WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3238
WSSTH ตอนที่ 3,238 : เพื่อนแท้ พบกันอีกครั้ง
“ซูหลี่?”
ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยิน ก็อดไม่ได้ที่จะหันมองไปยังขอบฟ้าทิศทางหนึ่งด้วยความสงสัยเช่นกัน
ซูหลี่แห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ก่อนที่เขาจะเข้าสู่หอคอยจิตวิญญาณค่ายกลและปีนยอดเขาแรงโน้มถ่วงอีกครั้งหลังเก็บตัวฝึกฝนไป 8 ปี ก็คือคนที่ครองอันดับ 1 ของสถานที่ทดสอบยอดนิยมทั้ง 2 แห่งเอาไว้
ที่สำคัญเลยก็คือ
ซูหลี่ นามนี้คุ้นหูเขาเกินไป
ในอดีตตอนที่เขาอยู่ในระนาบเซียนอันเป็นระนาบโลกียะบ้านเกิดเขาในชีวิตที่ 2 เขาก็ได้พบเจอชายหนุ่มนามซูหลี่ ในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กแห่งอาณาจักรนภาล่อง ต่อมาอีกฝ่ายก็ได้กลายเป็นสหายประเสริฐที่เขามีอยู่ไม่กี่คน
ตอนเด็กนั้น ซูหลี่เลือกที่จะออกจากตระกูลซูและละทิ้งอนาคตสดใสด้วยการออกจากสถาบันบ่มเพาะขุนพลไป เพียงเพราะไม่คิดหักหลังเขา! ทำให้เขายึดถืออีกฝ่ายเป็นเพื่อนแท้มาตั้งแต่ก่อนจะออกนากอาณาจักรนภาล่อง!!
ต่อมาก็ได้พบเจอซูหลี่อีกหลายครั้ง และแต่ละรอบก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นยังคงเติบโตก้าวหน้าได้อย่างดี เรียกว่าเหนือความคาดหมายของเขาทุกรอบ…จนสุดท้ายเมื่อขึ้นมาระนาบเทวโลกแล้ว เขาก็ไม่ได้พบเจอซูหลี่อีกเลย
“นั่นน่ะหรือ ซูหลี่อัจฉริยะนิกายหมื่นกระบี่แห่งสายเฉิงหยิ่ง ที่ก่อนหน้าร่ำลือกันว่าพลังฝีมือทัดเทียมกับอวี่เทียนสิง แต่ในปัจจุบันกลับก้าวข้ามอวี่เทียนสิงไปแล้ว?”
“ใช่ มันก้าวข้ามอวี่เทียนสิงไปแล้วจริงๆ ตอนนี้คำอัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะตกเป็นของซูหลี่อย่างไร้ข้อกังขาแล้ว!”
“ซูหลี่คนนี้ อาจนำพานิกายกระบี่หมื่นหายนะเข้าสู่ยุคใหม่!”
…
ทุกสายตาพร้อมใจกันจับจ้องมองไปยังซูหลี่ กระทั่งเฟิ่งชีชีอัจฉริยะอันดับ 1 แห่งเผ่าหงส์ฟ้าโบราณเอง พอเห็นซูหลี่สองตานางก็ลุกวาวขึ้นมาอย่างออกหน้าออกตาทีเดียว
ไป๋หลี่หงเฟยที่สังเกตเห็นสิ่งนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก จากนั้นก็หันไปมองจ้องซูหลี่ด้วยสายตาระแวงทันที จนเมื่อเห็นว่าซูหลี่ไม่แม้แต่จะเหลือบแลเฟิ่งชีชี มันจึงพอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก!
“ซูหลี่”
สำหรับอัจฉริยะของนิกายกระบี่หมื่นหายนะนั้น สายตาที่ใช้มองซูหลี่ช่างเต็มไปด้วยหลายรสชาติหลากอารมณ์เหลือเกิน เพราะซูหลีนั้นมาทีหลังแถมอ่อนวัยกว่าพวกมัน แต่กลับประสบความสำเร็จเหนือพวกมัน…
ในขณะที่ทุกสายตากำลังจับจ้องมองไปยังซูหลี่ ด้านซูหลี่กลับมองข้ามฝูงชนนับร้อยพัน มาหยุดลงบนร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงคนหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน สองตาต้วนหลิงเทียนก็จับจ้องมองซูหลี่เขม็ง
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างซูหลี่พลันโจนทะยานออกจากกระบี่ดิ่งลงจากฟากฟ้า ส่วนต้วนหลิงเทียนเหินร่างขึ้นไปบนฟ้าด้วยความเร็ว
ปล่อยฮ่วนเอ๋อไว้ให้ยืนงงอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
2 ร่างที่โจนเข้าหากันพลันหยุดลงกลางหาว ห่างไม่ถึง 10 หมี่ จากนั้นก็จับจ้องมองกันเขม็ง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“หรืออัจฉริยะที่โดดเด่นในแดนลับอัจฉริยะคู่นี้…กำลังจะประมือกันเพื่อให้รู้สูงต่ำ?”
