WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3189
ซูว! ซูว!
สีหน้าท่าทีของหญิงชรากับชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปใหญ่หลวง
ไม่ต้องกล่าวใดอื่น อีกฝ่ายกระทั่งยังไม่ได้ลงมือทำอะไรด้วยซ้ำ เพียงลอยร่างอยู่ตรงนั้น กลับทำให้พวกมันรู้สึกเย็นเยียบจับใจ สิ่งนี้บอกให้รู้ว่าพลังอำนาจของอีกฝ่ายสูงล้ำสุดที่พวกมันจะทาบติด!
“ใต้เท้า…”
สตรีชราคิดกล่าวใดบางอย่าง หากทว่านางพึ่งปริปากได้ไม่ทันไร นางก็พบว่าความว่างเปล่ารอบๆกายนาง อยู่ๆก็อุบัติแสงพลังสีม่วงสาดส่องออกมา! ประหนึ่งอุกกาบาตสีม่วงพุ่งทะลวงความว่างเปล่าออกมาฉับไว!!
สตรีชราหน้าเสียไปทันที นางรีบเบี่ยงตัวหลบเร็วไว ด้านชายวัยกลางคนและคนอื่นๆ ก็ประสบชะตากรรมเดียวกันกับนาง!
ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!
…
ตอนนี้สตรีชราไม่มีเวลาสนใจผู้ใดทั้งสิ้น นางง่วนอยู่กับการหลบลำแสงสีม่วงที่พุ่งเข้ามาสุดชีวิต เพราะรู้ดีว่าหากหลบไม่พ้น นางต้องตกตายยอนาถแน่!!
“อ๊าคคคคค!!”
“เมตตาด้วยย!!”
“ไม่—!!”
…
และในขณะที่สตรีชรากำลังหลบลำแสงสีม่วงที่พุ่งวาบผ่านห้วงอวกาศมาดั่งลำแสงปืนใหญ่ เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังก้องเข้าหูนางจากทุกทั่วสารทิศ
และหลังผ่านไปครู่หนึ่งสุรเสียงใดๆก็ดับลง จากนั้นนางก็พบว่าลำแสงสีม่วงที่คล้ายอุกกาบาตพุ่งวาบไปมา ได้หายไปแล้ว…
ทว่าพอนางมองไปรอบๆบัดนี้ นางก็พบว่าจะชายวัยกลางคนก็ดี ลิ่วล้อที่นางพามาก็ดี ล้วนตกตายหมดสิ้น! ไม่มีผู้ใดเหลือรอดสักคน!!
“แม่มาช้าไป…”
ลี่เฟยย่ำเท้าออกมาหนึ่งก้าว ก่อนที่ร่างจะวูบไปผุดโผล่เบื้องหน้าต้วนเนี่ยนเทียนทันทีทันใด ราวย่นย่อพสุธาลัดฟ้า
“เฉวี่ยไน่ ข้าต้องขอบคุณเจ้ายิ่งที่ตลอดหลายปีมานี้เจ้าคอยดูแลเนี่ยนเทียนอย่างดี…”
ขณะเดียวกันลี่เฟยก็หันไปมองกล่าวกับหานเฉวี่ยไน่ด้านหลังต้วนเนี่ยนเทียนด้วยแววตาสำนึกขอบคุณถึงที่สุด จากนั้นก็เร่งสะบัดมือส่งมอบขวดโอสถไปให้หานเฉวี่ยไน่อย่างไม่รอช้า “เจ้ารีบใช้ก่อน มันเป็นโอสถรักษา”
“พี่หญิงเฟยเอ๋อท่าน…”
ห่านเฉวี่ยไน่ยังคงตกตะลึงไม่หาย นางคว้าขวดโอสถมาตามสัญญชาติญาณ สองตายังกระพริบปริบๆมองร่างบางในชุดม่วงเบื้องหน้าด้วยอาการงุนงง
เพราะนางคิดไม่ออกจริงๆ
ว่าในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี แต่ลี่เฟยที่เดิมมีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยกว่านางมากมาย ไฉนกลับถือครองพลังอันแข็งแกร่งและน่ากลัวขนาดนี้ได้?
