WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3120
ถึงแม้จะเป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยวดุจเดียวกัน แต่ในแง่ลำดับอาวุโสแล้วปี้ไห่หมิงเฟิงนั้นถือว่าต่ำกว่าฉีเทียนหมิง เพราะฉีเทียนหมิงนั้นอยู่ในรุ่นเดียวกับบรรพบุรุษของนิกายอมตะเหอฮวน
เช่นนั้นยามพบเจอฉีเทียนหมิง ปี้ไห่หมิงเฟิงจึงเรียกหาด้วยคารวะว่า อาจารย์ลุง
นอกจากนั้นพลังฝีมือของปี้ไห่หมิงเฟิงเองก็ด้อยกว่าฉีเทียนหมิงที่รั้งอยู่ใน 3 อันดับแรกของ 10 ผู้ตรวจการคฤหาสน์เฉวียนโยว ทำให้มันเองก็เต็มใจเรียกหาฉีเทียนหมิงว่าอาจารย์ลุง
“นี่เจ้าจะกลับแล้วรึ…”
ฉีเทียนหมิงพยักหน้าให้ปี้ไห่หมิงเฟิงเล็กน้อย ค่อยหันไปพูดกับต้วนหลิงเทียน “ต้วนหลิงเทียน นี่คือ 1 ใน 3 ประมุขนิกายอมตะเหอฮวน ทั้งยังเป็น 1 ใน 10 ผู้ตรวจการของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา…และยังเป็นผู้ที่มีโอกาสบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะมากที่สุดในบรรดา 10 ผู้ตรวจการ”
“หากข้าจำไม่ผิดตอนแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำเปิดออกครั้งล่าสุด มันก็เป็นตัวแทนของนิกายอมตะเหอฮวน…เจ้าเองก็คงเคยพบเจอแล้วกระมัง?”
ฉีเทียนหมิงเอ่ยถาม
“ใช่ผู้เฒ่าฉี…ข้าเคยพบเจอผู้ตรวจการปี้ไห่ตอนไปแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ…”
ต้วนหลิงเทียนขานรับ จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้ปี้ไห่หมิงเฟิงด้วยรอยยิ้มเป็นการทักทาย
“ข้าก็ว่าอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าหน้าตาคุ้นๆพิกล…ไม่ใช่ว่าเจ้าคือ ต้วนหลิงเทียน ที่ได้อันดับที่ 2 ของแดนสวรรค์ใต้ราณระดับต่ำหรอกรึ?”
ปี้ไห่หมิงเฟิงมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ามันยังคงจำต้วนหลิงเทียนได้
“ข้าเอง”
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าตอบยืนยัน
“ในเมื่อพวกเจ้าเคยเจอกันแล้วข้าคงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก…ผู้ตรวจการปี้ไห่ ข้าต้องพาต้วนหลิงเทียนไปทำธุระก่อน ไว้ว่างๆเจ้าแวะกลับมานี่เมื่อไหร่ พวกเราค่อยไปนั่งดื่มกัน”
ฉีเทียนหมิงเอ่ยลาปี้ไห่หมิงเฟิง ก่อนที่จะพาต้วนหลิงเทียนจากไป
ถึงแม้ปี้ไห่หมิงเฟิงจะเป็นรุ่นน้องและพลังฝีมือยังเทียบมันไม่ได้ อย่างไรก็ตามอายุอีกฝ่ายน้อยกว่ามันมาก พรสวรรค์ทั้งเชาว์ปัญญาก็สูงกว่ามัน จึงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นที่อีกฝ่ายจะก้าวข้ามมัน เช่นนั้นฉีเทียนหมิงเองก็ไม่คิดจะใช้ความอาวุโสกดข่มปี้ไห่หมิงเฟิง และปฏิบัติต่อปี้ไห่หมิงเฟิงอย่างเท่าเทียม
“นี่มันยังไงกันล่ะเนี่ย?”
