WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3244
WSSTH ตอนที่ 3,244 : ออกจากแดนลับทวยเทพ
‘ฟังจากที่วารีเทพชำระโลกากล่าว…ในสวรรค์และโลกนี้ นอกจากผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถกักเก็บพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพเอาไว้ในโลกใบเล็กได้อีกแล้ว’
‘กระทั่งเหล่าตัวตนขอบเขตเทพในระนาบเทพเอง ในโลกใบเล็กของพวกมันก็ไม่มีทางกักเก็บพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพเอาไว้ได้’
หลังได้ฟังเรื่องราวจากวารีเทพชำระโลกา ต้วนหลิงเทียนจึงได้รับทราบว่าสถานการณ์ของเขานั้นค่อนข้างพิเศษมาก พิเศษจนนอกจากผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้วไม่อาจมีใครเทียบเขาได้ในบางแง่มุม
‘วันหน้าไม่เพียงแต่ข้าจะสามารถใช้พลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กเพื่อบ่มเพาะเท่านั้น ฮ่วนเอ๋อก็สามารถใช้มันได้ด้วย’
โชควาสนาที่ต้วนหลิงเทียนได้รับในครั้งนี้ เขาไม่เพียงสามารถใช้ประโยชน์ได้คนเดียว ยังสามารถแบ่งให้ฮ่วนเอ๋อใช้ได้ด้วย
“ฮ่วนเอ๋อ ว่าแต่เจ้าจะช่วยเหลือมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 อย่างไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนที่รู้ว่าอีก 2 วันก็ต้องออกไปแล้ว จึงอดถามฮ่วนเอ๋อไม่ได้
“พี่หลิงเทียนเรื่องนี้พวกเราต้องออกไปก่อน…อย่างไรก็ตามโซ่ที่ล่ามพวกมันเอาไว้ข้าเกรงว่าคงไม่อาจตัดได้ด้วยกำลังอย่างเดียว จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เทพเพื่อตัดโซ่ด้วย”
ฮวนเอ๋อกล่าว
“ได้สิ…เช่นนั้นรอให้เวลาใกล้หมดแล้วพวกเราก็ออกไปกันก่อน”
สำหรับมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ตัวนั่น ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกขอบคุณพวกมันไม่น้อย เพราะหากพวกมันไม่ป่อให้เขาเข้ามาก่อน เกรงว่าคงไม่มีทางที่เขาจะรับโชควาสนาครั้งนี้ได้เลย
“มังกรชั่วร้ายรึ?”
ทันใดนั้นเองเสียงสตรีที่นุ่มนวลหากแต่แฝงความเฉลียวฉลาดพลันดังขึ้นในร่างต้วนหลิงเทียน “เสี่ยวเทียน เจ้าให้พวกมันเข้ามาอยู่ในโลกใบเล็กของเจ้าประเสริฐกว่า เพราะเจ้าสามารถเลี้ยงพวกมันไว้ในโลกใบเล็กของเจ้า และอาจทำให้พวกมันเป็นสัตว์องครักษ์ของเจ้าได้”
“พี่สุ่ย…ปัญหาก็คือพวกมันไม่อยากเข้ามาในโลกใบเล็กของข้าน่ะสิ พวกมันแค่เชื่อฮ่วนเอ๋อคนเดียวเท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“อย่าได้ห่วงไป พอถึงเวลาข้าจักเจรจากับพวกมันเอง เพราะสำหรับพวกมันแล้ว การได้เข้าสู่โลกใบเล็กของเจ้า เท่ากับพวกมันได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ หากพวกมันปฏิเสธ ก็นับว่าพวกมันโง่งมเกินเยียวยาแล้วจริงๆ”
วารีเทพชำระโลกากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจเป็นที่สุด
“ว่าแต่เหมือนพวกมันจะไม่เข้าใจภาษามนุษย์นะพี่สุ่ย…ท่านมีวิธีคุยกับมันรู้เรื่องหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม
“ในมหาสหัสโลกธาตุแห่งนี้ เว้นเสียแต่จะเป็นภาษาถิ่นของชนเผ่าเล็กๆที่ไม่มีผู้ใดรู้จัก ทำให้ข้าจนปัญญาจะทราบ…การที่เจ้าอยู่มานานมากพอ วันหนึ่งเจ้าก็สามารถเรียนรู้ภาษาต่างๆได้เอง”
ในขณะที่วารีเทพชำระโลกากล่าวถึงประโยคนี้ น้ำเสียงของนางก็เปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ
“แบบนั้นก็ดีเลยพี่สุ่ย!”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเห็นด้วยทันที เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้มังกรชั่วร้ายนั่นเข้าไปหลบในโลกใบเล็กของอ่วนเอ๋อ เพราะกังวลว่าพววกมันจะเล่นไม่ซื่ออะไร แต่ถ้ามาหลบในโลกใบเล็กของเขา ยังพอวางใจได้หน่อย
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ในปัจจุบัน อาศัยพลังของมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ไม่มีทางทำลายโลกใบเล็กของเขาได้เลย แค่การดำรงอยู่ของเทพเบจธาตุก็มากพอจะกสะกดข่มพวกมัน ทั้งป้องกันไม่ให้พวกมันทำอะไรในโลกใบเล็กของเขาได้แล้ว
“ฮ่วนเอ๋อ งั้นพวกเราไปเที่ยวกันอีกวัน…ถึงวันสุดท้ายแล้วพวกเราค่อยออกไป”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อ
วันต่อมา ด้วยมีหวงเอ้อคอยช่วยเหลือ ต้วนหลิงเทียนจึงพบเจออุปกรณ์เทพอีก 2 ชิ้น น่าเสียดายที่ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ อุปกรณ์เทพที่เขาพบเจอและเขาใช้ได้หากไม่ใช่ขั้นต่ำก็แค่ขั้นกลางเท่านั้น
ส่วนอุปกรณ์เทพระดับสูงเพียงชิ้นเดียวที่เขาพบเจอก็คือ ‘สายรัดแพรสีขาว’ และเขาก็มอบให้ฮ่วนเอ๋อทันทีที่เจอ
(สายรัดแพรสีขาว มันเป็นอาวุธที่เป็นผ้าริบบิ้นอะ ถ้าเคยดูมังกรหยกภาคเอี้ยก้วย 2014 จะรู้ เพราะเป็นอาวุธเปิดตัวของเซียวเหล่งนึ่ง)
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเราออกไปกันเถอะ”
ด้วยเพราะต้องไปจัดการช่วยเหลือมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนจึงพาฮ่วนเอ๋อกลับออกจากแดนลับทวยเทพก่อนหมดเวลา แน่นอนว่าย้อนกลับมายังทางเดิมที่เข้ามา
ด้านนอก มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ที่เห็นฮ่วนเอ๋อออกมา สองตาไม่แยแสกลมใหญ่ของพวกมันก็ฉายความตื่นเต้นออกมาให้เห็นชัดเจน
ดูจากสิ่งนี้ก็บอกได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้ไม่มีสติปัญญา
ชิ้ง!
ท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างตื่นเต้นของมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนก็เรียกกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมา จกนั้นก็ตวัดฟันออกไปฉับไว ทำลายโซ่ที่มัดล่ามพวกมันเอาไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น
ทว่าในขณะที่ฮ่วนเอ๋อกำลังจะคุยกับมังกรชั่วร้ายยทั้ง 2 เพื่อให้ผ่อนคลายไม่ต่อต้าน จะได้เอาพวกมันเข้ามาอยู่ในโลกใบเล็ก นางก็พบว่ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 กลับเหม่อลอยไม่สนใจนาง
ยิ่งไปกว่านั้นครู่ต่อมาพวกมันก็แลดูตื่นเต้นจนออกนอกหน้า จากนั้นก็วูบร่างเข้าสู่โลกใบเล็กต้วนหลิงเทียนไปหน้าตาเฉย
“เอ๋…เกิดอะไรขึ้นหรือพี่หลิงเทียน?”
