WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3038
WSSTH ตอนที่ 3,038 : เจิ้งหงอี้
“ขอใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์โปรดวางใจ พวกเรามิมีวันแพร่งพรายเรื่องราวออกไปเด็ดขาด”
ข้ารับใช้เก่าของฟงชิงหยางนำโดยเมิ่งหลัว หลังสังเกตเห็นแววตาแฝงความนัย ก็เร่งขานรับออกมาเป็นมั่นเหมาะ
ขณะเดียวกันพอพวกมันย้อนนึกฉากเรื่องราวการลงมือสังหารเมื่อครู่ พวกมันก็อดตะลึงไม่ได้
ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมัน หลังบรรลุขอบเขตเทพเจ้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะสามารถสังหารเฉินชิวปั๋ว จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้ง่ายดาย! ทั้งๆที่อาศัยร่างแฝดของกฏแห่งดินเท่านั้น!!
ต้องทราบด้วยว่าเฉินชิวปั๋วที่มาดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนแทนนั้น จะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานาม และมีชื่อเสียงโด่งดังในจี้เมี่ยเทียนแห่งนี้อย่างยิ่ง ก่อนใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมันจะกลับมา พลังฝีมือของเฉินชิวปั๋วเรียกว่าแกร่งกล้าสูงสุด ไม่เป็นสองรองผู้ใดในจี้เมี่ยเทียน!!
และหากพวกมันจดจำไม่ผิดล่ะก็
ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมัน สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดหาใช่กฏแห่งดินไม่ แต่เป็นกฏแห่งงการทำลายล้างต่างหาก!
ไม่นานเรื่องการต่อสู้ชิงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์เหนือน่านฟ้าวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนก็เริ่มแพร่กระจายออกไป แน่นอนว่าไม่มีเรื่องที่ฟงชิงหยางบรรลุขอบเขตเทพเจ้าแล้ว
จักรพรรดิสวรรค์องค์เก่าอย่าง ฟงงชิงหยาง หรือที่รู้จักกันในนามจักรพรรดิอมตะผลาญฟ้า ได้หวนกลับมาจากนรกอสุรา 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก สามารถเอาชนะเฉินชิวปั๋ว จักรพรรดิอมตะมัชฌิมผกผัน กระทั่งสังหารอีกฝ่ายตกตายคาที่ ชิงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์กลับมาได้สำเร็จ!
เมื่อเรื่องราวดังกล่าวแพร่กระจายออกไป ก็ทำให้เหล่าจักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลายเริ่มอยู่ไม่สุข แต่ละคนตกใจกับข่าวเรื่องราวดังกล่าวไม่น้อย
ขณะเดียวกันเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ผู้ที่รับทราบเรื่องราวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีบางคนที่ตระหนักเรื่องราวใดได้บางอย่าง
“จักรพรรดิอมตะผลาญฟ้ากลับมาคราวนี้ช่างทรงพลังนัก ถึงกับเข่นฆ่าจักรพรรดิอมตะมัชฌมิผกผัน เฉินชิวปั๋ว ผู้นั้นได้ทันที…ดูเหมือนการเข้าสู่นรกอสุราครานี้จะได้พบพานโชควาสนาบางประการ ทำให้พลังฝีมือพัฒนากล้าแข็งขึ้น หาไม่แล้วคงไม่อาจฆ่าเฉินชิวปั๋วผู้นั้นได้”
“แม้ในกาลก่อนเฉินชิวปั๋วจะอ่อนด้อยกว่าฟงชิงงหยางมาก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเฉินชิวปั๋วบังเกิดการรู้แจ้งจนพลังฝีมือยกระดับไปเทียบได้กับฟงชิงหยางในเวลานั้นที่ใช้อุปกรณ์เทพ…แต่กระนั้นมันยังถูกฆ่าตาย เห็นได้ชัดว่าพลังฝีมือของฟงชิงหยางได้เพิ่มพูนขึ้นไปไม่น้อย! ต้องทราบด้วยว่าบัดนี้กระบี่ผลาญฟ้าอาศัย ไร้ซึ่งจิตวิญญาณกระบี่แล้ว!!”
“ด้วยพลังฝีมือของฟงชิงหยางตอนนี้ เกรงว่าอันดับในรายนามจักรพรรดิสวรรค์ ให้พูดว่าติดอยู่ใน 10 อันดับแรกแล้วก็ไม่เกินเลย!”
