WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3086
เมืองอวี้เฟิงเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของคฤหาสน์เอี้ยนซานโดยตรง กล่าวได้ว่าสถานะของเมืองอวี้เฟิงก็ไม่ต่างอะไรจากเมืองฝูซานในคฤหาสน์เฉวียนโยวเลย
ในเมืองอวี้เฟิงเองก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกเหมือนที่เมืองฝูซาน แถมค่าธรรมเนียมการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายก็มีราคา 10,000 ผลึกอมตะระดับสูงเช่นกัน
ขนาดของเมืองอวี้เฟิง ก็ไม่ได้แตกต่าจากเมืองฝูซานสักเท่าไหร่
ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่เดินเข้าเมืองอวี้เฟิงมาด้วยกัน ก็เห็นขบวนรถม้าและผู้คนเรียงตัวเป็นแถวไม่สิ้นสุด นับว่าบรรยากาศคึกคักมีชีวิตชีวานัก ผู้คนที่กำลังออกจากเมืองอวี้เฟิงเองก็มีไม่น้อย
“พวกเรายังเหลือเวลาอีกเดือนกว่า…เช่นนั้นระหว่างนี้ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ เมืองอวี้เฟิงนี่จะอย่างไรก็พอๆกับเมืองฝูซาน สมควรมีที่พักอันเป็นกิจการของคฤหาสน์เอี้ยนซานคล้ายๆกับอวิ๋นซ่างโหลวที่เมืองฝูซาน ”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวแนะนำ
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย จนพบที่พักอันเป็นกิจการของคฤหาสน์เอี้ยนซานเรียกว่า ต้าอี้เก๋อ
ถึงแม้ลานที่พักจะไม่ได้อยู่บนฟ้าเหมือนอวิ๋นซ่างโหลวของเมืองฝูซาน แต่ความหรูหราทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากอวิ๋นซ่านโหลวแม้แต่น้อย
เรียกว่าลานที่ดีที่สุดของที่นี่ ก็มีคุณภาพไม่ต่างอะไรกับลานชั้นเทียนของอวิ๋นซ่างโหลวเลย
ทว่ายังมีจุดที่แตกต่างจากอวิ๋นซ่างโหลวอยู่บ้าง เพราะลานชั้นเทียนอันเป็นที่พักระดับสูงสุดของอวิ๋นซ่างโหลวนั้น สามารถให้แขกเข้าพักได้เต็มที่ 2 คนต่อลาน ทว่าสถานที่พักของต้าอี้เก๋อกิจการของคฤหาสน์เอี้ยนซานแห่งนี้ ลานพักที่ดีที่สุดอนุญาตให้แขกอาศัยอยู่ได้ถึง 3 คนต่อลาน
หลังเข้าที่พักแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็แยกย้ายกันเข้าห้องหับ ทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏฆ่าเวลา รอให้ถึงกำหนดวันนัดหมาย ที่จักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดผู้นั้นกล่าวบอก
หลังต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าพักในต้าอี้เก๋อได้ไม่กี่วัน ลานที่พักข้างๆก็ปรากฏแขกสตรีที่เดินทางมาจากแดนไกลผู้หนึ่งเข้าพักอาศัย
หากต้วนหลิงเทียนไม่ได้อยู่ในห้องหับ แต่นั่งเล่นอยู่ในลานว่างล่ะก็ คงต้องเห็นแขกสตรีที่พึ่งเข้าที่พักและจดจำนางได้ทันทีแน่นอน
แขกสตรีนางนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ที่ได้อันดับ 3 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว เป็นรองก็แค่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับเขา
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ยังเป็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลมู่หรง ซึ่งเป็น 1 ในตระกูลระดับ 7 ในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวอีกด้วย
และมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็เดินทางออกจากเขตคฤหาสน์เฉวียโยวของหลิงหลัวเทียนมาที่นี่เช่นกัน
เป็นธรรมดาว่ายังมีบางอย่างที่ต่างจากต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
นั่นก็คือนางไม่ได้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของเมืองฝูซาน แต่ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของเมืองอื่นในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเท่านั้นที่ไม่รู้ว่ามี ‘คนรู้จัก’ อีกคนจากเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวมาถึงที่นี่ แต่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่ได้รู้เลยว่าลานที่พักใกล้ๆกับนางมี ‘คนรู้จัก’ 2 คนมาถึงก่อนนาง 1 วัน!
