WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3036
WSSTH ตอนที่ 3,036 : วังจักรพรรดิสวรรค์ จี้เมี่ยเทียน!
เป็นธรรมดาว่าคนที่มองต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉาจนตาแดงก่ำนั้น ไม่ใช่ศิษย์ของนิกายอมตะเป้าผู่ที่ติดตามจางกวงเจิ้งมาด้วยแต่แรก แต่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่เลือกจะเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่…
ท่ามกลางยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเหล่านี้ ไม่มีใครไร้ความมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเอง จิตใต้สำนึกยังสั่งให้พวกมันเชื่อไปโดยไม่รู้ตัวว่า…สาเหตุที่ต้วนหลิงเทียนได้อันดับที่ 2 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณรอบนี้ ล้วนเป็นเพราะอีกฝ่ายโชคดี
หากลองให้พวกมันมีโชคอย่างต้วนหลิงเทียนบ้าง ไหนเลยจะคว้าอันดับที่ 2 มาไม่ได้!
‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ไม่มีทางแข็งแกร่งไปกว่าข้าแน่นอน…แต่ตอนนี้มันกลับได้เหินร่างเคียงข้างรองประมุขจาง อีกทั้งรองประมุขจางยังให้เกียรติมันนัก’
ชายชราคนหนึ่งในชุดสีเทาที่เหินร่างท่ามกลางเหล่ายอดเซียนอมตะ มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉาตาร้อน
ตัวมันได้ฝึกปรือจนบรรลุถึงด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แถมยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น 2 ประการ พลังฝีมือของมันนับว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของบรรดายอดเซียนอมตะที่เข้าไปในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้
แต่ตอนนี้มันกลับรั้งอยู่ในอันดับที่ 9 เท่านั้น
มันยังเป็น 1 ใน 10 อันดับแรกอีกคนนอกจากต้วนหลิงเทียน ที่เลือกจะเข้าร่วมกับนิกายอมตะเป้าผู่
และเหตุไฉนที่มันเลือกจะเข้าร่วมกับนิกายอมตะเป้าผู่นั้น เพราะมันทราบว่านิกายอมตะเป้าผู่มีวรยุทธ์อมตะรวมถึงเวทย์พลังระดับราชาอันแฝงเร้นไปด้วยกฏแห่งไฟเหนือกว่า 3 นิกาย 2 ตระกูลที่เหลือ…
เมื่อมันเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ มันย่อมมีโอกาสได้ฝึกปรือวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับราชาเหล่านั้น ซึ่งนั่นจะส่งผลให้มันมีโอกาสได้ทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟประการอื่นๆ!
สำหรับเรื่องที่จะเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มันไม่ได้หวังเอาไว้เลย!
เพราะตัวมันหาใช่ผู้ที่จะนับเป็นรุ่นเยาว์ได้อีกต่อไป และเกณฑ์การรับอัจฉริยะจาก 3 นิกาย 2 ตระกูลของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น จะรับเพียงอัจฉริยะมากพรสวรรค์ที่มีอายุไม่ถึง 300 ปีเท่านั้น!
ดังนั้นวัตถุประสงค์หลักที่ มันเลือกจะเข้าร่วมกับนิกายอมตะเป้าผู่ ก็คือสร้างผลงานจนมีความดีความชอบมากพอจะได้รับวรยุทธ์อมตะและเวท์พลังระดับราชาที่แฝงเร้นไปด้วยกฏแห่งไฟเหล่านั้น
ทว่ายังไม่ทันไปถึงนิกายอมตะเป้าผู่ด้วยซ้ำ พอเห็นชายหนุ่มที่อายุไม่ถึง 100 ปีได้เหินร่างเคียงข้างกับรองประมุขนิกายอมตะเป้าผู่อย่างจางกวงเจิ้ง ส่วนมันทำได้แค่เหินร่างติดตามอยู่กับเหล่าศิษย์ทั่วไป จึงทำให้มันรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้องอยู่บ้าง
ชายชราชุดเทาผู้นี้ ได้ลืมเลือนไปหมดสิ้นแล้ว…ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นบ้างในวังจอมราชันอมตะของแดนสวรรค์ใต้โบราณ หาไม่แล้วมันคงไม่กล้าคิดอิจฉาต้วนหลิงเทียนแบบนี้แน่!
เพราะในตอนนั้น มันได้เห็นกับตา ว่าหลี่หยวนที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ 2 ประการเหมือนกับมันตกตายในกระบี่เดียว!