…
การสังหารเฉินชิวปั๋วของฟงชิงหยาง สร้างความตกตะลึงให้เหล่าจักรพรรดิอมตะของจี้เมี่ยเทียนไม่น้อย บางคนยังรู้สึกว่าความแข็งแกร่งของฟงชิงหยางตอนนี้ มากพอจะติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามจักรพรรดิสวรรค์แล้ว
‘รายนามจักรพรรดิสวรรค์’ ที่ว่า ก็คือการจัดอันดับพลังฝีมือของจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 81 องค์
พลังฝีมือของฟงชิหยางนั้น เดิมทีรั้งอยู่ในอันดับที่ 18 ของรายนามจักรพรรดิสวรรค์ และนี่ยังเป็นเพราะมีอุปกรณ์เทพที่กำเนิดจิตวิญญาณไว้ในถือครอง
หากไร้อุปกรณ์เทพ น่ากลัวอันดับคงไม่สูงถึงขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้นอุปกรณ์เทพที่ฟงชิงหยางถือครอง ยังจัดเป็นอุปกรณ์เทพที่ค่อนข้างทรงพลังของระนาบเทวโลก และในอดีตกาลมันเคยถูกเรียกว่าอุปกรณ์เทพอันดับ 1 ของระนาบเทวโลกอีกด้วย
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ฟงชิงหยางที่สามารถเอาชนะจักรพรรดิสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนได้ จนได้รับการยอมรับจากจิตวิญญาณกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ จากนั้นจึงได้ถือครองกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญ พลังความแข็งแกร่งเลยเพิ่มพูนขึ้นไปอีกขั้น
และฟงชิงหยางก็ไม่ได้ไปทดสอบที่วิหารเฟิงฮ่าวแต่อย่างไร ทว่าตามกฏของวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว หากคิดจะมีสมญานามเป็นของตัวเอง นอกจากไปเข้าร่วมการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่ง…
นั่นก็คือสยบปราบจักรพรรดิสวรรค์องค์ใดองค์หนึ่ง และแทนที่อีกฝ่ายกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์คนใหม่
ถึงตอนนั้นวิหารเฟิงฮ่าวก็จะทำการมอบสมญานามให้
และสมญานามผลาญฟ้า ของฟงชิงหยางก็ได้มาด้วยสาเหตุนี้
จึงกล่าวได้ว่าสมญานาม ‘ผลาญฟ้า’ นั้น ฟงชิงหยางไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่เป็นวิหารเฟิงฮ่าวตั้งให้ และคำผลาญฟ้าที่ว่าก็มาจากกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญที่ยอมรับฟงชิงหยางเป็นเจ้านายคนใหม่นั่นเอง
จักรพรรดิอมตะทั้งหลายของจี้เมี่ยเทียนไม่ได้ล่วงรู้เรื่องที่ฟงชิงหยางทะลวงถึงขอบเขตเทพเจ้าแล้วเลย หาไม่แล้วพวกมันคงไม่คาดเดาว่าพลังฝีมือฟงชิงหยางเพียงรั้งอยู่ใน 10 อันดับแรกของรายนามจักรพรรดิสวรรค์หรอก
ต้องทราบด้วยว่าในรายนามจักรพรรดิสวรรค์นั้น มีจักรพรรดิสวรรค์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่ทะลวงถึงขอบเขตเทพเจ้าได้สำเร็จ แม้แต่อันดับที่ 2 กับ 3 ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์ก็ยังเป็นแค่ครึ่งเทพเท่านั้น
ด้วยเพราะฟงชิงหยางจงใจปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ จึงไม่มีใครล่วงรู้ว่าตนได้บรรลุขอบเขตเทพเจ้าแล้ว นอกจากเหล่าข้ารับใช้คนสนิท
ส่วนเหตุผลที่ไฉนฟงชิงหยางจึงต้องปิดบังเรื่องนี้ เกรงว่าคงมีเพียงแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ สาเหตุที่ทำให้ท่านเลือกจะปิดบังเรื่องที่ทะลวงถึงขอบเขตเทพเจ้าแล้ว ใช่เป็นเพราะวิหารเฟิงฮ่าวหรือไม่?”