ต้าอี้เก๋อ ในฐานะกิจการที่พักที่ดีที่สุดในเมืองอวี้ฟง ปกติแล้วใครที่มีพื้นหลังความเป็นมาดีหน่อยหรือไม่ก็พลังฝีมือสูงๆ มักมาพักอาศัยกันที่นี่
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น รวมถึงมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะมาเข้าพัก ต้าอี้เก๋อแห่งนี้ก็มียอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดจากหลิงหลัวเทียนและนาบเทวโลกอื่นๆมาเข้าพักแล้วเช่นกัน
ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลาย ก็ถูกชวนมาเหมือนกัน และมีจุดประสงค์ดุจเดียวกับพวกต้วนหลิงเทียน
เข้าสู่มรดกสถานที่คาดกันว่าเป็นโลกใบเล็กที่จักรพรรดิอมตะเหลือทิ้งไว้
…
ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ภายในห้องหับ ตอนนี้ก็จมจ่อมในภวังค์การทำความเข้าใจความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟอย่างลืมวันเวลา
ด้วยมีความช่วยเหลือของเพลิงเทพโกลาหล ความเข้าใจในความลึกซึ้งปะทุ ก็ก้าวหน้าขึ้นทุกขณะ และบ่อยครั้งเขาก็รู้สึกว่าติดอีกแค่นิดเดียวก็จะบรรลุถึงขั้นตอนเบื้องต้นได้แล้ว ขาดแค่โอกาสเล็กๆเท่านั้น
ทว่าหลังผ่านมาอีกครึ่งเดือน ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกว่ามันขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะสามารถเข้าใจความลึกซึ้งปะทุได้ทุกเมื่อ กลับไม่อาจข้ามผ่านได้เสียที
“ผู้อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
หลังเผชิญหน้ากับความรู้สึกอีกนิดๆแต่กลับไม่อาจเข้าใจได้เสียที ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเพลิงเทพโกลาหลออกมา
“หลังเจ้าเข้าใจความหมายแห่งไฟ ความลึกซึ้งลุกโหม ความลึกซึ้งเผาไหม้จนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น ในที่สุดเจ้าก็ขาดอีกแค่เล็กน้อยจะบรรลุความเข้าใจความลึกซึ้งปะทุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น หากแต่เจ้ารู้สึกเสมือนยังไม่อาจเข้าใจได้เสียทีสินะ…”
เพลิงเทพโกลาหลเกริ่นนำ ค่อยกล่าวเข้าประเด็นสำคัญ “สิ่งนี้เป็นเพราะความเข้าใจเกี่ยวกับความลึกซึ้งปะทุของเจ้าเผชิญหน้ากับจุดตีบตัน และจุดตีบตันดังกล่าวมันก็เกิดจากความเข้าใจความลึกซึ้งก่อนหน้า ที่จะมากจะน้อยก็มักทิ้งร่องรอยความคิดบางอย่างไว้ในใจของเจ้า…”
หลังฟังคำอธิบาของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเข้าใจว่าไฉนเขาถึงพบเจอจุดรอคอยในกระบวนการทำความเข้าใจความลึกซึ้งปะทุแบบนี้
ที่แท้ทั้งหมดเป็นเพราะความลึกซึ้งลุกโหม กับความลึกซึ้งเผาไหม้ที่เขาเข้าใจนั่นเอง
“ข้าพึ่งจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งถึงประการที่ 4 กลับพบเจอจุดรอคอยแบบนี้แล้ว…วันหน้าไม่ใช่ตอนข้าทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการที่ 5 6 7 8 กระทั่งประการที่ 9 ของกฏแห่งไฟ จะไม่เจอจุดรอคอยที่หนักกว่านี้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา”
เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยออกเสียงเรียบ “ไม่ว่ากฏอันใดก็ตาม การทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการแรกๆนั้นมักราบรื่นไร้ปัญหา…แต่พอเข้าสู่ความลึกซึ้งประการหลังๆแล้วมันจะเริ่มยากขึ้น กระทั่งหลายคนก็ติดอยู่ที่ความลึกซึ้งประการที่ 5 และไม่อาจทำความเข้าใจเพิ่มได้เลย”