พลังที่ลี่เฟยเผยออกมาเมื่อครู่ เกรงว่าคงก้าวข้ามขีดจำกัดของระนาบโลกียะไปแล้วกระมัง?
“ท่านแม่…”
ต้วนเนี่ยนเทียนเองก็ตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของมารดาตัวเองไม่น้อย ด้วยไม่คิดเลยว่ามารดาของตัวอยู่ๆจะมีพลังร้ายกาจขนาดนี้ได้!
“แม่!?”
ห่างออกไปไม่ไกลมากนัก สตรีชราที่กำลังตกตะลึงทั้งหวาดกลัวกับพลังของลี่เฟย พอได้ยินวาจาที่ต้วนเนี่ยนเทียนเรียกหาลี่เฟย สีหน้านางก็ซีดลงแทบไร้เลือด แววตาฉายชัดถึงความหวาดผวา
‘หนี!!’
สตรีชราไม่คิดใดให้มากความ ร่างเหี่ยวเหนียงยานรีดเค้นพลังชั่วชีวิตออกมาสุดตัว ระเบิดพลังส่งร่างย่นพุ่งทะยานข้ามห้วงอวกาศไปดั่งลำแสง!
เนื่องจากสัตว์อสูรที่นางขี่มาก่อนหน้าแหลกเป็นซากเนื้อเลอะเลือนไปแล้ว เช่นนั้นนางก็ได้แต่ห้อตะบึงบึ่งร่างเดินทางด้วยตัวเอง…
แต่นางยังจะหนีได้หรือ?
“หึ!!”
ลี่เฟยเหลือบมองหญิงชราด้วยสายตาเฉยเมย พ่นลมเยียบเย็นออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดมือออกไปตามอำเภอใจ ทำท่าคว้าจับไปยังทิศทางที่หญิงชราห้อตะบึงหนีไป
ทันใดนั้นเอง
วู้มม!!
ท่ามกลางความว่างเปล่าอันมืดมิดของห้วงอวกาศ อยู่ๆก็ปรากฏแสงพลังสีม่วงสาดส่องออกมา จากนั้นก็ควบรวมก่อเกิดเป็นฝ่ามือมหึมา พุ่งไปคว้าร่างหญิงชราเอาไว้ปานจับลูกเจี๊ยบ จากนั้นเมื่อนำร่างหญิงชรากลับมาที่เดิมแล้ว มือพลังมหึมาก็เปล่งแสงสว่างวาบหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นเส้นเชือกสีม่วงรัดพันร่างชราเอาไว้
“ทำร้ายน้องหญิงของข้า อีกทั้งยังคิดจะฆ่าลูกชายของข้า…คิดว่าจะหนีไปได้ง่ายๆ?”
ลี่เฟยเอ่ยถามออกไปอย่างไร้แยแส หากแต่น้ำเสียงช่างเย็นเยียบจับใจนัก!
“ใต้เท้า! ขอเพียงเมตตาละเว้นชีวิตยายแก่ไม่รู้ความผู้นี้ มิว่าใต้เท้าต้องการทรัพย์สมบัติอันใดยายแก่จักมอบให้ทุกอย่าง!”
ในห้วงเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นตาย หญิงชราตัวสั่นปานลูกนกตกน้ำ เร่งกล่าววิงวอนร้องขอชีวิตออกไปด้วยสีหน้าซีดเผือด
“ข้าไม่อยากได้ให้เป็นเสนียด”
ก่อนที่ลี่เฟยจะกล่าวจบ นิ้วของนางก็ทอแสงม่วงวาบหนึ่ง จากนั้นแขนขวาของหญิชราก็คล้ายถูกพลังมหาศาลป่นทำลาย ค่อยๆแหลกสลายจากปลายนิ้วไปถึงหัวไหล่ กลับกลายเป็นธุลีไปต่อหน้าต่อตา…
“อ๊า—!!”
หญิงชราหวีดร้องคอแทบแตก นางพยายามเร่งเร้าพลังเพื่อต้านทานก็ไม่เป็นผล พอแขนทั้งข้างหายไปแล้วนางก็พยายามระงับความเจ็บปวดและห้ามเลือดต่อ ทว่าลี่เฟยพลันกระดิกนิ้วเบาๆอีกครา พลังที่นางสั่งสมบ่มเพาะมาชั่วชีวิตก็ถูกทำลายหายไปทันที
“เจ้า…เจ้าทำลายพลังฝึกปรือของข้า!!”
พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หญิงชราก็ถลึงตามองลี่เฟยด้วยความเกลียดชังคับแค้น “ข้าขอแช่งให้เจ้าไม่ตายดี! ต่อให้ข้าต้องตายกลายเป็นผี ข้าก็ไม่มีวันปล่อยเจ้าไป!!”
“เจ้าเป็นๆข้ายังไม่กลัว คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าที่ตายไปแล้วงั้นหรือ?”
ลี่เฟยแสยะยิ้มเย้ยหยัน “หลังจากเจ้าเป็นผีไปแล้วก็มาเถอะ ข้าจักทุบตีผีให้ตายอีกรอบ!!”
พอกล่าวจบคำ ปลายนิ้วลี่เฟยก็ตวัดเบาๆอีกครา พอแสสีม่วงทอประกายขึ้นวาบหนึ่ง ขาข้างหนึ่งของหญิงชราก็ถูกพลังค่อยๆป่นทำลายหายไปจากปลายนิ้วถึงโคนขาช้าๆ
และหลังจากหญิงชราหวีดร้องจนสิ้นสติ ลี่เฟยก็ใช้พลังปลุกนางขึ้นมาก่อนจะป่นทำลายแขน จากนั้นก็ทำซ้ำกับขาอีกข้าง จนในที่สุดคนก็คล้ายกลับกลายเป็นตอไม้ตอหนึ่ง…
ฉากเรื่องราวเบื้องหน้าทำให้ต้วนเนี่ยนเทียนรู้สึกหนังศีรษะด้านชาอยู่บ้าง “ท่านแม่…”
อย่างไรก็ตาม ในใจต้วนเนี่ยนเทียนเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นนัก
เพราะมันรู้ดีว่านี่เป็นเพราะมารดาระบายโทสะออกมา!
สำหรับหานเฉวี่ยไน่นั้นเพียงมองเรื่องราวเบื้องหน้าอย่างเฉยเมย หากนางมีพลังเท่าลี่เฟยล่ะก็…น่ากลัวสตรีชราจะโดนดียิ่งกว่านี้อีก!
“ได้โปรด…ข้าขอร้อง ฆ่าข้าเถอะ! ได้โปรดฆ่าข้าเถอะ!!”
ร่างหญิงชราคล้ายตอไม้เหี่ยวๆท่อนหนึ่งกล่าววิงวอนร้องขอความตายออกมาด้วยสีหน้าทั้งสภาพดูไม่ได้ ไม่เหลือความดุร้ายอาฆาตเหมือนดั่งก่อนหน้าแม้แต่น้อย
ลี่เฟยเหลือบมองนางด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยคำด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “อย่าได้ขอร้องข้า หากจะขอไปขอกับลูกชายของข้า!”
หญิงชราได้ฟังดังนั้นก็หันไปร้องขอความตายจากต้วนเนี่ยนเทียนด้วยสีหน้าชวนให้เวทนาราวขอทานเฒ่าใกล้ตาย “พ่อหนุ่มได้โปรด…ให้ข้าตาย โปรดให้ข้าตาย!!”
สุดท้ายต้วนเนี่ยนเทียนก็พึ่งเป็นวัยรุ่นเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับการร้องขอชีวิตด้วยสภาพชวนให้เวทนาสงสารของหญิงชรา และเห็นขั้นตอนการทรมานทั้งหมดกับตา ก็ยกมือขึ้นรวมรั้งพลังขุมหนึ่ง ซัดออกไปป่นร่างหญิงชราทิ้งทันที ยุติความทรมานให้อีกฝ่าย
“ท่านแม่!”