ณ สถานที่แห่งหนึ่งของวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน บนเกาะลอยส่วนตัว ปรากฏร่างเมิ่งหลัวยืนอยู่หน้ากระท่อมไม้เก่าๆหลังหนึ่ง กำลังเอ่ยถามชายหนุ่มชุดขาวที่นั่งบนโต๊ะหินอ่อนเรียบง่ายด้านหน้ากระท่อมไม้
“เมิ่งหลัวเรื่องบางเรื่องเจ้ารู้อยู่ในใจก็พอ…อย่าได้พูดมันออกมา”
ชายหนุ่มชุดขาวหรือก็คือฟงชิงหยางที่หวนคืนสู่ฐานะจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนเรียบร้อยแล้ว เงยหน้าขึ้นมาเหลือบมองเมิ่งหลัวพลางเอ่ยออกเสียงเบา
“ขอรับ”
ได้ยินดังนั้น เมิ่งหลัวก็เงียบไปทันที พอเอ่ยออกอีกครั้ง ก็เป็นการถามเปลี่ยนเรื่อง “ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ท่านหลบหนีออกมาจากนรกอสุราได้อย่างไร?”
novel-lucky
นรกอสุรานั้น เป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามขงระนาบเทวโลกทั้งมวล อีกทั้งระดับความอันตรายของมันยังนับว่าไม่น้อยเลยในบรรดาสถานที่ต้องห้ามทั้ง 7!
เคยมีกลุ่มยอดฝีมืออนุมานกันว่า…
ในบรรดาจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 81 องค์นั้น หากจะมีจักรพรรดิสวรรค์องค์ใดที่สามารถรอดกลับออกมาจากนรกอสุราทั้งที่ยังมีชีวิตได้ ก็เกรงว่าคงมีแต่จักรพรรดิสวรรค์ที่รั้งอยู่ใน 3 อันดับแรกของรายนามจักรพรรดิสวรรค์เท่านั้น
และต้องทราบด้วยว่าจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 3 องค์นั้น หนึ่งบรรลุถึงขอบเขตเทพเจ้าแล้ว อีก 2 คนก็บรรลุถึงครึ่งก้าวเทพ!
“กล่าวไปตัวข้าถือว่ายังไม่ได้ออกจากนรกอสุรา”
ฟงชิงหยางกล่าวคำด้วยน้ำเสียงสงบ “ร่างหลักของข้ายังคงติดอยู่ในนรกอสุรา…ตอนนี้มีเพียงร่างแฝดแห่งกฏทำลายล้างกับร่างแฝดของกฏแห่งดินเท่านั้นที่ออกมา”
“จะอย่างไรก็ตามตัวข้านับว่าโชคดีนัก…หาไม่แล้วข้าคงตกตายตั้งแต่วันแรกๆที่เข้าไป”
กล่าวถึงประโยคท้าย แม้น้ำเสียงของฟงชิงหยางจะฟังดูสงบ แต่เมิ่งหลัวที่ติดตามรับใช้มานานย่อมสัมผัสได้ว่านี่คือการพยายามทำให้สงบ ในใจนั้นเห็นชัดว่าปั่นป่วนหวาดกลัวไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นเมิ่งหลัวก็ทราบดี ว่าต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตเทพเจ้า ก็สามารถตกตายในนรกอสุราได้ง่ายๆ
หาไม่แล้วนายท่านของมันผู้นี้ ไฉนไม่กลับมาด้วยร่างหลัก จะส่งร่างแฝดแห่งกฏกลับออกมาก่อนทำไม ไยต้องปล่อยให้ร่างหลักติดอยู่ในนั้นด้วย?
“นรกอสุรา…น่ากลัวถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
เมิ่งหลัวแตกตื่นไม่น้อย
“น่ากลัวกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก”
น้ำเสียงของฟงชิงหยางแม้จะยังคงสงบ หากแต่มือพลันกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว กลางฝ่ามือยังปรากฏเหงื่อเย็นผุดซึม
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แล้ว…ร่างแฝดของกฏทำลายล้างท่านอยู่ที่ใดหรือ?”
