WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3256
WSSTH ตอนที่ 3,256 : อำลา
“ฮ่วนเอ๋อ ไม้ตองห่วง…มารดาของเจ้าต้องไม่เป็นไรแน่”
หลังจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นจากไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อไปยังยอดเขาก้านเจี้ยงทันทีและในขณะที่ขึ้นเขาไป เขาก็หีนไปกล่าวปลอบฮ่วนเอ๋อ
“พี่หลิงเทียน แล้วท่านว่า…ท่านพ่อของฮ่วนเอ๋อตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?”
ในอดีตฮ่วนเอ๋อรู้เพียงว่านางมีแต่มารดาเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าบิดายังมีตัวตนอยู่ ตอนนี้พอได้รับทราบว่าที่แท้บิดาของนางก็ยังอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะคิดเป็นห่วงขึ้นมา
“คงไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรมากนักหรอก”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มอ่อนๆ กล่าวปลอบ “ก็แค่ทำลายสัญญาหมั้นหมายไม่ใช่รึไง? พวกมันที่มีหน้ามีตาในสังคม จะถึงกับเอาชีวิตบิดาเจ้าที่นับเป็นรุ่นเยาว์ในตอนนั้นเพราะเรื่องนี้ได้อย่างไร? หากทำเช่นนั้นไม่เท่ากับป่าวประกาศว่าขุมกำลังของพวกมันบีบคั้นกระทั่งเรื่องส่วนตัวของผู้คนหรือไร?”
“บางที วังเทียนฉืออาจจะแค่จับบิดาเจ้าขังเอาไว้ ให้หันหน้าเข้าหากำแพง หรือไม่ก็ไปผาสำนึกตนอะไรทำนองนั้น”
ถึงแม้ปากจะกล่าวไปดังว่า แต่ในใจต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดแบบนั้นเลยสักนิด
วังเทียนฉือจะอย่างไรเบื้องหลังก็มีเงาของจักรพรรดิสวรรค์แห่งอู๋หยาเทียนดำรงอยู่ ย่อมไม่อาจใช้สามัญสำนึกสำหรับขุมกำลังระดับสวรรค์ทั่วไปมาตัดสินพวกมันได้
ไม่แน่ว่าวังเทียนฉือนั่นอาจจะไม่แยแสสายตาผู้ใด อย่างที่โลกเก่าเขากล่าวไว้ว่าไม่แคร์สื่อ เข่นฆ่าบิดาของฮ่วนเอ๋อทิ้งไปแล้วก็เป็นได้!
“ฮ่วนเอ๋อ ตอนนี้สิ่งที่เจ้าทำได้ ก็มีแค่ตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะและรอฟังข่าวจากผู้นำสายทั้ง 2 เท่านั้น”
“เพราะหากบิดาของเจ้าถูกจับตัวขังไว้ และมารดาเจ้าไม่มีกำลังมากพอจะช่วย ถึงตอนนั้นก็มีแต่ต้องพึ่งพาพลังของเจ้าแล้ว”
“แน่นอนว่าพี่หลิงเทียนจะช่วยเจ้าอีกแรง”
ภายใต้การปลอบโยนอย่างละมุนละม่อมของต้วนหลิงเทียน อารมณ์ของฮ่วนเอ๋อก็ค่อยๆสงบลง จากนั้นดวงตานางก็ฉายแววเด็ดเดี่ยวออกมา “พี่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋ออยากแข็งแกร่งขึ้น!”