ปี้ไห่หมิงเฟิงมองแผ่นหลังฉีเทียนหมิงกับต้วนหลิงเทียนที่ห่างออกไปด้วยความงุนงง คิ้วขดย่นเป็นปมเบาๆด้วยความสงสัย “ไฉนผู้ตรวจการฉีถึงพาต้วนหลิงเทียนมาคฤหาสน์เฉวียนโยวเล่า…คงไม่ใช่คิดรับต้วนหลิงเทียนมาเป็นศิษย์ส่วนตัวหรอกนะ?”
“แต่เรื่องนี้มันผิดกฏมิใช่หรือ?”
ถึงแม้คฤหาสน์เฉวียนโยวจะไม่ได้ห้ามไม่ให้ผู้ตรวจการรับศิษย์ แต่หากจะรับก็จำต้องให้ศิษย์คนนั้นผ่านเกณฑ์เข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยวด้วยตัวเองเสียก่อน ไม่ใช่นึกจะพามาเข้าร่วมคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็พามาได้ตามใจชอบ
คฤหาสน์เฉวียนโยวเปิดรับศิษย์จาก 3 นิกาย 2 ตระกูลเสมอ แต่หากผู้ตรวจการหรือใครคิดจะเฟ้นหาอัจฉริยะมาเป็นศิษย์ ก็ต้องให้ศิษย์ผู้นั้นผ่านการประเมินที่จะจัดขึ้นเป็นประจำตามกำหนดเสียก่อน
ตราบใดที่ผ่านบททดสอบของคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว ถึงจะสามารถเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวได้
“ตอนนี้ก็ยังห่างจากช่วงเวลาประเมินรับศิษย์ใหม่หลายปีไม่ใช่รึไง? แล้วผู้ตรวจการฉีพาต้วนหลิงเทียนมาทำอะไรที่นี่?”
หลังขบคิดอยู่นานปี้ไห่หมิงเฟิงก็คิดไม่ออกจริงๆ สุดท้ายมันก็ส่ายหัวไปมาทั้งเลิกคิด ค่อยเหินร่างไปทำงานของตัวเองต่อ
มันไม่ได้รู้เลย…หรือให้กล่าวว่ากระทั่งหลับก็ยังไม่อาจฝันถึง
ว่าฉีเทียนหมิงกำลังพาต้วนหลิงเทียนไปยัง วังศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งภายในคฤหาสน์เฉวียนโยว และยังเป็นวังศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนแทบจะลืมเลือนกันไปแล้วอย่าง วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยของคฤหาสน์เฉวียนโยว
ชนรุ่นหลังของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มีไม่กี่คนแล้ว ที่ล่วงรู้ว่าในคฤหาสน์เฉวียนโยว มีวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยดำรงอยู่
และอัจฉริยะที่โดดเด่นใน 30,000 ปีหลังมานี้ ก็ไม่มีใครผ่านเกณฑ์เป็นผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยแม้แต่คนเดียว ทำให้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
เรียกว่า สำหรับชนรุ่นหลังของคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้ว วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย เป็นดั่งวังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกหลงลืมไป
กระทั่งชนชั้นอาวุโสเองก็ไม่ใช่ว่าจะรู้จักวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยกันทุกคน เพราะหลายคนนั้นได้มาเข้าร่วมวังหลังเกิดเรื่องหลายปี กอปรทั้งผู้ที่รู้ก็ไม่เอ่ยเรื่องที่เป็นดั่งแผลใจออกมา ทำให้พวกมันก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยเลย…
ถิ่นที่อยู่ของคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น มีหมู่เกาะลอยล่องกลางฟ้ามากมาย ยิ่งวงนอกก็ยิ่งมีจำนวนเกาะมากมายมหาศาล ห้อมล้อมเกาะด้านในไว้ดั่งดาวล้อมเดือน
และถิ่นที่อยู่ของคฤหาสน์เฉวียนโยว ก็ได้จัดแบ่งเขตที่อยู่อาศัยออกเป็น 3 เขต
เขตในสุด หรือที่อยู่ใจกลางจะมีเกาะอยู่ด้วยกัน 3 เกาะ
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ภายใต้การนำพาของฉีเทียนหมิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ถูกพามาถึง 1 ใน 3 เกาะชั้นในสุดในจุดศูนย์กลาง และนับเป็นเกาะแรกสุดที่ต้วนหลิงเทียนได้มาเหยียบหลังจากมาถึงคฤาหสน์เฉวียนโยว
เดิมทีมองจากกภายนอก เขาก็เห็นเพียงบนเกาะนั้นแลดูสงบร่มรื่น เต็มไปด้วยกลิ่นอายและความงดงามของธรรมชาติ แต่ก็ยากจะมองเห็นเรื่องราวใด้ชัด เพราะเมฆหมอกปกคลุมหนาตา
เป็นธรรมดาว่าหากจะรู้สภาพการณ์อาศัยสำนึกเทวะแผ่ไปตรวจสอบก็ไม่ยากเย็น แต่เขาจะทำได้เหรอ?