เมิ่งหลัวเอ่ยถาม
มันยังจำได้ว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของมันคนนี้ ก่อนที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินทั้งหมด อีกฝ่ายได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏทำลายล้างหมดสิ้นแล้ว เมื่อทะลวงถึงขอบเขตเทพเจ้าแล้วเช่นนี้ มันจึงเชื่อว่าร่างแฝดแห่งกฏร่างแรกที่ควบสร้างขึ้นมา ไม่พ้นต้องเป็นร่างแฝดของกฏทำลายล้าง
“ข้าส่งไปจัดการธุระบางอย่าง”
ฟงชิงหยางกล่าว
…
ณ หลิงหลัวเทียน
แดนสวรรค์ใต้ เขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว
นิกายอมตะเป้าผู่นั้น เป็น 1 ใน 3 นิกาย 2 ตระกูลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคฤหาสน์เฉวียนโยว ยิ่งไปกว่านั้นยังครอบครองสายแร่ผลึกอมตะระดับกลางมากมายหลายแห่ง
สำหรับสถานที่ตั้งของนิกายอมตะเป้าผู่นั้น ก็อยู่บริเวณกึ่งกลางของสายแร่ผลึกอมตะระดับกลางทั้งหลาย ปรากฏค่ายกลรวมวิญญาณขนาดมโหราฬจัดตั้งเอาไว้ ชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินจากสายแร่ผลึกอมตะระดับกลางเหล่านั้นมาเติมเต็มบรรยากาศของนิกายอมตะเป้าผู่
ด้วยเหตุนี้พลังวิญญาณฟ้าดินในเขตนิกายอมตะเป้าผู่จึงนับว่าหนาแน่นบริบูรณ์ เหนือล้ำกว่าโลกภายนอกมาก เรียกว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้ฝึกตนแถวนั้นเลยทีเดียว
เป็นธรรมดาว่าไม่ใช่ทุกที่ของนิกายอมตะเป้าผู่จะมีความหนาแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินเท่ากันทั้งหมด
พลังวิญญาณฟ้าดินบางสถานที่นั้น มันหนาแน่นทั้งเข้มข้นสุดที่สถานที่อื่นๆจะเทียบได้ เรียกว่าหนาแน่นกว่ากันถึง 5 เท่าเลยทีเดียว!
“ท่านรองประมุข!”
“ท่านรองประมุข!”
novel-lucky
…
ต้วนหลิงเทียนที่ติดตามจางกวงเจิ้งเดินทางมายังนิกายอมตะเป้าผู่ ในที่สุดก็บรรลุถึงเบื้องหน้านิกายอมตะเป้าผู่เป็นที่เรียบร้อย และทันทีที่เข้าเขตของนิกายอมตะเป้าผู้ ก็ปรากฏร่างศิษย์และอาวุโสลาดตระเวนระวังภัยมากมายเร่งุรดเข้ามาคารวะทักทายจางกวงเจิ้งอย่างนอบน้อม
ขณะเดียวกันสายตาของเหล่าศิษย์และอาวุโสหน่วยลาดตระเวนทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะจับจ้องมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความสงสัย ต่างอยากรู้กันนัก ว่าชายหนุ่มชุดม่วงที่เหินร่างอยู่ข้างกายจางกวงเจิ้งคนนี้เป็นผู้ใดกันแน่
อีกฝ่ายมีฐานะความเป็นมาสูงส่งถึงเพียงใดกัน ถึงได้รับการไว้หน้าจาก จางกวงเจิ้ง รองประมุขนิกาอมตะเป้าผู่ของพวกมันแบบนี้ ถึงกับได้เหินร่างเคียงข้างกันราวกับคนมีฐานะเท่าเทียม
“อาจารย์ลุง!”
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังทักมาแต่ไกล
จากนั้นจากสุดขอบฟ้าไกลตา ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดสีครามคนหนึ่งเหินเข้ามาด้วยความเร็ว ไม่ทันไรก็บรรลุถึงเบื้องหน้าคณะเดินทางของจางกวงเจิ้งแล้ว
และเมื่อมันมาปรากฏตัวเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับจางกวงเจิ้ง มันก็ประสานมือโค้งคารวะจางกวงเจิ้งอย่างเคารพทันที
“หงอี้ อาจารย์เจ้ารู้ว่าพวกเรากลับมาถึงแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นร่างผู้ที่เร่งรุดเข้ามาทักทาย จางกวงเจิ้งก็เอ่ยถามออกไปด้วยรอยยิ้ม
“มิผิด อาจารย์ลุง”
ผู้ที่พึ่งมาพยักหน้ารับ “ท่านอาจารย์บอกให้ข้ามาเชิญอาจารย์ลุงกับศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนไปพบ…ส่วนคนอื่นๆนั้นให้ข้าจัดการพาไปทำเรื่องลงทะเบียนให้”
หลังกล่าวจบคำ ชายหนุ่มชุดครามก็หยุดลงเล็กน้อย และเริ่มมองสำรวจต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างข้างๆจางกวงเจิ้ง “ข้าคิดว่าชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้ก็คือศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนกระมัง?”