อีกทั้งความลึกซึ้งงประการที่ 2 ของกฏแห่งไฟอย่าง ‘ปะทุ’ ที่หลี่หยวนเข้าใจนั้น ยังทรงพลังกว่าความลึกซึ้งประการที่ 2 ของกฏแห่งไฟที่มันเข้าใจเสียอีก ทำให้พูดได้ว่าพลังความแข็งแกร่งของมันนั้นยังเป็นรองหลี่หยวน!
ในวินาทีที่มันเห็นว่าหลี่หยวนจบชีวิตด้วหนึ่งกระบี่ของต้วนหลิงเทียน แม้มันจะอิจฉาต้วนหลิงเทียนที่ได้ครอบครองแท่นศิลาสูงสุดของหุบเขากาลเวลา แต่มันก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อสู้แย่งชิงด้วยซ้ำ!
อย่างไรก็ตามความทรงจำทั้งหมด พอมันกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณ ก็ถูกลบเลือนหายไปสิ้น…
ด้วยเหตุนี้ทำให้มันคิดไปว่า ต้วนหลิงเทียนที่คว้าอันดับ 2 มาได้ก็แค่โชคดีเท่านั้น!
เป็นธรรมดาว่าในปัจจุบันไม่ได้มีแต่ชายชราชุดเทาที่นั้นที่กำลังอิจฉาต้วนหลิงเทียนอยู่ ยังมียอดเซียนอมตะขั้นสูงุสดอีกมากมายที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแล้ว รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น อายุของมันไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำแต่ดันได้อันดับที่ 2…ในสายตาข้าพลังฝีมือมันคงไม่เท่าไหร่ แต่โชคของมันนับว่าท้าทายสวรรค์แล้วจริงๆ!!”
“ข้าก็คิดเหมือนกัน ลำพังแค่จะบรรลุยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดโดยอายุไม่ถึงร้อยปีก็ยากแล้ว เช่นนั้นมันมีหรือจะเข้าใจความลึกซึ้งแห่งกฏอันใดได้?”
“หึ! ฟ้าช่างไร้ความเป็นธรรมนัก…ลองข้ามีโชคเหมือนมันบ้างเถอะ นอกจากจะได้อันดับเหนือกว่ามันแล้ว การเก็บเกี่ยวด้านในแดนสวรรค์ใต้โบราณไม่พ้นต้องมากกว่ามันหลายเท่า!!”
…
เหล่ายอดเซียนอมตะที่ค่อนข้างมีพลังฝีมือกล้าแข็งพอตัว มองแผ่นหลังงต้วนหลิงเทียนด้วยยความอิจฉาไม่พอ ยังเริ่มกระซิบกระซาบออกมาด้วยความไม่พอใจ ต่างรู้สึกว่า…ที่ต้วนหลิงเทียนได้อันดับ 2 มาแบบนี้ ไม่พ้นเพราะมีโชคถ่ายเดียว!!
แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ไม่คิดแบบนั้น
อย่างเช่นเชวียจิงอวี่
เชวียจิงอวี่ องค์ชายรองของประเทศหนันฉี่ ตัวมันได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งสายฟ้าอย่าง ‘ความหมายแห่งสายฟ้า’ แล้ว พลังฝีมือของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าคนที่กำลังซุบซิบนินทาสักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตามสายตาที่มันใช้จับจ้องมองไปยังแผ่นหลังของต้วนหลิงเทียน หาได้มีความดูแคลนแม้แต่ส่วนเดียว
ต้องทราบด้วยว่าก่อนที่มันจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณ มันได้ประมือกับต้วนหลิงเทียนแล้วรอบหนึ่ง จึงรู้ดีว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนนั้นร้ายกาจปานใด!
‘ไอ้พวกโง่ทั้งหลายช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ลองกล่าววาจาผายลมแบบนั้นออกมาได้ เกรงว่าพวกมันคงยังไม่รู้สินะ ว่าต้วนหลิงเทียนนั่นถึงจะยังอายุไม่ถึงร้อยปี แต่ได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว?’
เช่นนั้นพอเชวียจิงอวี่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านี้ มันจึงรู้สึกว่าตัวเองช่างฉลาดล้ำเหนือกว่าตัวโง่งมทั้งหลายนัก
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระจริงๆหรือ?”
