WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3053
WSSTH ตอนที่ 3,053 : ฮ่วนเอ๋อ?
ห่างออกไปทางตอนเหนือของนิกายอมตะเป้าผู่หลายพันลี้ ภายในป่ารกชัดเขียวขจีแห่งหนึ่ง ปรากฏชายวัยกลางคนร่างผอมในชุดคลุมลมดำลอยตัวอยู่เหนือพื้นดินไม่ถึง 3 ฉื่อ
ชายวัยกลางคนร่างผอมมีสีหน้าซีดเซียว และด้วยความที่มันซูบผอมจนแก้มตอบ ก็ทำให้โหนกแก้มของมันแลดูสะดุดตานัก ตัวแก้มเองยังบุ๋มลง มองคล้ายหัวกระโหลกหุ้มหนังบางๆอย่างไรชอบกล
นอกจากนั้นหากใครตาดีหน่อยจะสังเกตเห็นว่า
บริเวณหน้าอกของชุดคลุมลมดำของมัน ปรากฏสัญลักษณ์รูปกะโหลกไขว้สีแดงเลือดนกปักเอาไว้…
ทันใดนั้นเอง ชายวัยกลางคนคล้ายตระหนักได้ถึงสิ่งใดบางอย่าง คิ้วมันเลิกขึ้นเล็กน้อย
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
พร้อมๆกับสำเนียงแหวกสายลมฉับไวดังขึ้น ปรากฏร่าง 2 ร่างเหินตีคู่กันมาตามแนวยอดไม้ของผืนป่า และพริบตาก็เหินลงมาหยุดยืนเบื้องหน้าชายวัยกลางคน
“เจ้าคือ เจิ้งหงอี้?”
สายตาชายวัยกลางคนจับจ้องมองไปนังร่างชายหนุ่มในบรรดา 2 คนที่พึ่งลุมาถึง พลางถามออกไปอย่างไม่รอช้า
แต่ต้นจนจบมันไม่ได้เหลือบแลสตรีอีกคนที่อยู่ข้างๆชายหนุ่มเลย ทำราวกับนางไม่มีตัวตน!
หากเป็นคนอื่นกล้าไม่เห็นหัวนางแบบนี้ หวังหงคงวีนแตกไปแล้ว…
เพราะสุดท้ายนางไม่เพียงแต่จะเป็นศิษย์ฝ่ายในที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในนิกายอมตะเป้าผู่เท่านั้น แต่นางยังเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่อีกด้วย!
ทว่าต่อหน้าชายวัยกลางคนเบื้องหน้า นางไม่กล้าวางท่าจองหองอวดดีแม้แต่น้อย
ถึงแม้ด่านพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายจะด้อยกว่าปู่ของนางที่เป็นอาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่มาก
หากทว่า ขุมกำลังเบื้องหลังชายวัยกลางคนผู้นี้…เป็นอะไรที่กระทั่งปู่ของนางก็ไม่กล้าตอแยด้วยง่ายๆ!
กะโหลกเลือด…1 ใน 3 องค์กรมือสังหารที่ทรงพลังที่สุดในแดนสวรรค์ใต้! ยังมีชื่อเสียงเลื่องลือในแดนสวรรค์ใต้ไม่น้อย ขุมกำลังในแดนสวรรค์ใต้ที่ไม่กลัวพวกมัน น่ากลัวจะมีแค่ 10 ตระกูลหลัก 5 นิกายใหญ่เท่านั้น!!
นิกายอมตะเป้าผู่จะอย่างไรก็เป็นแค่นิกายอมตะระดับ 7 ถึงแม้จะมีความสัมพันกับคฤหาสน์เฉวียนโยว แต่อย่างไรก็ยังเป็นแค่ 1 ในขุมกำลังระดับ 7 มากมาย ที่อยู่ใต้อาณัติขุมกำลังระดับ 6 อย่างคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น
“ใช่แล้วผู้อาวุโส…ข้าเรียกว่าเจิ้งหงอี้”
เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าชายวัยกลางคนแบบนี้ เจิ้งหงอี้ที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายฆ่าฟันที่เล็ดลอดออกมาจากร่างอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ ก็ทำให้มันบังเกิดอาการหวาดกลัวไม่น้อย จึงรีบตอบคำกลับไปอย่างไม่กล้ารอช้า
“เจ้าติดต่อกะโหลกเลือดผ่านผู้ใด?”
ชายวัยกลางคนเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง และคำถามของมัน เห็นชัดว่าเป็นการยืนยันตัวตนของคนเบื้องหน้า ว่าใช่ผู้ที่ติดต่อกะโหลกเลือดของมันจริงๆรึเปล่า
“นายน้อย เฉินหลี”
เจิ้งหงอี้ตอบ
“กฏ เจ้าสมควรรู้แล้วกระมัง?”