หลังฆ่าหญิงชราแล้ว ซากร่างที่แหลกเป็นละอองธุลียังไม่ทันปลิวกระจายไปในห้วงอวกาศดี ต้วนเนี่ยนเทียนก็พุ่งร่างทิ้งตัวเข้าอ้อมกอดลี่เฟยทันที สองตายังแดงรื้นขึ้นมาด้วยอารมณ์สะทกสะท้อน
“เนี่ยนเอ๋อ…เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ไฉนยังขี้แงเป็นเด็กน้อยเล่า ไม่อายอาหญิงเฉวี่ยไน่ของเจ้าบ้างหรือ…”
หลังจากตบแผ่นหลังต้วนเนี่ยนเทียนเบาๆเป็นการปลอบโยน ลี่เฟยก็ผละร่างต้วนเนียนเทียนออกมา ก่อนจะเช็ดหน้าทั้งลูบหัวอีกฝ่าย “ดูเจ้าเถอะ…พริบตาเดียวก็โตกว่าแม่แล้ว”
หลังหานเฉวี่ยไน่รอให้แม่ลูกได้พบและปลอบกันสักพัก เมื่อเห็นว่าทั้งคู่เริ่มสงบอารมณ์ได้แล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามลี่เฟยออกมา สองตายังฉายแววซุกซนไม่เปลี่ยน “อั้ย พี่หญิงเฟยเอ๋ออ่า…ท่านไปทำอะไรมากัน ไฉนร้ายกาจแท้เล่า!?”
“ข้าได้รับสืบทอดมรดกของเซียนอมตะหนามม่วงน่ะ”
ลี่เฟยยิ้มกล่าว
“เอ๋ มรดกของเซียนอมตะหนามม่วงหรือ!?”
ได้ยินคำพูดของลี่เฟย ทั้งต้วนเนี่ยนเทียนและหานเฉวียนไน่ก็ตกใจไม่น้อย ลูกตาทั้งคู่ยังเบิกกว้างกลมโต
เซียนอมตะหนามม่วงเป็นใคร ทั้งคู่รู้จักดี
เพราะระนาบโลกียะแห่งนี้ก็ถูกเรียกว่าระนาบหนามม่วง ตั้งชื่อตามเซียนอมตะหนามม่วงที่ขึ้นสู่ระนาบเทวโลกไปเป็นคนแรก เช่นนั้นสามารถจินตนาการออกได้ไม่ยาก ว่าเซียนอมตะหนามม่วงที่ว่าได้รับความยกย่องขนาดไหนในระนาบแห่งนี้
และทุกคนยังรู้กันว่า ในอดีตเซียนอมตะหนามม่วงไม่เพียงแต่จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และสามารถขึ้นสู่ระนาบเทวโลกได้เป็นคนแรกเท่านั้น…
แต่หลังจากนางขึ้นไปได้แล้ว ไม่เพียงแต่นางจะกลับมาพร้อมสมบัติ นางยังแผ้วทางสร้างโอกาสให้ทุกคนมีโอกาสขึ้นสู่ระนาบเทวโลกได้ด้วย และไม่กี่ปีก่อน ก็พึ่งปรากฏมรดกสืบทอดสูงสุดของนางขึ้นมา
“ท่านแม่เมื่อไม่กี่ปีก่อนข้าได้ยินมาว่ามีคนได้รับสืบทอดมรดกของเซียนอมตะหนามม่วงแล้ว…ที่แท้คนๆนั้นก็คือท่านเองหรือ?”
ต้วนเนี่ยนเทียนมองลี่เฟยด้วยความตกใจ ด้วยไม่คิดเลยว่าผู้ที่ได้รับสืบทอดมรดกของเซียนอมตะหนามม่วงที่เป็นดั่งตำนานสูงสุดของระนาบโลกียะแห่งนี้ ที่แท้จะเป็นมารดาของตัวเอง
“ยินดีด้วยพี่หญิงเฟยเอ๋อ!”