จางกวงเจิ้งที่คุยสัพเพเหระกับต้วนหลิงเทียนระหว่างเดินทางไปเรื่อย ในที่สุดก็เอ่ยคำถามที่มันอยากรู้มานานออกมา
“ใช่”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของจางกวงเจิ้ง ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับเป็นธรรมดา
เพราะในระนาบเทวโลกแห่งนี้ เขาไร้ขุมกำลังใดสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งเท่านั้น
และต่อให้ขุมกำลังที่เขาเคยไปเป็นอาคันตุกะทรงเกียรติอย่างนิกายอมตะไท่อี เดินทางออกมาจากพื้นที่ชายแดนจนมาถึงภาคกลาง ก็ยังไม่อาจนับเป็นขุมกำลังเบื้องหลังเขาได้ เพราะอีกฝ่ายไม่มีอะไรที่จะสามารถสนับสนุนเขาได้เลย เช่นนั้นต่อให้มาจริง ในสายตาคนอื่นๆเขาก็ไม่ต่างอะไรจากผู้ฝึกตนอิสระอยู่ดี…
“ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระ เจ้ากลับบรรลุถึงความแข็งแกร่งระดับนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ ข้าล่ะยอมรับนับถือเจ้ายิ่งนัก…อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้ามิใช่ผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดอีกแล้ว แต่เจ้าจักเป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่เรา!!”
ถึงแม้จางกวงเจิ้งไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่เรื่องต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ แต่ในเมื่อเจ้าตัวอย่างต้วนหลิงเทียนตอบมาแบบนี้ มันก็มีแต่ต้องเออออตามไป และไม่คิดจะเซ้าซี้อะไรให้มากความ
“ศิษย์ที่แท้จริงรึ?”
ต้วนหลิงเทียนทั้งแปลกใจทั้งสงสัยไม่น้อย “แล้วศิษย์ที่แท้จริงมันคืออะไรหรือ?”
“ศิษย์ที่แท้จริงของงนิกายอมตะเป้าผู่เรา ก็คือศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในนิกายอมตะเป้าผู่เรา…และไม่ว่าจะอย่างไร ศิษย์ที่แท้จริงของพวกเราจักมีเพียงแค่ 10 คนเท่านั้น”
“เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ศิษย์ที่แท้จริงคนหนึ่งของพวกเราโชคร้ายตายตกขณะเดินทางออกไปทำภารกิจนอกนิกาย…ทำให้ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงยังคงเว้นว่างไว้ตำแหน่งหนึ่ง และยังมิได้ทำการตัดสินใจว่าเลือกผู้ใดขึ้นมาเป็นศิษย์ที่แท้จริงคนใหม่”
“เจ้าที่เลือกเข้าร่วมกับนิกาอมตะเป้าผู่เรามาอย่างได้จังหวะพอดี ท่านประมุขจึงตั้งใจให้เจ้าดำรงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงดังกล่าว”
จางกวงเจิ้งเอ่ย
ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็รู้สึกเอะใจเรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยถามออกไปว่า “แล้วศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่ มีความแตกต่างจากศิษย์หลักของนิกายอมตะเหอฮวนหรือไม่?”
“ความแตกต่างแน่นอนว่าย่อมมี”
จางกวงเจิ้งกล่าวตอบ “อย่างแรกเลย ศิษย์ที่แท้จริงของพวกเราจะมีอยู่แค่ 10 คนเท่านั้น ส่วนศิษย์หลักของนิกายอมตะเหอฮวนจะมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 100 คน…”
พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำตอบดังกล่าวว เขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งกับข้อเสนอของประมุข 3 นิกายอมตะเหอฮวนอย่างปี้ไห่หมิงเฟิงก่อนหน้าอยู่บ้าง และรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างตระหนี่ถี่เหนียวเหลือเกิน…
ก่อนหน้านี้ตอนปี้ไห่หมิงเฟิงยื่นขอเสนอให้เขา อีกฝ่ายบอกว่าหากเขาเข้าร่วมกับนิกายอมตะเหอฮวน อีกฝ่ายจะมอบตำแหน่งศิษย์หลักให้เขา…
ทว่านิกายอมตะเหอฮวนนั้นมีศิษย์หลักทั้งสิ้น 100 คน เช่นนั้นต่อให้ปฏิบัติดีกับเขาเพียงไหน แต่ยังจะดีได้สักเท่าไหร่เชียว?