เนิ่นนานแล้วที่ฮ่วนเอ๋อไม่ได้จดจ่อกับการยกระดับพลังฝึกปรือของตัวเอง
ในตอนที่พลังของต้วนหลิงเทียนยังไม่แข็งแกร่งเท่านาง นางยังคงมีความฮึกเหิมและแรงจูงใจหมายแข็งแกร่งและเป็นฝ่ายปกป้องต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง เพราะนางรู้สึกว่าทำแบบนี้จะเป็นการช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนได้มากที่สุด
ทว่าหลังจากที่พลังของต้วนหลิงเทียนก้าวข้ามนางไป และนางเห็นว่าอย่างไรระดับพลังบ่มเพาะของตัวเองก็ตามความเข้าใจในกฏของต้วนหลิงเทียนไม่ทัน นางจึงรู้สึกหย่อนคล้อยไปบ้าง และเริ่มชินกับการดูแลปกป้องจากต้วนหลิงเทียนแทน
ทว่ามาตอนนี้หลังได้รับทราบสถานการณ์ของบิดามารดา ใจที่มุ่งมั่นอยากบ่มเพาะพลังของฮ่วนเอ๋อก็หวนกลับมาอีกครั้ง
“ได้สิ พี่หลิงเทียนจะพาเจ้าไปบ่มเพาะเอง”
ก่อนที่จูเก่อฟงจะจากไป ก็ได้บอกรายละเอียดเรื่องยอดเขาก้านเจี้ยงให้ต้วนหลิงเทียนแล้ว ว่าจุดไหนเหมาะแก่การบ่มเพาะฝึกปรือมากที่สุด
และยอดเขาก้านเจี้ยงนั้นแต่เดิมก็มีจูเก่อฟงอาศัยอยู่คนเดียว
ด้วยเหตุนี้พลังวิญญาณฟ้าดินในยอดเขาก้านเจี้ยง จึงถือว่าหนาแน่นบริบูรณ์กว่ายอดเขาท่ายอามาก
และในที่สุดหลังเดินขึ้นเขามาถึงบริเวณกลางๆ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าริมทางเดินขึ้นเขา มีแท่นศิลาเล็กๆทรุดโทรมไม่สะดุดตาแจ้งบอกว่ามีที่พักอยู่ เขาจึงเดินออกนอกเส้นทางขึ้นเขาและลองไปดูทันที
ด้านหลังแท่นศิลาไปก็เป็นเส้นทางเดินแคบๆที่มีหญ้าขึ้นรกทอดยาวไปหลายสิบลี้ เปลี่ยวร้างวังเวงอย่างยิ่ง! แต่พอผ่านช่องทางแคบๆดังกล่าวมา ก็พบหน้าผาเปิดโล่งแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยไอหมอก และบริเวณผนังริมผาที่ว่าก็มีถ้ำให้เห็น ต้วนหลิงเทียนที่ลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นถ้ำที่ขุดลึกไปในผนังริมผาด้วยฝีมือของผู้คน จนด้านในโพรงถ้ำมีห้องหับมากมายไม่ต่างจากบ้านหลังหนึ่ง
และเนื่องจากสถานที่แห่งนี้แลดูลึกลับซับซ้อนทั้งไม่ค่อยเป็นจุดสังเกตอย่างแรง ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกให้มันเป็นสถานที่ๆเขาจะใช้พักและบ่มเพาะพลังในยอดเขาก้านเจี้ยงแห่งนี้
วู้ม! ฟิ่ว! ฟู่วว!
…
หลังเดินเข้ามาในถ้ำจนถึงบริเวณโถงใหญ่ที่เป็นดั่งใจกลางของถ้ำที่พักแห่งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้นสะบัดส่งๆ จากนั้นพลันปรากฏคลื่นพลังไร้สภาพดั่งสายลมหมุนวนหอบหนึ่งพุ่งออกไปจากมือเขา วังวนดังกล่าวคล้ายมีดวงตางอกเงย สามารถดูดรั้งฝุ่นที่จับหนาเตอะทั่วที่ทางในโถงถ้ำมารวมตัวกันในพริบตา
หลังสร้างบอลฝุ่นเท่าแตงโมได้ลูกหนึ่ง โถงถ้ำแห่งนี้ก็แลดูสะอาดสะอ้านขึ้นทันตา
“ฮ่วนเอ๋อ มาบ่มเพาะที่นี่กันเถอะ”
เมื่อเดินนำฮ่วนเอ๋อมาถึงห้องที่อยู่ลึกสุดในโพรงถ้ำที่พักแห่งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดปิดประตูห้องหับ และเปิดใช้ค่ายกลเฝ้าระวังทั้งหมด จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงที่เหมือนจะสร้างขึ้นมาจากหยกเย็น ค่อยหันไปกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อ
ในขณะที่ฝึกฝนบ่มเพาะ ต้วนหลิงเทียนก็ชักนำพลังวิญญาณฟ้าดินจากโลกใบเล็กออกมา ให้หมุนเวียนอยู่รอบๆร่างกายของเขา
