WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3011
WSSTH ตอนที่ 3,011 : เกราะอมตะระดับราชา ที่ได้รับหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะ 3 ชิ้น
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเดินกลับออกมาจากห้องโถง ก็พอดีกับที่มีคนๆหนึ่งพึ่งผ่านการทดสอบและเดินออกจากห้องโถงมาพอดี
กล่าวได้ว่าตอนนี้หากนับรวมพวกต้วนหลิงเทียนที่พึ่งเดินกลับออกมา ก็มีคนออกจากห้องโถงแล้วทั้งสิ้น 8 คน
“อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ!”
“เพ่ย! ทั้งคู่ล้วนมีอายุไม่ถึงร้อย! จ้าวสวรรค์ช่วย! ที่แท้พวกมันเป็นใครมาจากไหนกันแน่!? อายุเท่านี้ก็ร้ายกาจเยี่ยงปีศาจแล้ว วันหน้าจะร้ายกาจถึงเพียงใดกัน?”
“ต้วนหลิงเทียน กับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นรึ…หากทั้งคู่ไม่ด่วนตายไปซะก่อน วันหน้าตองมีเชื่องเสียงเลื่องระบือไปทั่วเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวแน่นอน”
“เหอะๆ ด้วยพรสวรรค์ของทั้งคู่ เมื่อเติบโตขึ้น เวทีคงไม่จำกัดอยู่แค่เขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวหรอก แต่คงเป็นทั่วทั้งแดนสวรรค์ใต้เลยมากกว่า!”
……
ทันทีที่พวกต้วนหลิงเทียนเดินออกจากห้องโถงมา ทุกคนนอกจากเชวียจิงอวี่ก็เร่งแผ่สำนึกออกไปตรวจสอบกลิ่นอายเลือดเนื้อทั้งคู่กันยกใหญ่
และพอตรวจดู ก็พบว่าทั้งคู่อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ
“อายุไม่ถึงร้อยปี?”
จากนั้นชายหนุ่มคนหนึ่งที่พึ่งออกจากโถง ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยความประหลาดใจ ค่อยพบว่าทั้งคู่อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆ
“อายุไม่ถึงร้อยกลับมาถึงที่นี่ได้? แถมยังผ่านบททดสอบยากเย็นนั่น?”
ชายหนุ่มรู้สึกเสมือนโดนเล่นงานครั้งใหญ่
ในอดีตมันคิดว่าตัวเองนับเป็นยอดอัจฉริยะแล้ว แต่ต่อหน้าทั้งสองคนนี่มันไม่อาจนับเป็นอัจฉริยะอันใดได้เลย
ตอนนี้อายุอานามของมันก็ปาเข้าไป 300 ขวบปี ทว่าชายหนุ่มทั้ง 2 เบื้องหน้ากลับอายุไม่ถึงร้อย แต่พลังฝีมือสมควรไม่ต้อยต่ำกว่ามันแล้ว
มันรู้ดีว่าคนที่จะสามารถมายืนอยู่ที่นี่ได้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่พึ่งผ่านการทดสอบเมื่อครู่ อย่างน้อยๆก็ต้องเข้าใจความหมายแห่งกฏ และบรรลุด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด
“แล้วพวกเราต้องทำอย่างไรกันต่อ? รอที่นี่งั้นรึ?”
เชวียจิงอวี่ที่หันไปมองรอบๆ ก็ไม่พบว่าจะมีช่องทางอะไรเลย จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นถามออกมาพลางขมวดคิ้ว
พอได้ยินเสียงบ่นของเชวียจิงอวี่ ทุกคนที่ออกจากโถงมาแล้วก็ละความสนใจออกมาจากพวกต้วนหลิงเทียน และเริ่มหันรีหันขวางมองไปรอบๆทันที
“ข้าว่า…สมควรต้องรวบรวมคนที่ผ่านการทดสอบให้ได้จำนวนหนึ่งก่อนหรือไม่ หนทางไปจากที่นี่จึงจะเปิดออก?”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยคาดเดาออกมา
“มีเหตุผล”
คำพูดของมันยังได้รับความเห็นชอบจากคนอื่นๆ “ตอนนี้พวกเรามีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 8 คน…ส่วนอีก 2 คนที่สู้อยู่ในโถง อีกไม่นานก็คงออกมากันแล้ว”
“หากไม่นับห้องโถงที่มีคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นทันทีหลังจากที่มีคนตายตกไปตอนทดสอบ…ห้องโถงอื่นๆที่มีคนผ่านการทดสอบแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย”
“ที่นี่มีทั้งสิ้น 10 โถง…ข้าเดาว่าหลังจากคนออกมาจากโถงครบ 10 แล้ว สมควรมีเหตุเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง เพื่อให้พวกเราไปต่อ”
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยคิดคาดกันไปในแนวทางเดียวกันนั้น
ทุกคนก็จับจ้องมองไปยังอีก 2 ห้องโถงที่เหลือที่ยังมีคนประมือกับร่างจิตต่อสู้อยู่ และการต่อสู้ในโถงก็เจียนจวนจะถึงจุดยุติเต็มที
“พลังฝีมือพวกมันทั้งคู่จะไม่ใช่ชั่วเลย ดูแล้วสมควรผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น”
“นี่ไม่ใช่เรื่องปกติรึ? ใครที่มีความสามารถสะสมคะแนนได้ครบ 10 แต้มด้วยตัวเอง ไหนเลยจะเอาชนะยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่ไร้พลังแห่งกฏไม่ได้?”