คนของคฤหาสน์เฉวียนโยว หรือจะใจกว้างยินยอมให้ใครก็ไม่รู้แผ่สำนึกเทวะเข้ามาตรวจสอบได้ตามอำเภอใจ?
เรียกว่าขอเพียงสำนึกเทวะของเขาแผ่ไปถึงรัศมีตรวจจับ ไม่พ้นต้องเจอเหล่าศิษย์อาวุโสหน่วยลาดตระเวนออกมาต้อนรับพร้อมปรับทัศนคติเขาแน่นอน!
หลังเหินร่างติดตามฉีเทียนหมิงผ่านเมฆหมอกจนเข้าสู่เขตเกาะลอย 1 ใน 3 ของวงใน เขาก็แลเห็นสิ่งปลูกสร้างที่งดงามปานพระราชวังปลูกสร้างเอาไว้ไม่กี่หลัง แม้วังจะไม่ได้แลดูใหญ่โตอะไรมากมาย หากแต่ให้ความรู้สึกเสมือนอสูรกายบรรพกาลแสนดุร้ายที่กำลังหลับไหลอยู่ พาลให้สัญชาตญาณเขาร้องเตือนถึงอันตรายทันที!
“ผู้เฒ่าฉี…วังเหล่านี้ไอ้สวยมันก็สวยดีแถมแลดูหรูหรามีระดับ มองแว่บแรกให้ความรู้สึกโอ่อ่าไม่เบา แต่ไฉนมันกลับให้ความรู้สึกอันตรายนักเล่า? ข้าคงไม่ได้คิดไปเองหรอกนะ?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหันไปถามฉีเทียนหมิงด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่เจ้าคิดไปเองหรอก…เจ้ารู้สึกแบบนี้ยังไม่แปลกด้วยซ้ำ และอย่าว่าแต่เจ้าเลย กระทั่งตัวข้าเองก็รู้สึกอันตรายไม่ต่างกัน”
ฉีเทียนหมิงส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “วังที่เจ้าเห็นเหล่านั้น มีค่ายกลที่จัดตั้งมาตั้งแต่สมัยโบราณ เรียกว่าเป็นค่ายกลที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ยุคแรกๆของคฤหาสน์เฉวียนโยว และไม่เพียงค่ายกลป้องกัน มันยังเต็มไปด้วยค่ายกลสังหารอันน่ากลัว กระทั่งให้เป็นจอมราชันอมตะ แต่หากล้วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตสังหารยังสิบตายไร้ทางรอด!”
“กล่าวได้ว่าหากข้าเผลอล่วงล้ำเข้าไปโดไม่ได้รับอนุญาติ ข้าก็คงต้องตกตายเป็นผีเฝ้าค่ายกลไปชั่วกาล…”
กล่าวถึงท้ายประโยค เสียงของฉีเทียนหมิงยังเผยความกลัวไม่น้อย
“ร้ายแรงถึงขนาดนั้นเชียว?”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ “เนื่องจากค่ากลสังหารเหล่านี้อันตรายมาก…แล้วใครเป็นเจ้าของวังเหล่านั้นหรือ?”