ชายวัยกลางคนหรี่ตาที่มองเจิ้งหงอี้อยู่เล็กน้อย
“ข้ารู้”
เจิ้งหงอี้พยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองสตรีด้านข้าง พลางกล่าว “หวังหง”
“ผู้อาวุโส นี่ค่ามัดจำ”
หวังหงโบกมือเบาๆ ก็ปรากฏชุดเกราะผุดจากความว่างเปล่าตัวหนึ่ง
มองแวบแรก เกราะตัวนี้คล้ายถักทอขึ้นมาจากเถาวัลย์แก้วสีเขียว มันเปล่งประกายเรืองรองแลดูวิจิตรงดงามปานงานศิลปะ
“อืม”
ชายวัยกลางคนรับเกราะเถาวัลย์ดังกล่าวมาทันที หลังจากตรวจสอบเล็กน้อยมันก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะ…”
หลังสะบัดมือเก็บเกราะเถาวัลย์ ชายวัยกลางคนก็หันไปมองเจิ้งหงอี้สลับกับหวังหง พลางเอ่ยออกเสียงเฉย “หากเป้าหมายออกจากนิกายอมตะเป้าผู่เมื่อไหร่ อย่าลืมแจ้งให้ข้าทราบโดยเร็วที่สุด…หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว ข้าจะเรียกเจ้ามาจ่ายอีกครึ่งที่เหลือ”
ชายวัยกลางคนเอ่ยกำชับเจิ้งหงอี้กับหวังหง ขณะเดียวกันก็สะบัดมือเรียกลูกแก้ววิญญาณออกมาส่งมอบให้เจิ้งหงอี้และหวังหงไปคนละลูก เพื่อให้ทั้งคู่ใช้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณติดต่อมันได้สะดวก
หลังจากแลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกันเรียบร้อยแล้ว ชายวัยกลางคนก็จากไปทันที
อีกทั้งร่างคนยังแว่บหายไปต่อหน้าต่อตาเจิ้งหงอี้กับหวังหง ประหนึ่งอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า
สำหรับเรื่องนี้เจิ้งหงอี้กับหวังหงไม่ได้แปลกใจอะไร สุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด และในฐานะที่เป็นถึงนักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด พลังฝีมือของมันยังนับว่าร้ายกาจกว่าบรรดาสุดยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวนัก!
ไม่ต้องกล่าวถึงความสามารถในการทำความเข้าใจของอีกฝ่ายเลย เอาแค่ในองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดนั้น น่ากลัวว่าจะมีวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังให้คนในองค์กรเลือกฝึกปรือมากมาย สุดที่ตัวตนระดับราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวจะเทียบได้
“ว่าแต่ ถ้าเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันไม่คิดออกจากนิกาย ต่อให้เป็นนักฆ่าของกะโหลกเลือด ก็ไม่น่าจะมีโอกาสฆ่ามันได้เลยนี่นา?”
หวังหงหันไปมองถามเจิ้งหงอี้ “เท่าที่ข้ารู้ เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นตั้งแต่ที่มาอยู่นิกายเรา นอกจากไปหอตำราครั้งหนึ่งแล้ว มันก็เก็บตัวอยู่ในลานบนเกาะส่วนตัว ไม่ได้ออกไปไหนเลย”
“หากเจ้าคิดจะล่อให้มันออกไปด้านนอกข้าว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย…แถมหากมีพิรุธอันใดให้มันสงสัย แค่มันติดต่อไปหาอาจารย์เจ้าให้ส่งคนไปคุ้มกันมันก็จบ”
“เพราะถึงตอนนั้น ต่อให้นักฆ่าของกะโหลกเลือดลงมือ ก็ไม่ใช่ว่าจะฆ่ามันได้”
หวังหงเผยความกังวลออกมา
“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้เลย”
ได้ยินความกังวลของหวังหง เจิ้งหงอี้ก็กล่าวด้วยท่าทางไร้แยแส “มัน…อีกไม่นานต้องเร่งรุดออกจากนิกายไปเพียงลำพังแน่นอน!”
“ทำไมเล่า?”
หวังหงเอ่ยถาม
“ความลับ”
เจิ้งหงอี้มองสบตาหวังหงพลางคลี่ยิ้มมีเลศนัยออกมา จากนั้นก็ถีบเท้าเหินร่างขึ้นไปในอากาศ ทิ้งผืนป่าไว้เบื้องล่าง
หวังหงก็ทานร่างติดตามไปทันที หากแต่ใบหน้าของนางยามนี้แลดูอัปลักษณ์ปั้นยากนัก
เจิ้งหงอี้ผู้นี้กลับกล้ามีลับลมคมในกับนาง?