ฮ่วนเอ๋อแลดูงุนงงอยู่บ้าง
“พอดีพี่สุ่ยเจรจาเรื่องให้พวกมันเข้ามาอยู่ในโลกใบเล็กของข้าน่ะ…และหลังจากพวกมันเข้ามาอยู่ในโลกใบเล็กของข้า แลดูมันจะถูกใจกันมากๆ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบฮ่วนเอ๋อ พลางส่องภายในไปชมดูเรื่องราวในโลกใบเล็ก
หลังจากที่มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 เข้าไปอยู่ในโลกใบเล็กของเขา พวกมันก็โผบินวนเวียนในโลกใบเล็กของเขาด้วยความคึกคัก กู่ร้องกันใหญ่ ทำให้แม้จะฟังพวกมันพูดไม่รู้เรื่อง แต่ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความความสุขความยินดีของพวกมันได้ชัดเจน
“เสี่ยวเทียนข้ากำลังคุยกับพวกมันเรื่องให้จดจำเจ้าเป็นนาย…หากพวกมันยินดีรับเจ้าเป็นนาย เช่นนั้นก่อนที่เจ้าจะบรรลุถึงขอบเขตเทพ พวกมันก็จะเป็นประโยชน์กับเจ้าอย่างใหญ่หลวง”
เสียงวารีเทพชำระโลกาพลันดังขึ้นในร่างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง “ด้วยสภาพแวดล้อมในโลกใบเล็กของเจ้า ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่พวกมันจะทะลวงด่านพลังจนบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ”
“ยิ่งไปกว่านั้นการอยู่ในโลกใบเล็กของเจ้า ก็จะช่วยให้พวกมันสามารถเข้าใจกฏได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
วารีเทพชำระโลกากล่าวออกมารวดเดียวจบ
“ให้พวกมันจดจำข้าเป็นนายรึ? พวกมันจะยอมหรือ แล้วเชื่อถือได้ขนาดไหน?”
ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้วเบาๆพลางถาม เขาเองก็ไม่อยากพกระเบิดเวลา 2 ลูกติดตัวสักเท่าไหร่
“เรื่องนี้เจ้าวางใจได้เลย หากพวกมันยินยอม ข้าย่อมมีอาคมที่จะสะกดพวกมัน ไม่ให้พวกมันกล้าคิดคดทรยศเจ้า”
วารีเทพชำระโลกากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“อาคมงั้นหรือ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “เช่นนั้นก็แล้วแต่พี่สุ่ยจะจัดการเลย”
“ฮ่วนเอ๋อ ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลืออีกไม่น้อย เช่นนั้นเข้าไปข้างในอีกสักรอบเถอะ เผื่อจะเจออะไรดีๆเพิ่ม”
เมื่อพบว่าเรื่องราวกลับจบลงง่ายดายกว่าที่คิด ต้วนหลิงเทียนที่เห็นว่ายังเหลือเวลาอีกเกือบวันเต็มๆ เขาก็เลยชวนฮ่วนเอ๋อเข้าไปเตร็ดเตร่หาสมบัติในแดนลับทวยเทพอีกรอบ
จากนั้นพอครบวันเขากับฮ่วนเอ๋อก็กลับออกมาพร้อมคนอื่นๆ
ถึงทุกคนจะสามารถเลือกอยู่ในแดนลับทวยเทพต่อ และไม่กลับออกมาก็ได้
อย่างไรก็ตาม หากเลือกที่จะอยู่ในนี้แล้ว พอประตูมิติเชื่อมระหว่างแดนลับทวยเทพกับแดนนลับอัจฉริยะปิดตัว เกิดแดนลับทวยเทพไม่เปิดออกอีกครั้ง ก็ไม่มีทางที่จะกลับออกมาได้เลย…
ในซากปรักหักพัง อันล้อมรอบไปด้วยห้วงมิติไร้ขอบเขตแบบนี้ ยังจะมีผู้ใดอยากติดอยู่ด้านในเพียงลำพัง?