“แต่ละวังที่เจ้าเห็น ล้วนมีเจ้าวังคอยพิทักษ์ปกปักษ์อยู่”
ฉีเทียนหมิงกล่าว “แต่วังที่มีค่ายกลทรงพลังเช่นนั้นจัดตั้งไว้ มองทั่วคฤหาสน์เฉวียนโยวแล้วก็มีเพียงแค่ 10 วังเท่านั้น…บนเบื้องหน้าที่เจ้าเห็นมี 4 วัง…จากนั้นอีก 2 เกาะก็มีอีกเกาะละ 3 วัง”
“ที่ไฉนเกาะนี้จึงมีวังมากกว่าเกาะอื่นๆ เพราะอีกวังที่เพิ่มมาก็คือ วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย…สำหรับทั้ง 10 วังที่มีค่ายกลอันตรายจัดตั้งปกป้องเอาไว้ คฤหาสน์เฉวียนโยวของพวกเราเรียกว่า 10 วังศักดิ์สิทธิ์…แต่เป็นธรรมดาว่าผู้คนส่วนใหญ่คิดว่าคฤหาสน์เฉวียนโยวเรามีแค่ 9 วังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยได้ถูกหลงลืมไปแล้ว”
“เหตุผลเพราะวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยมีค่ายกลอำพรางปกคลุมเอาไว้ ทำให้ตัวตนต่ำกว่าขอบเขตจอมราชันอมตะหากไม่ล่วงรู้แต่แรก ก็ไม่อาจหามันพบเจอ…เจ้าเองก็คงสงสัยตั้งแต่ตอนที่ข้าบอกกว่าเกาะแห่งนี้มี 4 วังแต่เจ้าเห็นได้แค่ 3 วังแล้วกระมัง”
กล่าวถึงจุดนี้ ฉีเทียนหมิงก็หันไปเอ่ยถามต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนที่มองเห็นเพียงแค่ 3 วังบนเกาะจริงๆ ก็พยักหน้า “ใช่แล้วผู้เฒ่าฉี”
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย”
จากนั้นฉีเทียนหมิงก็เลือกจะใช้พลังปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียน และหอบหิ้วเข้าไปในเกาะเบื้องหน้า
“ผู้เฒ่าฉี เท่าที่ข้ารู้มาในคฤหาสน์เฉวียนโยวนั้น ผู้นำคฤหาสน์จะมีสถานะสูงสุด รองลงมาก็จะเป็นชนชั้นรองผู้นำ…และลำดับถัดมาก็คือ 10 ผู้ตรวจการใช่หรือไม่…เช่นนั้นเจ้าวังศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 10 แม้จะควบคุมค่ายยกลสังหารอันทรงพลัง แต่พลังฝีมือส่วนตัว สมควรเทียบพวกท่านไม่ได้ใช่หรือไม่?”
ขณะเดินทางฝ่าม่านหมอก ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
“หากเจ้าคิดเช่นนั้นก็นับว่าผิดแล้ว…จริงอยู่ที่ผู้นำคฤหาสน์มีสถานะสูงสุด ทว่าแม้รองผู้นำจะมีสถานะเหนือกว่า 10 ผู้พิทักษ์เช่นข้า แต่พลังฝีมือของรองผู้นำก็พอๆกับพวกเรา 10 ผู้พิทักษ์เท่านั้น ที่ไฉนได้ดำรงตำแหน่งรองผู้นำคฤหาสน์ ล้วนเป็นเพราะพวกมันเป็นทายาทสายตรงของคฤหาสน์เฉวียนโยวเท่านั้น”
ฉีเทียนหมิงส่ายหัวไปมา “หากแต่เจ้าวังศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 10 ของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา…ในบรรดาเจ้าวังที่พลังอ่อนด้อยที่สุดก็ยังบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด…แล้วเจ้ายังคิดว่าพลังของชนชั้นจ้าววังอ่อนด้อยกว่าพวกข้าอยู่หรือไม่เล่า?”