“ก็ใช่ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังมีบางคนโชคร้ายอยู่ดี เพราะถึงแม้พลังฝีมือจะไม่ใช่ชั่ว แต่สมควรไปช่วยผู้อื่นโกงคะแนนสะสมแล้วพามาที่นี่ สุดท้ายจึงไม่พ้นต้องตกตายอนาถ”
“เจ้าใช่กำลังพูดถึงหงเทาอัจฉริยะของนิกายสืออวิ๋นคนนั้นหรือไม่? กล่าวไปนับว่ามันซวยจริงๆ อย่างมันสมควรมายืนอยู่ที่นี่พร้อมพวกเราได้ง่ายยๆแท้ๆ แต่ดันไปช่วยผู้อื่นโกงคะแนนมา สุดท้ายจึงต้องตกตายไปอย่างน่าอนาถ”
“มันเองก็คงไม่รู้เรื่องพวกนี้มาก่อนนั่นล่ะ กระทั่งพวกเราก็ยังได้แค่คาดเดากันไปเลยว่าสมควรเป็นเพราะช่วยผู้อื่นโกงคะแนนหรือพามาที่นี่…เช่นนั้นยังจะมีผู้ใดรู้กันเล่าว่าห้ามช่วยโกงคะแนนให้ผู้อื่นหรือพามาวังจอมราชันอมตะ?”
“เหอะ! หากพลังฝีมือมันสูงทัดเทียมต้วนหลิงเทียนผู้นั้น มีหรือมันจะต้องตายอย่างโง่งม!”
……
หลังจากคุยกันไปเรื่อยเปื่อยได้สักพัก ไม่วายสายตาพวกมันก็หันกลับมาตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนอีกรอบ
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็เลือกที่จะยืนหลับตาสงบจิตอยู่เงียบๆ
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเองก็ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ และสายตาที่มันใช้มองต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็เริ่มอ่อนลงหลายส่วน
“สองคนนั่น…”
เชวียจิงอวี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกล พอเห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอาแต่มองต้วนหลิงเทียนไม่หยุด ทั้งยังมองด้วยแวววตาแบบนั้นก็แปลกใจไม่น้อย
ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าไปในห้องโถงกันสองคน มันเองก็เห็นว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังคงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเย็นชาไม่แยแส แต่บัดนี้อีกฝ่ายกลับมองต้วนนหลิงเทียนด้วยสายตาทำราวกับมองสหายสนิท
“ที่แท้พวกมันไปคุยเรื่องอะไรกันมา?”
แต่ต้นจนจบเชวียจิงอวี่ก็เห็นแค่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยืนเผชิญหน้ากัน คล้ายสนทนาพาทีผ่านพลัง แต่มันไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าทั้งคู่คุยเรื่องอะไรกัน
กระทั่งก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินออกมา สายตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เย็นชาราวไม่สบอารมณ์หลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยซ้ำ
ทว่าด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เดินตามออกมาภายหลัง กลับเดินยิ้มหน้าระรื่นอย่างผิดวิสัย
ตอนนั้นมันเองก็รู้สึกว่าฉากเรื่องราวแปลกประหลาดพิกล
ตอนนี้พอมาเห็นทัศนคติทีท่าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่มีต่อต้วนหลิงเทียน มันก็ยิ่งคิดว่าเรื่องราวยิ่งมายิ่งแปลกประหลาดไปกันใหญ่
“เมื่อก่อนเจ้าเป็นจิตวิญญาณของอุปกรณ์เทพแบบไหนหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนที่ยืนหลับตาอยู่เงียบๆนั้น ผิวเผินคล้ายคนกำลังพักผ่อน แต่อันที่จริงเขากำลังสนทนากับ หวงเอ้อ จิตวิญญาณกระบี่ที่พึ่งเข้ามาอาศัยในทะเลวิญญาณของเขา
“เป็นกระบี่เทพระดับสูง หงส์สวรรค์สะท้อนลักษณ์”
หวงเอ้อตอบ
“โฮ่? เจ้าเคยเป็นจิตวิญญาณกระบี่มาก่อนรึนี่?”
เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้น ฟังดูประหลาดใจอยู่บ้าง “หากเจ้าเคยเป็นจิตวิญญาณกระบี้เทพระดับสูงมาก่อน ที่จะยอมเป็นจิตวิญญาณให้กระบี่ของเจ้าหนูนี่…นับว่าเป็นเรื่องดียิ่งนัก เพราะเจ้าที่เคยเป็นจิตวิญญาณกระบี่มาก่อนต้องผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเจ้าหนูได้รวดเร็วกว่าจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพชนิดอื่น!”
“มีอีกเรื่องที่ท่านยังไม่รู้…กระบี่หงส์สวรรค์สะท้อนลักษณ์ กับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในร่างเขา ล้วนถูกสร้างขึ้นมาโดยผู้แข็งแกร่งที่สุดคนเดียวกัน ทั้งังถูกหลอมสร้างขึ้นมาติดๆกัน เรียกว่ากระบี่ทั้งสองเล่มได้อยู่ด้วยกันมานาน อีกทั้งวิญญาณกระบี่ของกระบี่เทพหลิงหลง 7 เปลี่ยน กับข้าวิญญาณของกระบี่หงส์สวรรค์สะท้อนลักษณ์ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน”
หวงเอ้อกล่าวด้วยน้ำเสียงหวนรำลึก “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเรียกจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนว่าพี่สาว…ครั้งนี้หากมิใช่ว่าในร่างเขาเป็นกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน ให้เป็นกระบี่เทพระดับสูงอื่นใด แม้ข้าอาจจะตัดสินใจเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีทางด่วนตัดสินใจได้ในเวลาอันสั้นแน่นอน…”
วาจาประโยคด้านบนนับว่าหวงเอ้อได้เปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างตัวนางกับอดีตจิตวิญญาณในกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมา น้ำเสียงยามกล่าวยังฟังดูคิดถึงจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนไม่น้อย
“นี่เจ้ารู้จักจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนด้วยงั้นเหรอ? เช่นนั้น…เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ใดเคยเป็นเจ้าของๆกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน และมีความเกี่ยวข้องกับอาสามอย่างไร?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“อุปกรณ์เทพระดับสูง ล้วนหาได้ยากยิ่ง ไม่ว่าผู้ใดในดินแดนแห่งทวยเทพก็ปรารถนาอยากครอบครอง…และไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เทพระดับสูงใดๆ ผู้คนก็รู้จักกันดี กระทั่งผู้ถือครองยังเป็นตัวตนอันทรงพลังเช่นกัน”
หวงเอ้อกล่าวต่อ “เจ้าของเดิมของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนนั้น…ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพเกรงว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก”
“ทว่าสำหรับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของเดิมกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนกับเซี่ยเจี๋ย เจ้าคงต้องไปถามเซี่ยเจี๋ยเอาเอง…ข้าบอกไม่ได้ ทั้งไม่ง่ายที่จะบอก”
พอหวงเอ้อกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของนาง ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ว่าท่าทางความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของเดิมของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนกับเซี่ยเจี๋ยจะไม่ธรรมดา
“เจ้าเคยได้ยินเจ้าบอกว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เทพระดับสูงสุด…นั่นหมายความว่าต่อให้เป็นอุปกรณ์เทพก็ยังแบ่งออกเป็นระดับต่างๆอย่าง ต่ำกลางสูงอะไรงั้นสิ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
ในอดีตเขารู้ก็แต่ว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เทพ ที่ทรงหลังเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ และยังมีจิตวิญญาณถือกำเนิดขึ้นมา เรียกว่าเป็นจิตวิญญาณแรกกำเนิด
เขาเองก็ไม่รู้รายละเอียดว่าอุปกรณ์เทพยังมีระดับต่างๆ
“ใช่”
ห้วงเอ้อกล่าว “อุปกรณ์เทพเองก็แบ่งได้เป็นสามหกเก้า มีอุปกรณ์เทพระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง”
“แล้วเหนืออุปกรณ์เทพระดับสูงล่ะ ยังมีอุปกรณ์เทพระดับอื่นอีกไหม?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม เพราะเขาเคยได้ยินนางเรียกกระบี่หลิงหลง 7 ว่าอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดมาก่อน
“ไม่มีแล้ว”