“อะไร? จะตีกันหรือ เช่นนั้นพวกเรากำลังจะได้ชมเรื่องดีๆแล้วสิ!!”
…
มีอัจฉริยะหลายคนที่คิดว่าการเผชิญหน้ากันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ เพราะทั้งคู่คิดสู้วัดฝีมือกัน!
มีแต่ฮ่วนเอ๋อเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นยินดีของต้วนหลิงเทียนจากสีหน้าและแววตาขณะที่เหินร่างขึ้นไปบนฟ้าเมื่อครู่
ราวกับชายหนุ่มนุชดคลุมดำผู้นั้น ทำให้พี่หลิงเทียนของนางรู้สึกยินดีที่ได้พบเจอ
ครู่ต่อมา ความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึง
ทั้งหมดเห็นว่าต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่นั้นพุ่งเข้ามากอดกันบนฟ้า ตบหลังกันอย่างแรง หัวเราะออกมาฮ่าๆอย่างสะใจ
ซูหลี่นั้นทุกคนรู้กันดีว่าเป็นมือกระบี่ไร้ใจ ใบหน้ามักเย็นชาไร้อารมณ์เสมอ กระทั่งเหล่าอัจฉริยะของนิกายกระบี่หมื่นหายนะเอง ก็ไม่เคยเห็นซูหลี่ยิ้มเลยสักครั้ง นับประสาอะไรกับระเบิดเสียงหัวเราะแบบนี้
“ทั้งคู่…รู้จักกันมาก่อนหรือเนี่ย!?”
เห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว หลายๆคนย่อมคาดเดาเรื่องนี้ได้ออก
บางคนยังคิดว่าทั้งคู่ไม่น่าจะรู้จักกันธรรมดาๆ
ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ที่กอดกันอยู่ ก็เอาแต่ตบหลังอีกฝ่ายพลางหัวเราะเสียงดัง
ตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ
แต่ถึงจะไม่ต้องพูดอะไร ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร…มันนาน ยังเนิ่นนานเหลือเกินที่ไม่ได้พบเจอ!
นับจากเวลา ก็ร่วมๆ 200 ปีเห็นจะได้
ตอนที่ทั้งคู่พบเจอกันครั้งแรก แต่ละฝ่ายยังอายุสิบกว่าปีเท่านั้น
ครั้งสุดท้ายที่ได้พบเจอ แต่ละฝ่ายก็อายุไม่กี่สิบปี เรียกว่าไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ
เรียกว่าการจากกันครั้งสุดท้าย เป็นการจากลากันที่เนิ่นนานที่สุด
“ต้วนหลิงเทียน ตอนข้าเห็นชื่อเจ้าครั้งแรกบนตารางจัดอันดับยอดเขาแรงโน้มถ่วง ข้าก็สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าจะใช่เจ้ารึเปล่า…หลังจากข้าลองคิดดูหลายครั้ง ข้าถึงรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้”
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่ก็ผละออกจากกัน และเป็นซูหลี่ที่กล่าวออกมาพลางระบายลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง
“เจ้ายังดีที่กล้าคิด…ส่วนข้าสิ พอเข้าแดนลับอัจฉริยะนี่มา ก็ปิดด่านไป 8 ปี ออกมาอีกทีก็เห็นชื่อเจ้าได้อันดับ 1 ทั้ง 2 แห่งไม่ว่าจะหอคอจิตวิญญาณหรือยอดเขาแรงโน้มถ่วงแบบนั้น แม้มันจะทำให้คิดถึงเจ้าขึ้นมา แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่ามันจะเป็นเจ้าไปได้”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าไปมา อย่างไรก็ตามรอยยิ้มสดใสยังคงคลี่กางบนใบหน้าไม่ห่างหาย
ถึงแม้เขากับซูหลี่กล่าวไปจะพบเจอและอยู่ด้วยกันไม่นานนัก แต่มิตรภาพระหว่างทั้งคู่เรียกว่ายากจะมีใครทำลายได้