การติดอยู่ด้านในเพียงลำพัง ก็เสมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์อย่างน้อยๆพันปี และหากพันปีหลังจากนี้ไม่มีใครทำลายสถิติได้ก็ไม่อาจกลับออกมาได้ เช่นนั้นต่อให้พบเจออุปกรณ์เทพมากมายแล้วจะยังมีประโยชน์อันใด?
“ต้วนหลิงเทียน ผลการเก็บเกี่ยวเจ้าเป็นไงบ้าง?”
ซูหลี่เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
“ดีทีเดียว”
ต้วนหลิงเทียนยพยักหน้าตอบ ค่อยยักคิ้วเอ่ยถามกลับ “เจ้าเล่า เป็นไง?”
“เหอะๆ ข้าบินว่อนอยู่ในนั้นเป็นเดือน นอกจากกระบี่เทพขั้นกลางที่เจ้าให้ ก็เจอกระบี่เทพขั้นต่ำอีกแค่เล่มเดียวเท่านั้น”
ซูหลี่ส่ายหัว “นอกจากนั้นก็มีของจุกจิกติดไม้ติดมือกลับมาบ้าง…แต่ให้เทียบกับกระบี่เทพระดับกลางแล้วก็ไม่คู่ควรให้พูดถึงเท่าไหร่”
กล่าวจบคำซูหลี่ก็ยักไหล่อย่างไม่คิดอะไรมาก
“หืม? ไฉนไม่เห็นคนของนิกายปีศาจพันกรเลยเล่า? พวกมันไม่คิดออกมากันแล้วรึไง?”
อัจฉริยะที่เข้าไปในแดนลับทวยเทพเป็นกลุ่มแรกๆ ย่อมไม่ทันได้เห็นคนของนิกายปีศาจพันกรถูกมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 เข่นฆ่าจนตกตายหมดสิ้น พอหันมองไปรอบๆไม่เห็นคนจึงอดถามออกมาไม่ได้
“เหอๆ พวกนิกายปีศาจพันกรหรือ…ถูกมังกรชั่ววร้าย 2 ตัวนั่นฆ่าตายยกก๊วนไปแล้วล่ะ…”
ไม่นานอัจฉริยะที่เข้าไปท้ายๆ ก็กล่าวตอบออกมา
“อะไร? ถูกมังกรชั่วร้ายฆ่า? ไม่ใช่ว่าประตูสู่แดนลับทวยเทพก็เปิดออกแล้วหรือไง…ไฉนพวกมันยังถูกมังกรชั่วร้ายฆ่าเอาอีกเล่า?”
เมื่อได้รับทราบเรื่องนี้ อัจฉริยะหลายคนก็ตกใจไม่น้อย
“อย่าบอกนะว่าพวกมันสิ้นคิด ถึงขั้นลงมือกับมังกรชั่วร้าย?”
“คงไม่หรอกมั้ง?”
…
หลายคนเริ่มคิดไปทำนองว่าใช่คนของนิกายปีศาจพันกรอุตริ เห็นมังกรชั่ววร้ายเปิดทางแล้ว คงคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไร ก็เลยลองโจมตีไปดูทำนองนั้นหรือไม่? แต่หลายคนก็คิดว่าคนนิกายปีศาจพันกรต่อให้โง่ ก็ไม่มีทางโง่จนไร้หนทางเยียวยาขนาดนั้นแน่!
“พวกมันไม่ได้ยั่วยุมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 แต่อย่างไร พวกมันก็เหินร่างจะเข้าประตูเหมือนๆคนอื่น…แต่อยู่ๆก็ถูกมังกรชั่วร้ายนั่นหันมาพ่นพลังฆ่าทิ้ง ข้าไม่ทราบจริงๆว่าที่แท้เป็นเพราะพวกมันโชคร้าย หรือมีผู้ใดบงการมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ให้ฆ่ามันกันแน่…”
อัจฉริยะที่กล่าวประโยคนี้ก็คือคนของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ และขณะกล่าวถึงท้ายประโยคมันก็หันไปหยุดมองยังร่างต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ
“บงการมังกรชั่วร้าย? เจ้าคิดมากไปแล้ว…”
“นั่นสิ อย่างมังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่น ยังจะไปมีผู้ใดบงการให้พวกมันลงมือตามใจได้เล่า?”