แน่นอนว่าในขณะที่ทุ่มจิตสมาธิทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะพลัง ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจควบคุมการชักนำพลังในลักษณะดังกล่าวได้
เขาก็เลยบอกให้วารีเทพชำระโลกาที่เชี่ยวชาญค่ายกลพิสดารมากๆเป็นคนจัดการเรื่องนี้
ตอนนี้ภายในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน พฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ได้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านไปแล้ว และใต้ต้นไม้ใหญ่ดังกล่าว ก็มีมังกรชั่วร้ายสองตัวกำลังฟุบหมอบน้ำลายยืดอยู่คล้ายหลับใหลฝันหวาน แต่อันที่จริงแล้วพวกมันกำลังบ่มเพาะพลังอยู่…
ดวงแสง 5 สีสันดั่งตะวัน ล่องลอยหมุนวนอยู่รอบๆพฤกษาเทพกำเนิดชีพดั่งวงโคจรของดวงดาว และพวกมันก็คือเหล่าเทพเบญจธาตุทั้ง 5 นั่นเอง
เหล่าเทพเบญจธาตุของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ พวกมันก็บรรลุถึงขั้นที่ 6 กันหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากสำหรับพวกมันที่จะอาศัยการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนที่ได้มาจากซากระนาบเทพเพื่อกระดับพัฒนาไปเป็นขั้นที่ 7
เรียกว่าตอนนี้หากพวกมันคิดจะวิวัฒน์พัฒนาอีกครั้ง มีแต่ต้องดูดกลืนเทพเบญจธาตุที่มีธาตุเดียวกับพวกมันเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น ทองเทพสุดลี้ลับก็สามารถดูดกลืนได้แต่ทองเทพสุดลี้ลับด้วยกันเท่านั้น ถึงจะยกระดับพัฒนาตัวเองได้ ต่อให้ดูดกลืนเทพเบจธาตุๆอื่นๆไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด
เหล่าเทพเบญจธาตุที่เหลือทั้ง 4 ก็เช่นเดียวกัน
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ว่าเหล่าเทพเบจธาตุในโลกใบเล็กเขาจะนึกเฮี้ยนลุกขึ้นมาตีกันเอง เพื่อดูดกลืนอีกฝ่าย…
“เสี่ยวเทียน ก่อนหน้านี้ข้าได้ตกลงกับเจ้ามังกรชั่วร้ายทั้ง 2 นั่นแล้ว และพวกมันก็ยินดีรับเจ้าเป็นนาย…อย่างไรก็ตามพวกมันขอให้เจ้าสัญญาว่า หลังจากที่เจ้าบรรลุถึงขอบเขตเทพได้แล้ว เจ้าจะปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ”
เสียงของวารีเทพชำระโลกาดังขึ้น และทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกายทันที
“อันที่จริงงหลังจากเจ้าบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว พวกมันก็คงไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้อีก…เช่นนั้นข้าว่า เจ้าตกลงเรื่องนี้ก็ไม่มีผลเสียอะไรแม้แต่น้อย”
วารีเทพชำระโลกากล่าว
“เอาสิ ข้าตกลง”
ต้วนหลิงเทียนก์ตอบกลับอย่างเห็นด้วย
จากนั้น ในขณะที่ฮ่วนเอ๋อกำลังอาศัยพลังวิญญาณฟ้าดินที่วารีเทพชำระโลกาชักนำออกมาจากโลกใบเล็กเพื่อบ่มเพาะ เขาก็ได้สร้างพันธะวิญญาณบางอย่าง ที่เป็นสัญญานายบ่าวกับมังกรชั่วร้ายในโลกใบเล็กทั้ง 2 ตัวได้อย่างราบรื่น
และไม่ใช่แค่มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงด้วยการช่วยเหลือเขาอย่างเคร่งครัดเท่านั้น เขาเองก็ต้องปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัดเช่นกัน ว่าจะปลดปล่อยมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ให้เป็นอิสระหลังเขาบรรลุถึงขอบเขตเทพ