หลังจากอึ้งไปด้วยความตกใจพักหนึ่ง หานเฉวี่ยไน่ก็เร่งกล่าวแสดงความยินดีกับลี่เฟยทันที
“อันที่จริง ข้าแค่โชคดีเพราะตอนถูกส่งมาปรากฏตัวที่ระนาบหนามม่วงแห่งนี้ ข้าอยู่ไม่ไกลจากแถวนั้นมากเท่าไหร่ นางจึงเลือกข้า”
“กล่าวได้ว่า หากเป็นเจ้าที่อยู่แถวๆนั้น นางก็จะเลือกเจ้าเช่นกัน”
ลี่เฟยย่อมล่วงรู้หมดแล้ว ว่าเพราะอะไรเซียนอมตะหนามม่วงถึงเลือกนาง ทั้งหมดก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าศักยภาพและพรสวรรค์นั่นเอง และเป็นเพราะร่างกายนางได้ผ่านการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพมาแล้ว ทำให้เซียนอมตะหนามม่วงตระหนักว่าความสำเร็จในภายภาคหน้าของนางจะไม่หยุดอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ..
“เอ๋”
อย่างไรก็ตามพอได้ยินคำพูดของลี่เฟย หานเฉวี่ยไน่ก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง ต้วนเนียนเทียนก็สงสัยเช่นกัน
สุดท้ายพอได้ลี่เฟยอธิบายเรื่องราวให้ฟัง ทั้งคู่ก็ตระหนักได้
“ท่านแม่ จะอย่างไรก็ช่างเถอะ ที่ท่านบังเอิญไปอยู่แถวนั้นพอดี สิ่งนี้ก็พูดได้ว่าเป็นเพราะท่านมีโชคชะตากับเซียนอมตะหนามม่วง”
ต้วนเนี่ยนเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มร่า มารดาตัวเองประสบโชควาสนาเช่นนี้ มันย่อมยินดีเป็นที่สุด
และตลอดเวลาที่ผ่านมา มารดาของมันรู้สึกอย่างไร ตัวมันไหนเลยจะไม่รู้
ในอดีตนั้นเรียกว่ามารดาของมันรู้สึกกดดันมาก เนื่องเพราะสตรีข้างกายของบิดาคนอื่น ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งและทรงพลังทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะอาหญิงเค่อเอ๋อหรืออาหญิงเทียนหวู่ ทั้งคู่ล้วนมีพลังฝึกปรือเหนือกว่ามารดาของมันมาก
วันนี้เท่าที่มันเห็น เสมือนมารดาของมันได้พบพานกับความสุขหลังจากทนทุกข์มานาน
“ใช่แล้วพี่หญิงเฟยเอ๋อ เนี่ยนเทียนกล่าวถูกที่สุด!”
หานเฉวี่ยไน่พยักหน้างึกๆ นางเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ต้วนเนี่ยนเทียนพูด
“พวกเจ้าออกมาเถอะ”
ตอนนี้เองลี่เฟยก็หันไปมองทิศทางหนึ่ง พลางกล่าวออกมาเสียงเบา
ทันใดนั้นเอง
ปรากฏร่าง 4 ร่างเหินมาจากจากธารดาราไกลๆ พริบตาก็บรรลุมาถึง ความเร็วนั้นเรียกว่าประหนึ่งพุ่งทะลุห้วงอวกาศมาเลยก็ว่าได้!
ร่างทั้ง 4 นั้นเป็นสตรีที่งดงามและสร้างความประทับใจให้ผู้ที่พบเจอตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ
เพราะสตรีทั้ง 4 นั้นกล่าวไปแต่ละนางล้วนงามเฉิดฉันท์ทั้งสิ้น และที่สะดุดตาผู้คนที่สุดก็คือ…รูปร่างหน้าตาของพวกนางเหมือนกันราวกับแกะ!
เรียกว่าหากไม่นับลักษณะนิสัยและท่าทางเฉพาะตัว พวกนางแทบจะเหมือนกันทุกประการ!
เสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกนางยังมีสีเดียวกัน ที่แตกต่างกันก็แค่ลายปักเท่านั้น
สตรีที่ยืนอยู่ด้านซ้ายสุด มาในชุดสีม่วงปักลายดอกเหมย แลดูงดงามอย่างเรียบง่าย
สตรีที่ถัดมาด้านขวาจากนางคนหนึ่ง แม้ชุดส่วมใส่จะเป็นสีม่วง หากแต่ลายปักกลับเป็นลายกล้วยไม้เบ่งบาน แลแล้วสดชื่นสบายตานัก
สตรีคนที่สามนั้นก็มาในชุดสีม่วงเช่นกันหากแต่ปักลายใบไผ่ให้ความรู้สึกสุขุมสง่า
ส่วนสตรีคนที่ 4 มาในชุดสีม่วงรูปแบบเดียวกันหากแต่ปักลายดอกเบญจมาศแลดูสดใสร่าเริง
“นายหญิงน้อย…”
หลังจากทั้ง 4 ปรากฏตัวออกมา พวกนางก็เร่งโค้งคารวะทักทายลี่เฟยด้วยความสุภาพเคารพก่อนใดอื่น
“ข้าเจอลูกชายกับน้องสาวแล้ว…”
ลี่เฟยหันไปกล่วาคำกับสตรีทั้ง 4 “ตอนนี้ข้าสามารถติดตามพวกเจ้ากลับไปยังระนาบเทวโลกและไปพบท่านอาจารย์ได้…อย่างไรก็ตามข้าจะพาลูกชายของงข้ากับน้องสาวไปด้วย”
จากนั้นลี่เฟยก็แนะนำสตรีทั้ง 4 ให้หานเฉวี่ยไน่และต้วนเนี่ยนเทียนรู้จัก
ทั้ง 4 นั้นเป็นศิษย์รับใช้ที่เซียนอมตะหนามม่วงซึ่งเป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศส่งมาคอยดูแลผู้สืบทอดของนาง และคอยพาผู้สืบทอดกกลับระนาบเทวโลก
“น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าซือหลิงกับคนอื่นๆไปอยู่ระนาบใด…ไม่งั้นด้วยพลังของท่านแม่ย่อมพาทุกคนไปด้วยได้ง่ายๆ”
ต้วนเนี่ยนเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“นั่นสิ น่าเสียดายยิ่ง และข้าเองก็จำได้แม่น…ว่าระนาบแห่งนี้สมควรมีแต่พวกเรา 3 คนเท่านั้นที่ถูกส่งมา ส่วนคนอื่นเหมือนจะถูกส่งไประนาบอื่นกัน”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวออกมาด้วยความเสียดาย
“ใช่ ข้าเองก็จำได้เช่นกัน…ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้ออกตามหาพวกเจ้าก่อน และคิดจะไประนาบเทวโลกพร้อมกันกับพวกเจ้า”
ลี่เฟยกล่าวถึงจุดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “นับว่าดียิ่งที่เจ้ากับเนี่ยนเอ๋ออยู่ด้วยกัน…ทำให้ไม่ต้องลำบากหากันอยู่นาน”
“พี่หญิงเฟยเอ๋อ ท่านคิดพาข้าไปยังระนาบเทวโลกที่เซียนอมตะหนามม่วงแบบนี้…มันจะสะดวกหรือ?”
หานเฉวี่ยไน่รู้สึกลังเลอยู่บ้าง
“ยังมีใดไม่สะดวกเล่า…หากท่านอาจารย์พบเจ้า เผลอๆต้องยินดีรับเจ้าเป็นศิษย์ด้วยอีกคนแน่! เพราะท้ายที่สุดแล้วตอนนี้ศักยภาพเจ้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าแม้แต่นิดเดียว!!”
ลี่เฟยส่ายหัวไปมาพลางกล่าว
เพราะไม่ว่าจะเป็นต้วนเนี่ยนเทียนลูกชายนาง หานเฉวี่ยไน่หรือใครก็ตาม นางมั่นใจมากว่าอาจารย์ต้องตาลุกวาวแน่ เพราะทุกคนผ่านการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพกันหมดแล้ว
“ตอนนี้ท่านพ่อ…ก็สมควรอยู่ในระนาบเทวโลกแล้วใช่หรือไม่?”
ต้วนเนี่ยนเทียนกล่าวพึมพำออกมาด้วยความคิดถึง
และพอต้วนเนี่ยนเทียนกล่าวพึมพำออกมา ไม่ว่าจะลี่เฟยหรือหานเฉวี่ยไน่ก็นิ่งเงียบไปทันที
จากนั้นร่างในชุดสีม่วงก็ค่อยๆปรากฏขึ้นในความคิด ต่อมาภาพจำและฉากเรื่องราวในอดีตก็ค่อยๆแล่นย้อนในใจเป็นฉากๆ…