…
อัจฉริยะหลายคนกล่าวค้านคำพูดคาดเดาดังกล่าวของอัจฉริยะเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ หากแต่เจ้าตัวก็ไม่คิดหยุดลงเพียงเท่านี้ “แล้วพวกเจ้าคิดว่าในบรรดาพวกเรา ยังจะมีใครมีความสามารถมากพอจะทำให้มังกรชั่วร้ายเพิกเฉย จนสามารถเข้าสู่แดนลับทวยเทพได้ก่อนผู้อื่นบ้างเล่า?”
“ทำให้มังกรชั่วร้ายเพิกเฉย จนเข้าสู่แดนลับบทวยเทพได้ก่อน…”
พออัจฉริยะของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ดังกล่าวเอ่ยถึงประโยคนี้ ทั้งหมดก็พร้อมใจกันเงียบกริบ จากนั้นคนส่วนใหญ่ก็เริ่มหันไปมองต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ ซูหลี่ และกงซุนจิ้งโดยไม่รู้ตัว
“อะไร? หรือเจ้าคิดว่าพวกเราสั่งให้มังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่นฆ่าคนของนิกายปีศาจพันกร?”
เมื่อเห็นว่าตั้งแต่ต้นเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์คนนี้ เหลือบมองมาที่เขากับฮ่วนเอ๋อบ่อยครั้ง ยังพยายามชักนำความคิดมวลชนให้สงสัยในตัวเขาอีก ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองมันด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงไร้แยแส
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจเขา
“เจ้าคิดว่า ข้า ต้วนหลิงเทียน คิดฆ่าพวกสัดใส่ข้าวใช้การไม่ได้ของนิกายปีศาจพันกร…ยังต้องลำบากยืมมือมังกรชั่วร้าย?”
เห็นอีกฝ่ายทำเฉย ต้วนหลิงเทียนก็หัวเราะเย้ยคำหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดมือเบาๆ ทันใดนั้นเองพลันอุบัติรอยแยกมิติขึ้นข้างๆกายคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์คนดังกล่าว!
ซัว!!
พริบตาต่อมา คมมีดมิติ 1 สาย ก็พุ่งทะยานออกจากรอยแยกดังกล่าวฉับไวสุดที่ใครจะมองตามได้ทัน ตัดแขนคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษร์ผู้นั้นจนขาดด้วนเสมอไหล่! และด้วยอานุภาพกัดกร่อนของพลังมิติเขาตอนนี้ แขนของมันก็ไม่อาจนำกลับมาต่อได้อีกแล้ว…
“พี่หลิงเทียน…คนของนิกายปีศาจพันกร เป็นฮ่วนเอ๋อบอกให้มังกรชั่วร้าย 2 ตัวนั่นจัดการเอง…”
หลังจากต้วนหลิงเทียนลงมือตัดแขนคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ไปแล้ว ฮ่วนเอ๋อก็ส่งเสียงผ่านพลังมาสารภาพกับเขาด้วยน้ำเสียงซุกซน ทำให้ต้วนหลิงเทียนผงะไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกล่าวผ่านพลังตอบกลับนาง ด้วยน้ำเสียงช่วยไม่ได้ “ถ้างั้นข้าก็ได้แต่เสียใจกับคนเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ผู้นั้นแล้วล่ะ”
อย่างไรก็ตามแม้จะพูดไปแบบนั้น แต่สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็ยังดูเฉยเมย ไม่คล้ายแยแสอะไรกับคราวเคราะห์ของอีกฝ่ายเลย
“ต้วนหลิงเทียน! เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับเผ่าวิฬารทมิฬของพวกเรางั้นรึ?!”