จะอย่างไรนางก็ออกค่าจ้างวานฆ่าต้วนหลิงเทียนครึ่งนึงนะ!
…
3 วันต่อมา
ณ หุบเขาที่พักสำหรับเหล่าศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ที่แท้จริง
“ต้วนหลิงเทียน!”
ชายวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่ง อันเหินร่างลอยล่องอยู่ด้านนอกเกาะที่พักของต้วนหลิงเทียน ได้ส่งเสียงผ่านพลังเรียกหาเขา
ภายในห้องของบ้านลานเล็กๆบนเกาะ ต้วนหลิงเทียนที่กำลังทำความเข้าใจความลึกซึ้งลุกโหมของกฏแห่งไฟอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกหาจากด้านนอก
“ใครมาหาข้ากัน?”
ด้วยความสงสัย ต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้นแล้วเปิดประตูออกไปยังลานบ้าน จากนั้นก็เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งลอยร่างค้างกลางหาวด้านนอกม่านพลัง
คนที่เรียกเขาเมื่อครู่ สมควรเป็นชายวัยกลางคนผู้นี้
“เจ้ามีธุระอะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“พอดีเมื่อครู่ตอนที่ข้ากำลังจะกลับเข้านิกายข้าได้ยินเสียงผ่านพลังหนึ่งรั้งข้าเอาไว้…จากนั้นคนที่ส่งเสียงผ่านพลังนั่นก็ซัดจดหมายให้ข้าฉบับหนึ่ง และบอกให้ข้าเอามาส่งให้ถึงมือเจ้า”
ขณะกล่าว ชายวัยกลางคนก็ใช้พลังหอบหิ้วจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ต้วนหลิงเทียน
และจดหมายฉบับดังกล่าวยังจ่าหน้าซองว่า ‘ถึงต้วนหลิงเทียน’ อย่างน่าดูชม
“วิธีการติดต่อแบบนี้…”
ทันทีที่เห็นซองจดหมายต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เพราะตั้งแต่ที่เขาขึ้นมายังหลิงหลัวเทียนแห่งนี้ นับว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่เจอใครบางคนเลือกจะติดต่อด้วยวิธีโบราณอย่างการส่งจดหมาย
“ใครเป็นคนฝากจดหมายฉบับนี้มาให้ข้าเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยถามชายวัยกลางคนอีกรอบ
“ข้าเองก็ไม่เห็นเหมือนกันว่าเป็นใคร”
ชายวัยกลางคนส่ายหัวไปมา “แต่เท่าที่ข้าฟังจากเสียงแล้ว สมควรเป็นผู้ชาย”
“ผู้ชาย?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว อีกฝ่ายเป็นใครกันแน่?
“ต้วนหลิงเทียนหากไม่มีอะไรแล้ว ข้ากลับบ้านก่อนนะ”
ชายวัยกลางคนกล่าว
“อ่า ขอบคุณเจ้ามาก”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
หลังจากที่ชายวัยกลางคนเหินร่างกลับลงไปด้านล่างแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆเปิดซองจดหมาย ก่อนจะหยิบจดหมายที่พับไว้ด้านในออกมาเพื่อคลี่กางดูเนื้อหาของมัน
และข้อความสองย่อหน้าบนจดหมาย ก็ปรากฏสู่สายตาเขาชัดเจน
วูบ
และพอเห็นข้อความ 2 ย่อหน้าดังกล่าวบนจดหมาย สีหน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที
ย่อหน้าแรกของจดหมาย มีอักษรเขียนไว้แค่ 2 ตัวเท่านั้น
ฮ่วนเอ๋อ!
ส่วนย่อหน้าที่สอง เป็นข้อความยาว 2 บรรทัด
ห่างออกไปแสนลี้ทางทิศตะวันออกของนิกายอมตะเป้าผู่ เหนือทะเลสาบกลางทุ่งหญ้า หากเจ้าให้ใครติดตามเจ้ามาด้วย ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่ได้เจอข้า นางยังต้องตาย!
“ฮ่วนเอ๋อ!!”
ตั้งแต่ที่ฮ่วนเอ๋อหายตัวไป ใจต้วนหลิงเทียนก็ทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วงนางมาโดยตลอด ตอนนี้พอมาเห็นเนื้อความในจดหมายนี่ ความวิตกกังวลก็เอ่อล้นขึ้นมาท่วมใจทันที
“ฮ่วนเอ๋อ…ถูกจับตัวไปงั้นเหรอ?”
“แถมคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้…ยังจะให้ข้าออกไปเจอมันคนเดียว?”