“ปกติแล้วเจ้ามันขยันสร้างปาฏิหาริย์เกินไป…เริ่มตั้งแต่วันที่อยู่ในค่ายบ่มเพาะอัจฉริยะของกองกำลังโลหิตเหล็กที่อาณาจักรนภาล่องวันนั้น เจ้าก็สร้างความประหลาดใจให้ข้าทุกครั้งที่กลับมาพบเจอกัน”
ซูหลี่ถอนหายใจ ค่อยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงรำลึกความหลัง “ดังนั้นพอข้าเห็นชื่อเจ้าโผล่มาอีกที จึงอดคิดไปไม่ได้…ว่าบางทีเจ้าอาจจะยังประสบความสำเร็จเหนือกว่าข้า”
“และตอนนี้ดูเหมือนมันก็จะยังคงเป็นแบบนั้นจริงๆ”
ถึงแม้ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ดูท่าแล้วจะเหนือกว่าตัวเองชัดเจน หากแต่ซูหลี่ไม่มีจิตคิดอิจฉาอะไร ในใจมีก็แต่ความยินดีเท่านั้น
“เฮ่อ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าเองก็จะบ่มเพาะมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เข้ามาในแดนลับอัจฉริยะได้ไม่ว่า แต่ยังกลายไปเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ในนิกายกระบี่หมื่นหายนะแล้วด้วย”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
“เรื่องมันยาวน่ะ…รอให้ออกจากแดนลับอัจฉริยะแล้วเข้าจะเล่าให้ฟัง”
ซูหลี่คลี่ยิ้ม
“ดี!”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขากับซูหลี่กลายเป็นนจุดสนใจของทุกคนไปแล้ว หลังจากพยักหน้าชวนซูหลี่ เขาก็เหินกลับลงมาหาฮ่วนเอ๋อทันที
“ฮ่วนเอ๋อ นี่คือซูหลี่ เป็นสหายประเสริฐของข้า”
ต้วนหลิงเทียนที่เหินนำลงมาหาฮ่วนเอ๋อ ก็ผายมือไปทางซูหลี่และแนะนำให้ฮ่วนเอ๋อรู้จักทันที แม้เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ได้เจอซูหลี่อีกครั้ง เขาก็อยากแบ่งปันความยินดีนี้ให้ฮ่วนเอ๋อรับทราบด้วย
“นี่น่ะหรือแม่นางฮ่วนเอ๋อ? ข้าได้ยินเสียงร่ำลือมานานแล้วว่าเป็นโฉมสคราญไร้ผู้ต้าน”
ซูหลี่มองฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันไปขยิบตาให้ต้วนหลิงเทียนรอบหนึ่ง ค่อนมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตารู้กัน
“พี่ใหญ่ซูหลี่”
ฮ่วนเอ๋อก็ทักทายซูหลี่ด้วยรอยยิ้มสดใส
“พี่ใหญ่?”
ซูหลี่ตกใจทั้งรู้สึกอายเล็กน้อย “เอ่อ อันที่จริงข้ายังมีอายุไม่ถึง 300 ปีเลย…”
“อะไร ฮ่วนเอ๋อแค่เรียกเจ้าว่าพี่ใหญ่ เจ้ากลับหน้าบางรู้สึกรับไม่ไหวรึ?”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ พลางกล่าวออกมาด้วยรอยยยิ้มสนุกสนาน “ตอนนี้ฮ่วนเอ๋อยังอายุไม่ถึง 200 ปีเลย”
ต้วนหลิงเทียนที่เห็นซูหลี่หน้าม้านไป ก็รู้ดีว่าไม่พ้นซูหลี่คิดว่าฮ่วนเอ๋อแก่กว่า จึงไม่กล้ารับคำเรียกหาจากฮ่วนเอ๋อว่าพี่ใหญ่
“อะไร! อายุไม่ถึง 200 ปีรึ!?”
คำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะทำให้ซูหลี่ตกใจเท่านั้น กระทั่งอัจฉริยะคนอื่นๆที่อยู่รอบๆก็ตกใจครั้งใหญ่เช่นกัน พวกมันไม่มีใครคิดใครฝัน ว่าในแดนลับอัจฉริยะแห่งนี้ ยังจะมีใครอายุน้อยกว่าซูหลี่อยู่อีก!