“คิดจะทำความเข้าใจความลึกซึ้งให้ครบทั้ง 9 ประการนั้นยากประหนึ่งปีนบันไดมีดขึ้นฟ้า…คนที่มีสติปัญญาปานกลางไม่ว่าจะทุ่มเทเวลามากเท่าไหร่ และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพียงใด ก็ยากนักที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏใดๆให้ครบทั้ง 9 ประการ”
เพลิงเทพโกลาหลยังกล่าวสืบต่อ
ต้วนหลิงเทียนก็รับฟังไปเงียบๆ
ถึงแม้เรื่องที่เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยถึง เขาจะเคยได้ยินมาก่อนแล้ว แต่หากไม่เจอกับตัวเขาก็ไม่รู้เลย
มาตอนนี้ฟังจากคำพูดของเพลิงเทพโกลาหล เขาจึงค่อยตระหนัก
ว่ายิ่งเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้มากประการเพียงใด…คิดจะเข้าใจความลึกซึ้งประการหลังๆ นับว่าเป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกิน
“หากเจ้าติดจุดรอคอยเช่นนี้ ข้าแนะนำให้ริเริ่มทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งไฟไปก่อน…หลายคนที่พบเจอจุดรอคอยเช่นเจ้า ก็มักจะเลือกทำความเข้าใจลึกซึ้งประการอื่นๆ จนบางครั้งก็บังเกิดความรู้แจ้ง บ้างก็พบจุดตัดทางความคิดบางอย่าง สุดท้ายก็สามารถทะลวงจุดรอคอยของความลึกซึ้งได้หลายประการในเวลาเดียวกัน”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าวแนะนำออกมา
ให้ต้วนหลิงเทียนพักการทำความเข้าใจความลึกซึ้งปะทุไว้ก่อน แล้วพยามทำความเข้าใจความลึกซึ้งประการอื่นๆของกฏแห่งไฟ บางทีอาจบังเกิดความเข้าใจขณะทำความเข้าใจความลึกซึ้งอื่นๆ หรือเกิดแรงบันดาลใจอะไร จนสามารถทะลวงจุดรอคอยของความลึกซึ้งปะทุได้…
“ทำเช่นนี้ก็ได้หรือ…”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็เชื่อในคำชี้แนะของเพลิงเทพโกลาหล
“ผู้อาวุโส ตอนนี้วรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังธาตุไฟที่ข้ามี และยังไม่ได้เริ่มต้นตีความฝึกฝนก็เหลือแต่วรยุทธ์อมตะที่แฝงความลึกซึ้ง สุริยันสาดแสง และเวทย์พลังที่แฝงความลึกซึ้งท่องอัคคี…”
“2 อย่างนี้ ท่องอัคคีดูเหมือนจะยังไม่อาจใช้การได้…เช่นนั้นข้าเริ่มเข้าใจความลึกซึ้งสุริยันสาดแสงก่อนดีหรือไม่?”
ถึงแม้ในใจต้วนหลิงเทียนจะตัดสินใจเลือกไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงเลือกจะถามเพลิงเทพโกลาหลก่อน
เพราะความลึกซึ้งท่องอัคคีของกฏแห่งไฟนั้น อย่าว่าแต่ขั้นตอนเบื้องต้นต่อให้จะบรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่อาจใช้การอะไรได้จริงจังด้วยซ้ำ! เพียงใช้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเพลิงไฟเท่านั้น มีเพียงเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ให้ได้ก่อน ถึงจะไม่ต้องพึ่งสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยไฟ แต่อาศัยอณูพลังธาตุไฟในฟ้าดินได้โดยตรง
“อืม เลือกทำความเข้าใจความลึกซึ้ง สุริยันสาดแสงก่อนก็ดี…”
คำตอบของเพลิงเทพโกลาหล ก็ยืนยันตัวเลือกของต้วนหลิงเทียน
“ไม่สิ!”
ทันใดนั้นคล้ายต้วนหลิงเทียนตระหนักอะไรได้บางอย่าง ลูกตาเขาหดเล็กลง และเอ่ยถามเพลิงเทพโกลาหลออกไปทันทีว่า
“อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล ความลึกซึ้งท่องอัคคีของกฏแห่งไฟ กับความลึกซึ้งเคลื่อนพิภพของกฏแห่งดิน มันมีลักษณะการใช้งานเหมือนๆกัน…งั้นหมายความว่าความลึกซึ้งที่หนุนเสริมการเคลื่อนที่ของกฏแห่งลมก็สมควรมีลักษณะเดียวกันใชไหม?”
“ในเมื่อความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟกับกฏแห่งดินล้วนมีข้อจำกัดดุจเดียวกัน ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมก็สมควรมีข้อจำกัดเหมือนๆกันมิใช่หรือ?”