ทันทีที่ผู้มาใหม่หันมามองทัก ต้วนหลิงเทียนที่มองสำรวจอีกฝ่ายแต่แรก ก็พบว่าลึกลงไปในแววตาของอีกฝ่ายกลับฉายให้เห็นถึงความอิจฉา
ตอนนี้พออีกฝ่ายทักทายเขาตรงๆ เขาก็พบว่าความอิจฉาของอีกฝ่าย เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความริษยาและความเกลียดชัง!
‘ไอ้เจ้านี่…มันเป็นใครกันอีก? หากจำไม่ผิดข้าว่าข้ากับมันก็พึ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกนี่นา’
‘อิจฉา? มันมาอิจฉาข้าเรื่องอะไร?’
‘แถมแววตาเกลียดชังนั่นมันยังไงกันแน่ ข้าไปทำอะไรให้มันเจ็บแค้นใจหรือ?’
จังหวะนี้ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัยอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม ถึงจะเผชิญกับการทักทายที่ไร้ความจริงใจ เขาก็ยังพยักหน้ารับคำทักออกไปเบาๆ
“ต้วนหลิงเทียน นี่คือเจิ้งหงอี้ เป็นศิษย์คนที่ 3 ของประมุขนิกายเป้าผู่คนปัจจุบัน…เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรารีบไปพบท่านประมุขกันก่อนเถอะ”
จางกวงเจิ้งหันไปมองชวนต้วนหลิงเทียนด้วยรอยิ้ม
ครู่ต่อมามันก็หันกลับไปมองเจิ้งหงอี้ “เอาล่ะหงอี้ คนอื่นๆก็ฝากเจ้าจัดการแล้ว”
“ขอรับอาจารย์ลุง”
เจิ้งหงอี้นั้น พอหันมามองจางกวงเจิ้ง ความอิจฉาและความเกลียดชังในส่วนลึกของแววตามัน ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้จางกวงเจิ้งไม่อาจทราบเรื่องราวใดๆได้เลย
“ศิษย์น้องต้วนหลิงเทียน เจ้านับว่าเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของนิกายอมตะเป้าผู่เราจริงๆ ยังไม่ทันได้ลงทะเบียนเข้าร่วมนิกายแท้ๆ แต่เจ้าก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศิษย์ที่แท้จริงรอไว้แล้ว!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะเหินร่างจากไปพร้อมจางกวงเจิ้ง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเข้าหูเขา
และตอนที่อีกฝ่ายเอ่ยคำว่า ศิษย์ที่แท้จริง น้ำเสียงของอีกฝ่ายก็ทำราวกับกำลังกัดฟันทั้งกำหมัดอยู่
“ศิษย์ที่แท้จริง!?”
และพอเสียงกล่าววาจาประโยคนี้ของเจิ้งหงอี้ดังจบคำ ไม่เพียงแต่ศิษย์และอาวุโสลาดตระเวนที่อยู่ใกล้ๆจะตกใจ กระทั่งศิษย์นิกายอมตะเป้าผู่ที่ติดตามจางกวงเจิ้งไปยังทะเลสาบอวิ๋นเยียนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ และยอดเซียนอมตะที่ติดตามมาเพื่อเข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ ล้วนอดตกตะลึงไปไม่ได้
“ที่คนผู้นั้นพูดมา…หมายความว่า ต้วนหลิงเทียนคนนี้ทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ลงทะเบียนเป็นศิษย์นิกายอมตะเป้าผู่ แต่ก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นศิษย์ที่แท้จริงแล้วงั้นเหรอ!?”
“ศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่ ล้วนได้รับการดูและสนับสนุนอย่างดีเลิศ…ต่อให้เป็นศิษย์สายตรงของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ แต่ดูเหมือนคนที่กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงได้ก็มีอยู่ด้วยกันแค่ 2 คนมิใช่หรือ?”