แทบจะทันทีที่ฉีเทียนหมิงกล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็อดสูดอากาศเข้าลึกๆไม่ได้!
ชนชั้นเจ้าวังศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 10 ผู้ที่อ่อนด้อยที่สุดก็คือจอมราชันอมตะ 1 ต้นกำเนิด?
“แน่นอนว่าถึงแม้เจ้าวังทั้ง 10 จักเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของคฤหาสน์เฉวียนโยวเรา แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทัดเทียมกับผู้นำคฤหาสน์ได้ในแง่พลังฝีมือ…และจากข่าวลือ ผู้ที่ทรงพลังเหนือผู้นำคฤหาสน์นั้นมีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น”
กล่าวถึงจุดนี้ ฉีเทียนหมิงกก็หันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนยด้วยสายตาล้ำลึกพลางถาม “เจ้าลองเดาดูเถอะว่าเป็นผู้ใด”
“คงไม่ใช่…เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยหรอกนะ?”
ฉีเทียนหมิงบอกให้ต้วนหลิงเทียนเดา ต้วนหลิงเทียนก็คาดเดาไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก ยังไม่สนด้วยว่าจะถูกหรือผิด
“มิผิด! เป็นเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย”
ฉีเทียนหมิงพยักหน้า “เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย ตามคำร่ำลือนั้น ท่านเป็นตัวตนที่ดำรงอยู่ในคฤหาสน์เฉวียนโยวมานานกว่าใคร…ไม่เคยมีผู้ใดเห็นเจ้าวังคนนี้ลงมือมาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม กระทั่งผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเรายังต้องปฏิบัติต่อท่านด้วยความเคารพ ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย”
“มีคนเคยถามผู้นำคฤหาสน์คราหนึ่ง ว่าหากประมือกับเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยจักสามารถเอาชนะได้หรือไม่…เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านผู้นำคฤหาสน์เอ่ยตอบว่าอันใด?”
“ท่านผู้นำเอ่ยตอบว่า…ท่านไม่มีแม้แต่ความกล้าจักลงมือต่อเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย และต่อให้เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยคิดจะฆ่าท่าน ตัวท่านก็จักรอรับความตายโดยสดุดี!”
พอกล่าวถึงจุดนี้ สองตาฉีเทียนหมิงก็เต็มไปด้วยความเคารพ “ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เจ้าวังผู้พิทักกษ์คฤหาสน์น้อยจะไม่เคยปรากกฏตัวต่อหน้าผู้คน แต่สำหรับพวกเราที่ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของท่าน ก็ปฏิบัติต่อท่านดั่งเทพเจ้า ไม่กล้าไม่เคารพ ทั้งยังยำเกรงถึงที่สุด”
“หืม? ผู้เฒ่าฉี หรือว่าท่านไม่เคยเจอเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยมาก่อน?”
ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟัง ก็จับใจความได้บางอย่างจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจจนต้องถามออกไป
“ไม่เคย”
ฉีเทียนหมิงคลี่ยิ้มแห้งๆ “อย่าว่าแต่ข้าเลย กระทั่งผู้ตรวจการอีก 9 คนที่เหลือ และแม้แต่รองผู้นำคฤหาสน์อีก 2 คน ก็ไม่เคยเห็นเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยด้วยซ้ำ…อันที่จริงในคฤหาสน์เฉวียนโยวแห่งนี้ ข้าเกรงว่านอกจากผู้นำคฤหาสน์ เจ้าวังศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออีก 9 คน กับรองผู้นำคฤหาสน์อีกคน ก็คงไม่มีผู้ใดเคยพบเจอเจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยอีกแล้ว”