“เช่นนั้น ไฉนตอนที่ข้าใช้ยันต์เงาวายุ อันมีพลังจากความลึกซึ้งกายสายลมขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยบรรจุไว้ มันกลับหนุนเสริมความเร็วให้ข้าได้มหาศาลเลยเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยจุดที่เขาสงสัยออกไปทันที
และในห้วงเวลาดุจฟ้าแลบ เขาก็นึกย้อนถึงฉากตอนที่ใช้ยันต์เงาวายุที่ซุนเหลียงเผิงมอบให้ทันที
วันนี้ที่เขาใช้มัน ตัวยันต์นอกจากจะมีพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของจอมราชันอมตะแล้ว ยังมีพลังจากความลึกซึ้งกายสายลมกับความลึกซึ้งของกฏแห่งลมขั้นตอนคววามสำเร็จเล็กน้อยบรรจุเอาไว้ด้วย…ทำให้เขาสามารถหลบหนีไปต่อหน้าต่อตานักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 9 ตำหนักได้ง่ายดาย
และตัวเขาที่ผ่านการใช้ยันต์เงาวายุดังกล่าวมาแล้ว เขายย่อมสัมผัสได้ชัดเจนว่าความเร็วที่เขาได้รับนั้น มันได้จากความลึกซึ้งกายสายลมมากกว่าความลึกซึ้งลมกรดเสียอีก…
อย่างไรก็ตาม พลังจากความลึกซึ้งกายสายลมที่บรรจุอยู่ในยันต์ ไม่ใช่เป็นขั้นตอนความสำเร็จเล็กน้อยหรือไร ไฉนมันถึงใช้งานได้แล้วล่ะ?
ไม่ใช่ว่ามันสมควรโดนจำกัดเหมือนความลึกซึ้งที่เน้นการเคลื่อนไหวเป็นหลักของกฏแห่งไฟกับกฏแห่งดินหรอกหรือ? ที่สมควรมีผลลัพธ์ใช้ได้ทุกที่…หลังเข้าใจมันถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว?
“ก่อนที่เจ้าจะถามเรื่องนี้ออกมา…เจ้าเคยฉุกคิดบ้างไหม ว่าหลังจากที่เจ้าใช้ยันต์เงาวายุนั่นแล้ว สภาพแวดล้อมรอบกายเจ้าเป็นอย่างไร”
เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยถามต่อว่า “หรือเจ้าไปใช้มันในสถานที่ไร้ซึ่งสายลม?”
“สภาพแวดล้อมที่ไม่มีลมพัด…?”
พอได้ยินคำถามชี้นำความคิดของเพลิงเทพโกลาหล ต้วนหลิงเทียนที่นิ่งคิดไปวูบหนึ่ง ก็ตระหนักได้ทันที “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง! ถึงแม้ความลึกซึ้งของกฏแห่งลมที่เสริมการเคลื่อนไหวก็มีขีดจำกัดเหมือนกฏแห่งไฟกับกฏแห่งดินเช่นกัน แต่นั่นหมายความว่าต้องอยู่ในสถานที่ปิด! เพราะปกติแล้วในสถานที่เปิดจะมากจะน้อยอากาศล้วนมีการเคลื่อนไหว จึงถือว่ามีลมเสมอ เช่นนั้นความลึกซึ้งของกฏแห่งลมก็ได้เปรียบธาตุอื่นมาก เพราะมันสามารถใช้ได้ตั้งแต่แรก!!”
“กล่าวได้ว่าหากอยู่ในสถานที่ปิดสนิทไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวของอากาศ เช่นนั้นความลึกซึ้งเสริมการเคลื่อนไหวของกฏแห่งลมอย่างกายสายลมที่ยังไม่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ ก็จะง่อยรับประทานเช่นกัน!”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนพลันเข้าใจได้กระจ่าง
ตราบใดที่ไม่อยู่ในห้วงอวกาศ หรือพื้นที่ปิด ทุกที่ล้วนมีลมเสมอ…อยู่ที่จะมากหรือน้อย
ถึงแม้บางแห่งจะดูเหมือนไร้ลมพัดจริงๆ แต่อันที่จริงแล้วอากาศก็เกิดการกระเพื่อมและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่มันเล็กน้อยเกินไป จนผู้คนไม่อาจสัมผัสได้
‘ให้ตายเถอะ พวกเข้าใจกฏแห่งลมนี่มันได้เปรียบจริงๆ…คนที่เลือกกฏแห่งไฟกับกฏแห่งดินกว่าจะใช้มันเสริมความเร็วได้ดั่งใจก็มีแต่ต้องทำความเข้าใจจนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่เท่านั้น…ผิดกับพวกกฏแห่งลมแค่เข้าใจถึงขั้นตอนเบื้องต้นก็เพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ให้ตัวเองได้แล้ว เพราะคงยากที่จะไปสู้กันในพื้นที่ปิดและไร้ลมใดๆเลย’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบทอดถอนในใจ
จังหวะนี้เขายังอดอิจฉาพวกเลือกทำความเข้าใจกฏแห่งลมอยู่บ้าง
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่คำ จนสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนที่อาศัยความช่วยเหลือของเพลิงเทพโกลาหล ก็เริ่มต้นทำความเข้าใจความลึกซึ้งสุริยยันสาดแสงทันที และในที่สุดก็ลืมเลือนเวลาไปอีกครั้ง
เขาไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดังขึ้นจากด้านนอก