“แค่ดูก็รู้ว่าจุดประสงค์ของมันไม่ใช่เรื่องดีแน่…”
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ฮ่วนเอ๋ออาจจะไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ ต่อให้นางรู้ ด้วยนิสัยของนางไม่มีวันบอกคนร้ายแน่นอน…ที่สำคัญเจ้านี่มันรู้จักฮ่วนเอ๋อได้ยังไง? ที่แท้ฮ่วนเอ๋อใช่อยู่กับมันจริงหรือไม่?”
ถึงแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความวิตกกังวล แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ขาดสติ หลังสูดอากาศเข้าลึกๆคำหนึ่ง เขาก็ไตร่ตรองเรื่องราวได้อย่างใจเย็น
“ไม่ว่าฮ่วนเอ๋อจะอยู่กับมันจริงไหม และไม่ว่าจุดประสงค์ของมันคืออะไรกันแน่ ข้าก็ต้องไปดูให้รู้ชัดอยู่ดี!”
ถึงแม้ว่าฮ่วนเอ๋ออาจจะไม่ได้ถูกอีกฝ่ายจับไปจริง และเรื่องทั้งหมดอาจเป็นแค่อีกฝ่ายต้องการล่อเขาออกไป…
ทว่าเขาไม่กล้าเสี่ยง
เพราพหากอีกฝ่ายจับตัวฮ่วนเอ๋อไว้จริงๆ เกิดเขาไม่ให้ความร่วมมือกับมัน อีกฝ่ายก็มีแนวโน้มว่าจะทำอันตรายต่อฮ่วนเอ๋อ
“แต่การที่มันเลือกให้ข้าไปคนเดียวแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน…คงต้องระวังให้มาก”
เพียงห้วงคิดเดียว ร่างต้วนหลิงเทียนก็เหินออกจากเกาะลอย กระทั่งออกจากหุบเขาที่พักสำหรับศิษ์ฝ่ายในและศิษย์ที่แท้จริง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกทันที
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างออกจากหุบเขา ก็ปรากฏร่างหนึ่งเดินออกมาจากหลังประตู และหยุดยืนในลานที่พักของศิษย์ฝ่ายใน เงยหน้าเหม่อมองไปขอบฟ้าทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนมุ่งไป
“ดีล่ะ”
เจ้าของร่างที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจิ้งหงอี้ ศิษย์สายตรงลำดับ 3 ของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่
และตอนนี้บนใบหน้าเจิ้งหงอี้ ก็ปรากฏรอยยิ้มคลี่กางอย่างสดใส
“จึกๆๆ องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด สมแล้วที่เป็น 1 ใน 3 องค์กรมือสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนสวรรค์ใต้…เดิมทีข้ายังห่วงเรื่องที่จักล่อต้วนหลิงเทียนให้ออกจากนิกายไปคนเดียวได้อย่างไร แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะมีวิธีทำให้ต้วนหลิงเทียนเร่งรุดออกไปเพียงลำพังแบบนี้ได้จริงๆ”
“ไม่ทราบว่านักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดทำได้อย่างไรกันแน่…และในจดหมายนั่น ที่แท้มันเขียนว่าอะไร”
ถึงแม้เจิ้งหงอี้จะรู้ว่าองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดมีวิธีล่อต้วนหลิงเทียนออกไป แต่มันก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอย่างไร
เมื่อสามวันก่อน เหตุไฉนที่มันทำเป็นมีลับลมคมในกับหวังหงนั้น เพราะอันที่จริงมันเองก็ไม่รู้! ทั้งหมดเป็นเฉินหลีติดต่อมาบอกกมันไว้ก่อนแล้ว ว่าทางองค์กรมีวิธีของตัวเอง มันไม่จำเป็นต้องสนใจ!!
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนนั่นยังจะออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ไปเพียงลำพังอย่างว่าง่าย ไม่กล้าขอกำลังเสริมหรือผู้คุมกันอะไรไปด้วยแน่
“มันออกไปแล้ว”
สองตาเจิ้งหงอี้ทอประกายอำมหิตวาบหนึ่ง จากนั้นก็บดขยี้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณ ติดต่อไปยังนักฆ่าขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดที่กำชับให้มันจับตาดูความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนเอาไว้ หากคนออกจากนิกายอมตะเป้าผู่เมื่อไหร่ให้แจ้งไปทันที
ในขณะเดียวกัน
“ติดเบ็ดแล้วรึ…”
ห่างออกไป 50,000 ลี้ทางทิศตะวันออกของนิกายอมตะเป้าผู่ ชายวัยกลางคนร่างผอมในชุดคลุมลมดำที่นั่งหลับตาขัดสมาธิบนศิลาก้อนใหญ่ในป่า อยู่ๆก็ลืมตาขึ้นมา มุมปากยกยิ้มแสยะเหี้ยมเกรียม แลดูชั่วร้ายนัก!