“ในเมื่อนิกายอมตะเป้าผู่มีศิษย์ที่แท้จริงน้อยขนาดนี้ ย่อมมีสิทธิพิเศษมากมายใช่หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“เป็นเช่นนั้น”
จางกวงเจิ้งพยักหน้า “เมื่อเป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่เราแล้ว ประการแรกเลยย่อมสามารถเลือกวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับราชาที่นิกายอมตะเป้าผู่เรามีไปฝึกปรือได้ตามใจชอบ”
“และเป็นธรรมดาว่ายังมีสิทธิพิเศษอย่างอื่นอีกมาก…เรื่องเหล่านี้พอเจ้าไปถึงนิกาย ก็ไม่สายเกินกว่าที่เจ้าจะได้รู้”
จางกวงเจิ้งกล่าว
“ว่าแต่ก่อนหน้าที่ท่านบอกข้ามา ไม่ใช่ว่าท่านจะให้ข้าเป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกายหรือไร ไฉนให้ข้ากลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงแทนซะเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำคำสัญญาที่จางกวงเจิ้งกล่าวเอาไว้ได้ชัดเจน จึงหยีตากล่าวถามออกไปด้วยสายตาแหลมคม
“กล่าวไปแล้ว หากเจ้าได้เป็นศิษย์ที่แท้จริง สิ่งที่เจ้าจะได้รับก็ไม่ได้ด้อยกว่าเป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขเลย กระทั่งบางเรื่องเจ้ายังมีอิสระมากกว่าด้วยซ้ำ หากเจ้าไปถามศิษย์นนิกายอมตะเป้าผู่ ไม่ว่าใครก็เลือกเป็นศิษย์ที่แท้จริงมากกว่าศิษย์สายตรงท่านประมุขทั้งนั้น เพราะกระทั่งศิษย์สายตรงท่านประมุขก็ไม่แน่ว่าจะได้เป็นศิษย์ที่แท้จริง!”
จางกวงเจิ้งกล่าวถึงจุดนี้ก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยเอ่ยออกเสียงหนักต่อว่า “ข้าขอบอกต่อเจ้าตามตรง อันที่จริงข้ายังคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเจ้าจะได้รับอนุญาติให้กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงทันทีแบบนี้ แต่ทั้งหมดเป็นเพราะท่านประมุขออกปากมาระหว่างที่ข้าติดต่อไปเรื่องที่เจ้าขอสมบัติในคลังเพิ่ม 3 ชิ้นนั่นล่ะ…”
จางกวงเจิ้งกล่าวจบก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็เข้าใจ และยอมรับได้ทันที ในเมื่อมันไม่ได้ด้อยกว่าและมีอิสระมากกว่า ก็นับว่าถูกใจเขาพอดี…
…
ระนาบเทวโลกนั้น มีทั้งสิ้นเก้าเก้า 81 ระนาบ
และระนาบเทวโลกแต่ละระนาบ จะมีสถานที่ๆเรียกว่า วังจักรพรรดิสวรรค์ดำรงอยู่ ซึ่งเป็นสถานที่พักอาศัยและบ่มเพาะของตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์
ขณะเดียวกัน ทุกผู้คนในระนาบเทวโลกนั้นๆยังยอมรับว่า นี่คือสถานที่ตั้งขุมกำลังที่ทรงพลังและมีอำนาจสูงสุดของระนาบเทวโลกหากไม่นับรวมวิหารเฟิงฮ่าว
ณ วังจักรพรรดิสวรรค์ จี้เมี่ยเทียน
เนื่องจากอดีตจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนอย่างฟงชิงหยาง ถูกไล่ล่าสังหารโดยข้ารับใช้ของอวิ๋นชิงเหยียน จนต้องหนีตายเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลกทั้งมวล ทำให้เหล่าจักรพรรดิอมตะทั้งหลายฉวยโอกาสที่ตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ว่างเว้น ต่อสู้ช่วงชิงเพื่อขึ้นแท่นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ของจี่เมี่ยเทียน
สุดท้ายก็เป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศสมญานาม มัชฌิมผกผัน ที่มีชัยเหนือจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศสมญานามทั้งมวล ขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์องค์ใหม่!
ฟุ่บบบ!
ดั่งสายลมกรรโชกแรงหอบหนึ่งพัดแผ่น จากนั้นเหนือน่านฟ้าอันมืดมิดยามรัตติกาลของวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมาปานภูตผี
“เฉินชิวปั๋ว…”
และทันทีที่ร่างดังกล่าวปรากฏตัวขึ้นมา เสียงอันเฉยชาไร้แยแสหนึ่งคล้ายมีเวทมนตร์ ก็ดังก้องไปทั่ววังจักรพรรดิสวรรค์ ให้ทุกผู้คนในวังด้านล่างได้ยินกันถ้วนหน้าไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด หรือแม้จะมีค่ายกลปิดกั้นเสียงกางไว้กี่ชั้นก็ตามที
“เสียงนี่มัน…เป็นผู้ใดกัน!?”
“เป็นผู้ใดกล้าเอ่ยพระนามองค์จักรพรรดิสวรรค์ห้วนๆกัน!?”
