประมุขนิกายอมตะเหอฮวน ปี้ไห่หมิงเฟิง ผู้นั้น…”
สหายของชายวัยกลางคนไม่รอช้า พลางกล่าวบอกตัวตนผู้นำกลุ่มคนของนิกาอมตะเหอฮวนออกไปทันที
“อะไร!?”
และพอได้ยินคำตอบของสหาย ชายวัยกลางคนก็เร่งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “มัน…มันคือปี้ไห่หมิงเฟิง 1 ใน 3 ประมุขนิกายอมตะเหอฮวนผู้นั้น และยังมีอีกฐานะก็คือ 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยว?”
“ไม่ผิด เป็นมันเอง!”
สหายชายวัยกลางคนพยักหน้ารับคำ “ตอนนี้เจ้าคงไม่แปลกใจแล้วกระมัง?”
“พับผ่าเถอะ…มันถึงกับมาด้วยตัวเองจริงๆ?”
ชายวัยกลางคนคลี่ยิ้มแหยๆ “คนผู้นี้น่ากลัวยยิ่งกว่าประมุขอีก 2 คนของนิกายอมตะเหอฮวนเสียอีก…ว่ากันว่าพลังฝีมือของมัน อาจจะก้าวข้ามกว่าประมุขนิกายอมตะเหอฮวนทั้งสองไปแล้ว”
“ไม่ใช่อาจจะ แต่ก้าวข้ามทั้งไปแล้วคู่แน่นอน…หาไม่แล้วเจ้าคิดว่าไฉนมันถึงได้เป็นผู้ตรวจการ แต่ประมุขอีก 2 คนนั่นไม่ได้เป็นเล่า? ต้องทราบด้วยว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็มีผู้ตรวจการอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 10 คนเท่านั้น”
สหายของชายวัยกลางคนกล่าวออกมาอีกครั้ง
“พี่ชายทั้ง 2 ท่านนี้…ขออภัยด้วย แต่พอดีข้าได้ยินบทสนทนาของพวกท่านเมื่อครู่…ท่านประมุขปี้ไห่หมิงเฟิง ที่แท้มีพลังฝีมือเหนือกว่าประมุขนิกายอมตะเหอฮวนอีก 2 คนงั้นหรือ?”
หวงเจียหลงที่ได้ยินบทสนทนาระหว่างชายวัยยกลางคนกับสหาย ก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามทั้งคู่ด้วยความสงสัย “ไม่ใช่ว่าประมุขปี้ไห่แม้มีพรสวรรค์สูงล้ำ หากแต่ด้วยความที่อายุยังน้อยกว่าประมุขอีก 2 คนมาก พลังฝีมือก็เลยยังขาดอยู่บ้างหากจะเทียบกับประมุขอีก 2 คนมิใช่หรือ?”
“น้องชาย เรื่องที่เจ้าพูดน่ะ มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว…”
สหายชายวัยกลางคนพูกต่อว่า “เรื่องนี้เจ้าคงยังไม่ทราบ…แต่ประมุขทั้ง 2 ของนิกายอมตะเหอฮวนนั้น เคยไปเข้าร่วมบททดสอบเป็นผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวเช่นกัน หากทว่าทั้งคู่ล้วนล้มเหลว…”