หวงเอ้อกล่าวต่อ “อุปกรณ์เทพระดับสูงก็คืออุปกรณ์เทพระดับสูงสุดเท่าที่จักมีได้ ที่ข้าเคยกล่าวว่าอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดนั้นเพราะมันก็คืออุปกรณ์เทพระดับสูงที่ค่อนข้างล้ำค่าเหนืออุปกรณ์เทพระดับสูงอื่นๆ และยังเป็นอะไรที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งการหลอมมากเท่านั้นที่จะหลอมสร้างขึ้นมาได้”
“การหลอมอุปกรณ์เทพระดับสูงนั้นไม่เพียงแต่ต้องอาศัยความชำนาญถึงขีดสุดของผู้หลอม วัตถุดิบที่ใช้ยังหาได้ยากเย็นยิ่ง ที่สำคัญสภาพแวดล้อมและเวลาที่จะหลอมสร้างขึ้นมายังต้องจำเพาะเจาะจง…กล่าวได้ว่า จะคน เวลา สถานที่ วัตถุดิบ ล้วนไม่อาจขาดสิ่งใดได้เลย”
……
คำพูดของหวงเอ้อทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจเรื่องอุปกรณ์เทพระดับสูงเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้นหวงเอ้อก็อธิบายความแตกต่างระหว่างอุปกรณ์เทพระดับต่ำและระดับกลางเพิ่มเติม ทำให้ต้วนหลิงเทียนพอจะเข้าใจระดับพลังของพวกมัน
‘ที่แท้อุปกรณ์เทพที่เหล่าจักรพรรดิสวรรค์มักครอบครองกัน และสามารถก่อกำเนิดจิตวิญญาณอุปกรณ์ขึ้นมาได้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์เทพระดับต่ำ น้อยคนนักที่จะมีอุปกรณ์เทพระดับกลางเอาไว้ในครอบครอง’
‘อีกทั้งความแตกต่างระหว่างอุปกรณ์เทพยังมีแค่ 3 ระดับอย่างต่ำกลางสูงเท่านั้น ไม่เหมือนกับอุปกรณ์อมตะที่นอกจากต่ำกลางสูงแล้วยังมีขุนนาง ราชา จอมราชัน และจักรพรรดิ…’
‘ที่สำคัญเลยก็คือมีแต่อุปกรณ์เทพขึ้นไปเท่านั้นถึงจะตั้งครรภ์วิญญาณ และอุบัติมีวิญญาณแรกกำเนิดได้…สำหรับอุปกรณ์อมตะนั้น มีแต่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ ที่สามารถบีบคั้นสิ่งมีชีวิตให้เข้าไปสถิตย์ จนกลายเป็นจิตวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์’
‘จิตวิญญาณแรกกำเนิด กับจิตวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์ ที่แท้กลับมีความแตกต่างกันในเรื่องของการถือกำเนิด…อย่างแรกถือกำเนิดขึ้นมาเอง ส่วนอย่างหลังเป็นการสร้างขึ้นมา’
‘อีกทั้งตัวจิตวิญญาณแรกกำเนิด ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเองของอุปกรณ์เทพ ก็สามารถมอบความช่วยเหลือให้กับผู้ใช้ได้มากกว่าจิตวิญญาณสถิตย์ศาสตราที่ถูกสร้างขึ้นมาของอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิหลายส่วน’
คิดถึงจุดนี้ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หดหยีลงเล็กน้อย ในใจยังคิดถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติขึ้นมา
ภายในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัตินั้น มีจิตวิญญาณสถิตย์เจดีย์อยู่ และนั่นก็คือผู้เฒ่าหั่ว อีกาทองคำ 3 ขาที่ถูกจับมาขังเอาไว้ในเจดีย์
‘ยิ่งไปกว่านั้น กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ไร้วิญญาณ แม้พลังอานุภาพจะเทียบได้กับอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ…แต่นั่นยังเป็นแค่อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่ไม่มีจิตวิญญาณสถิตย์’
‘อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีจิตวิญญาณสถิตย์ มันทรงพลังเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่ไม่มีวิญญาณสถิตย์มากมาย’
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักถึงความแตกต่างของระดับอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีกับไม่มีวิญญาณ
อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ หากไร้จิตวิญญาณสถิตย์ล่ะก็ พลังอานุภาพของมันจะด้อยกว่าอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีจิตวิญญาณสถิตย์มาก
“ออกมากันแล้ว”
“ในที่สุดพวกมันก็ออกมากันได้เสียที!”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงโพล่งดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ทำให้เขาลืมตาขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
พอมองไปก็เห็นร่าง 2 ที่กำลังก้าวเดินออกมาจากห้องโถง
กล่าวได้ว่า ตอนนี้ในที่สุดก็มีผู้คนมารวมตัวกันครบ 10 คนตามจำนวนห้องโถง
“ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าด้วยที่สามารถผ่านบททดสอบแรกของวังจอมราชันอมตะข้าได้…”
ทันใดนั้นเอง เสียงที่ต้วนหลิงเทียนสงสัยว่าจะเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้พลันดังขึ้นอีกครั้ง “ต่อไปข้าจักมอบเกราะอมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะจำนวน 3 ชิ้นให้เป็นของรางวัล ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าจะแบ่งกันอย่างไรนั้น…ย่อมสุดแล้วแต่พวกเจ้า!”