“ใช่คิดกบฏหรือไม่!?”
…
เมื่อเสียงอันไร้แยแสดังกล่าวกังวาลก้องไปทั่ววังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ทุกคนที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง เพราะผู้ที่มานั้น กลับกล้าเอ่ยชื่อแซ่ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ออกมาตรงๆ!
เฉินชิวปั๋ว นั้นเป็นชื่อแซ่ที่แท้จริงของจักรพรรดิอมตะมัชฌิมผกผัน ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนคนปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามแม้ชื่อแซ่ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนคนใหม่ จะเป็นที่ล่วงรู้ของทุกคน แต่ก็หามีผู้ใดหาญกล้าเรียกชื่อแซ่ที่แท้จริงเช่นนี้ออกมาตรงๆไม่ เพราะนั่นประหนึ่งการดูหมิ่นจักรพรรดิสวรรค์!
“เป็นผู้ใดหาญกล้าเรียกชื่อองค์จักรพรรดิสวรรค์ตรงๆ!?”
หลังจากนั้น ก็ปรากฏร่างกำยำสูงใหญ่หนึ่งทะยานขึ้นมาจากวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ร่างใหญ่มองไปประหนึ่งย่ำอากาศขึ้นฟ้ามาทีละก้าวๆ หากแต่กลับบรรลุถึงต้นเสียงในพริบตา!
“ข้าเอง”
ชายหนุ่มในชุดขาว รูปร่างสมส่วนหน้าตาหล่อเหลาแลดูอ่อนวัยหากแต่น่าเกรงขาม เหลือบมองผู้ที่พึ่งเหินร่างขึ้นมาพลางเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ท่าน…”
ร่างสูงใหญ่แลดูบึกบึนกำยำ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราเฟิ้มปานโจรป่า เส้นผมหยิกหยอยปานรังนกโดนพายุ พอเห็นชายหนุ่มชุดขาวเบื้องหน้าชัดถนัดตา ลุกตาดุร้ายของมันก็หดหยีลง ใบหน้าพลันฉายชัดถึงความประหลาดใจทั้งเหลือเชื่อ!!
“ตะ…ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์!!”
วินาทีต่อมา ชายร่างกำยิงผมหยิกแลดูประหนึ่งคนเถื่อน บัดนี้สองตาเริ่มแดงก่ำ จากนั้นปรากฏหยาดน้ำใสๆสองสายไหลรินออกมารดแก้ม คล้ายในร่างอันดุร้ายดิบเถื่อนนี้…ที่แท้หัวจิตหัวใจกลับเป็นสตรีน้อยขี้แงนางหนึ่ง!
“เจ้าบ้านี่…”
ชายหนุ่มชุดขาวพอเห็นอาการขี้แยของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลกขบขันอยู่บ้าง กล่าวแซวออกมาด้วยน้ำเสียงหัวร่อ “อะไร ไม่ใช่ตอนนี้เจ้ารับใช้เฉินชิวปั๋วอยู่หรือไร? แถมเมื่อครู่ยังดุร้ายห้าวหาญปานจะออกหน้าเข่นฆ่าศัตรูเพื่อเฉินชิวปั๋วให้วอดวายมิใช่รึ?”
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ขอท่านอย่าได้ล้อข้าน้อยเล่นเลย…เหตุผลที่ข้าน้อยยังไม่ไปจากวังจักรพรรดิสวรรค์มิใช่ว่าเพราะลูกแก้ววิญญาณของท่านยังอยู่ดีหรอกหรือ? ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยการกลับมาของท่านเสมอ…”
ชายหนวดเคราเฟิ้มผมหยอกทรงโจร ยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาพลางกล่าวออกด้วยรอยยิ้มขื่นขม
จากนั้น ชายร่างกำยำดังกล่าวคล้ายเอะใจอะไรขึ้นมา จึงเอ่นถามออกไปด้วยสงสัย “ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ไฉนข้าฟังแล้ว…เสียงของท่านเหมือนมันต่ำลงเล่า? หากเป็นเสียงเดิมของท่าน ต่อให้ข้าหูหนวกข้ายังจำได้!!”
“นี่เป็นเพียงร่างแฝดจากกฏแห่งดินของข้า”
ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยเสียงเบา
พอได้ยินวาจาตอบคำดังกล่าว ลูกตาของชายร่างใหญ่ก็หดเล็กลงโดยพลัน ใบหน้ายังฉายชัดถึงความตกตะลึง “ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ท่าน…ท่านทะลวงผ่านแล้วหรือ!?”