ที่สำคัญ สตรีที่อายุไม่ถึง 200 ปีนางนี้ กลับสร้างงสถิติอันน่าพรั่นพรึงในวงกตสรรพสิ่งอีกด้วย!
“ศิษย์น้องซูหลี่ เจ้ารู้จักต้วนหลิงเทียนด้วยหรือ?”
ตอนนี้เองพลันมีอัจฉริยะที่รูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เหินร่างมาถามซูหลี่ด้วยความสงสัย “เท่าที่ข้ารู้มา ตั้งแต่ที่ศิษย์น้องซูหลี่ติดตามอาจารย์ลุงตู๋กูมาเข้าร่วมกับนิกายกระบี่หมื่นหายนะของพวกเรา เจ้าก็มิเคยออกไปไหนเลยนี่นา?”
“จะว่าไป เพราะการเปิดออกของแดนลับอัจฉริยะ เลยทำให้เจ้าเดินทางออกจากนิกายกระบี่หมื่นหายนะเราครั้งแรกไม่ใช่หรือ?”
อัจฉริยะหนุ่มของนิกายกระบี่หมื่นหายนะอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ต้วนหลิงเทียนเป็นสหายของข้าตั้งแต่ตอนที่ข้าอยู่ระนาบโลกียะแล้ว”
ซูหลี่ยิ้ม
“ต้วนหลิงเทียน นี่คือศิษย์พี่กงซุนจิ้ง เป็นศิษย์พี่ที่อยู่สายกระบี่ซวนหยวนในนิกายกระบี่หมื่นหายนะของข้า”
ขณะเดียวกันซูหลี่ก็แนะนำศิษย์นิกายกระบี่หมื่นหายนะที่เข้ามาทักให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
“ซูหลี่ในเมื่อเจ้ากับต้วนหลิงเทียนก็รู้จักกัน เช่นนั้นไม่ชวนสหายมาอยู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะกับพวกเราเล่า?”
หลังกงซุนจิ้งพยักหน้าและทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยความกระตือรือร้นแล้ว มันก็หันไปกล่าวกับซูหลี่อย่างเป็นกันเอง
“ถึงต้วนหลิงเทียนจะเป็นสหายสนิทข้า แต่ข้าก็เคารพการตัดสินใจของมัน…เรื่องที่จะเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะหรือไม่ ต้องสุดแล้วแต่การตัดสินใจของเจ้าต้วนมัน อย่างไรเสียมิตรภาพระหว่างพวกเราล้วนไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
ซูหลี่ส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวจากใจ
เดิมที พอเห็นซูหลี่ทักทายกับต้วนหลิงเทียนอย่างสนิทสนม และเปิดเผยว่าเป็นสหายกับต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะจากขุมกำลังระดับ 1 ทั้งหลายก็รู้สึกว่าคงหมดหวัง เรื่องจะดึงตัวต้วนหลิงเทียนมาเข้าร่วมขุมกำลังแล้ว
จนมาได้ยินคำพูดดังกล่าวของซูหลี่ สองตาพวกมันจึงฉายแสงขึ้นมาด้วยความคาดหวังอีกรอบ
กลับกัน พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของซูหลี่ ไม่ว่าจะอวี่เทียนสิง กงซุนจิ้ง หรืออัจฉริยะคนอื่นๆของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ ก้พอกันขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
ในความเห็นของพวกมัน ในเมื่อซูหลี่สนิทกับต้วนหลิงเทียน แค่กล่าวชวนสักหน่อย ก็ไม่พ้นต้องทำให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะได้ไม่ยากเย็นแล้ว
แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าซูหลี่กลับเลือกที่จะไม่ชวนต้วนหลิงเทียน และปล่อยให้สหายตัดสินใจเอาเองว่าจะเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะหรือไม่…
“ซูหลี่”
อวี่เทียนสิงมองกล่าวกับซูหลี่เสียงเข้ม “หากอาจารย์ลุงตู๋อยู่ที่นี่ด้วย ข้าเชื่อว่าอาจารย์ลุงเองก็ต้องหวังให้เจ้าชักชวนต้วนหลิงเทียนแน่”
ซูหลี่เหลือบมองอวี่เทียนสิงด้วยสายตาเฉยเมย “อวี่เทียนสิง ข้ารู้ว่าท่านคิดอ่านอันใด…อย่างไรก็ตามข้าเชื่อว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าของข้าต้องเคารพการตัดสินใจของข้าแน่”
อาจารย์ผู้เฒ่าที่ซูหลี่กล่าวถึงก็คือ ผู้นำสาย เฉิงหยิ่ง แห่งนิกายกระบี่หมื่นหายนะที่ไปรับตัวซูหลี่จากระนาบโลกียะมาเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะที่อวี้หวงเทียนด้วยตัวเอง
อาจารย์ลุงตู๋ที่อวี่เทียนสิงกล่าวถึง ก็หมายถึงผู้นำสายเฉิงหยิ่ง ตู๋กู เช่นกัน
“เจ้า”
อวี่เทียนสิงก็รู้ดีว่าที่ซูหลี่พูดมานั้นไม่มีผิดเพี้ยน เพราะสำหรับสายเฉิงหยิ่งแล้ว ซูหลี่ไม่ต่างอะไรจากสมบัติล้ำค่า ไม่มีใครกล้าทำให้ซูหลี่ไม่พอใจแน่นอน แล้วใครยังจะกล้าขัดใจซูหลี่เพราะเรื่องเท่านี้?