อัจฉริยะอันดับ 1 ของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ อันมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มหน้าตามารดาไม่รัก ในชุดคลุมสีเลือดคนหนึ่ง ก้าวออกมามองจ้องต้วนหลิงเทียนตาขวาง เอ่ยถามเสียงหนัก!
“อ้อ แล้วเผ่าวิฬารทมิฬลึกลับเจ้า ร้ายกาจมากหรือ?”
ไม่รอให้ต้วนหลิวเทียนพูดอะไร กงซุนจิ้งพลันก้าวออกมาเหลือบมองชายหนุ่มในชุดคลุมสีเลือดด้วยสายตาดูแคลน เอ่ถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เฉวียนคง หากเจ้าข้องใจอะไรต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นก็อย่าน้ำลายให้มาก เพียงออกมาสู้กับต้วนหลิงเทียนตัวๆมันเสียตรงนี้ หรือจักกลับบ้านไปร่ำร้องฟ้องบิดาเจ้าให้มาหาความกับปู่ข้าที่สายซวนหยวนก็มา!”
ได้ยินวาจาท้าทายดังกล่าวของกงซุนจิ้ง สีหน้าท่าทีของชายหนุ่มหน้ามารดาไม่รักในชุดคลุมสีเลือดก็กลายเป็นอัปลักษณ์หนักข้อทันที
ให้มันออกไปสู้ตัวๆกับต้วนหลิงเทียน?
ไม่บอกให้มันชักดาบออกมาปาดคอตัวเองเลยล่ะ?
สำหรับเรื่องให้บิดามันไปหาความกับปู่กงซุนจิ้งที่สายซวนหยวนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ เกรงว่าต่อให้บิดามันมีความกล้ามากกว่าปกติร้อยเท่า ก็ไม่มีทางไปแน่นอน!
ไม่ต้องกล่าวถึงบิดามันด้วยซ้ำ ต่อให้เป็นบรรพบุรุษของเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์ ยังไม่กล้าแหยมผู้นำสายซวนหยวนของกระบี่หมื่นหายนะเลย!
“เจ้าเฉวียนคงนั่น มันเป็นลูกชายของผู้นำเผ่าวิฬารทมิฬไร้ลักษณ์…พลังฝีมือแค่กลางๆ ดีแต่ปากเท่านั้น”
ซูหลี่กล่าวผ่านพลังบอกต้วนหลิงเทียน
“ก็แค่ตัวตลก”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองเฉวียนคงอีกปราดหนึ่ง ค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้แยแส
เฉวียนคงเองก็ได้ยินน้ำเสียงไร้แยแสดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน สีหน้ามันจึงเปลี่ยนไปอีกรอบ สองตาถลึงมองสลับไปมาระหว่างต้วนหลิงเทียนกับกงซุนจิ้งอย่างเอาเรื่อง แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
ในแง่พลังฝีมือส่วนตัว มันอ่อนด้อยกว่าต้วนหลิงเทียนหลายขุม
ในแง่ภูมิหลัง ต้วนหลิงเทียนที่มีกระบี่หมื่นหายนะสนับสนุน เผ่าวิฬารทมิฬมันก็ไม่กล้าแม้แต่จะมีความคิดใดๆ…
‘ซูหลี่ผู้นี้ ที่แท้คิดอ่านไว้แต่แรก…’
อวี่เทียนสิงที่ชมดูเรื่องราวอยู่ไม่ไกล พอเห็นกงซุนจิ้งออกหน้าให้ต้วนหลิงเทียน สองตามันพลันหรี่ลงเล็กน้อย ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ว่าไฉนตอนแรกซูหลี่ถึงเลือกที่จะกล่าวชวนกงซุนจิ้งให้เข้าไปในแดนลับทวยเทพก่อน
เห็นได้ชัดว่าคิดปูทางให้ต้วนหลิงเทียนที่กำลังจะเข้าสู่นิกายกระบี่หายนะ…