“ซูหลี่ ท่านประมุขเองก็ปฏิบัติกับเจ้าอย่างดีมิใช่หรือ ไม่ใช่เจ้าสมควรแสวงหาอัจฉริยะมาเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะเราเพื่อให้ท่านอาจารย์ดีใจหน่อยหรือไร?”
เมื่ออวี่เทียนสิงเห็นว่ายากจะโน้มน้าวให้ซูหลี่ชวนต้วนหลิงเทียนเพราะเรื่องเป็นสหาย มันก็อดไม่ได้ที่จะยกอ้างอาจารย์ของมันผู้เป็นประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะขึ้นมา
ตั้งแต่ที่ซูหลี่เข้าสู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะ ประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะอย่างอวี่เจี้ยนเฉิงก็ดูแลซูหลี่อย่างดี เรียกว่าให้สิทธิพิเศษแก่ซูหลี่หลายอย่าง
ได้ยินวาจาดังกล่าวของอวี่เทียนสิง ซูหลี่ก็ขมวดคิ้วย่นเป็นปมทันที จากนั้นก็เหลือบไปมองทางต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาฝืนๆ ยากจะเอ่ยคำ
“ซูหลี่ ฮ่วนเอ๋อกับข้าจะเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะ”
ต้วนหลิงเทียน เห็นซูหลี่มองมาอย่างไม่ร้จะทำอย่างไร ก็กล่าวออกไปเคล้าเสียงหัวเราะ
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าไม่ต้อง…”
ซูหลี่คิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะตัดสินใจเข้าร่วมนิกายกระบี่เพราะเห็นแก่หน้าตัวเอง จึงคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทว่าต้วนหลิงเทียนก็กล่าวขัดออกมาเสียก่อน “เดิมทีข้ากับฮ่วนเอ๋อก็คิดมาสร้างผลงานในแดนลับอัจฉริยะ เพื่อหาขุมกำลังเข้าร่วมอยู่แล้ว…ในเมื่อเจ้าอยู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะ เช่นนั้นข้ากับฮ่วนเอ๋อก็ไม่ขัดข้องที่จะเข้าร่วม จะว่าไปมีเจ้าอำนวยความสะดวกให้แบบนี้ก็ยิ่งดี”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงจุดนี้ก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน แต่แน่นอนว่าทั้งหมดที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นความจริงทุกประการ
ไฉนเขาต้องดันด้นมาเข้าร่วมแดนลับอัจฉริยะ? ไม่ใช่เพราะคิดจะเข้าร่วมกับขุมกำลังระดับ 1 ทั้ง 3 อย่างนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เผ่าหงส์ฟ้าโบราณ และตระกูลไป๋หลี่หรอกหรือไร?
และในบรรดาขุมกำลังทั้ง 3 ตัวเลือกอันดับ 1 ของเขาก็คือนิกายกระบี่หมื่นหายนะอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ตอนนี้พอรู้ว่าซูหลี่ก็อยู่นิกายกระบี่หมื่นหายนะด้วย เรื่องราวทั้งหมดยิ่งกลายเป็นราบรื่นด้วยซ้ำ