“ฮู่มมม~~”
“ฮู่มมม~~”
ถึงแม้มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 จะคำรามเป็นการทักทายต้วนหลิงเทียนหลังจากทำพันธะสัญญานายบ่าวกันแล้ว แต่ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทั้งคู่พูดอะไรอยู่
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่สำคัญ
สิ่งที่สำคัญก็คือ ต่อให้เขาจะไม่เข้าใจมันหรือมันไม่เข้าใจเขา แต่หากเขาใช้สำนึกเทวะเพ่งเล็งและคิดจัดการใคร มังกรชั่วร้ายทั้ง 2 ก็จะรับรู้ได้ชัดเจน และไม่มีทางลงมือผิดพลาดแน่นอน
เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญกับต้วนหลิงเทียนที่สุด ส่วนเรื่องหยุมหยิมใดอื่นต้วนหลิงเทียนไม่สนใจ
หลังจากการเรื่องราวกับมังกรชั่วร้ายทั้ง 2 แล้วเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็ทำเหมือนฮ่วนเอ๋อ เริ่มดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินที่ถูกชักนำออกมาจากโลกใบเล็กเพื่อฝึกฝนบ่มเพาะพลังทันที
…
หลังผ่านไป 1 ปี ในที่สุดจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นก็กลับมา
“ท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบได้ความอย่างไรบ้าง?”
เมื่อพบเจอจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็มองถามจูเก่ออวิ๋นทันที
จูเก่ออวิ๋นเหลือบมองไปยังฮ่วนเอ๋อที่ยืนรอฟังเรื่องราวข้างกายต้วนหลิงเทียนปราดหนึ่ง ค่อยหันมากล่าวตอบต้วนหลิงเทียนว่า “บิดาของฮ่วนเอ๋อยังมีชีวิตอยู่…”
ได้ยินวาจาดังกล่าวของจูเก่ออวิ๋น ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฮ่วนเอ๋อ สองตาก็อดทอประกายออกมาไม่ได้
“นี่เป็นข่าวดีก็จริง…อย่างไรก็ตามยังมีอีกข่าวที่ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่”
พอจูเก่ออวิ๋นกล่าวเกริ่นออกมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ชักหน้าเคร่งทันที
“มารดาของฮ่วนเอ๋อ ก็ถูกคนของวังเทียนฉือกักขังไว้เช่นกัน…”
จูเก่ออวิ๋นกล่าว
ซูว ซูว
สีหน้าต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน! เพราะนี่นับเป็นข่าวร้ายจริงๆ!!
เพราะตอนนี้ไม่ใช่สามารถกล่าวอีกอย่างได้ว่า…จะบิดาของฮ่วนเอ๋อก็ดี มารดาของฮ่วนเอ๋อก็ดี ล้วนถูกจับขังไว้ในวังเทียนฉือแห่งอู๋หยาเทียนหรอกหรือไร?
“ผู้อาวุโส…แล้วท่านพอจะรู้บ้างไหมว่าทั้งคู่เป็นอย่างไรบ้าง”
ต้วนหลิงเทียนเปิดประตูเห็นภูผาเอ่ยถามจูเก่ออวิ๋นเข้าประเด็นทันที เพราะเขาจะพอเดาได้แต่แรกแล้วว่าไม่มีทางที่วังเทียนฉือจะต้อนรับบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อในฐานะแขก กระทั่งไม่น่าจะให้ทั้งคู่ได้อยู่ดีมีสุขแน่นอน
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน”
จูเก่ออวิ๋นส่ายหัว “เพื่อสืบหาความเรื่องนี้ให้กระจ่างที่สุด พวกเราได้เลือกจะไปเยือนวังเทียนฉือในนามตัวแทนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะแล้ว…”
“แต่ไม่ว่าข้าจะเลียบๆเคียงๆถามอย่างไร อีกฝ่ายก็หลีกเลี่ยงจะพูดถึงมัน เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้คนนอกเช่นข้ารับทราบเรื่องภายใน”
จูเก่ออวิ๋นกล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงก็ฟังดูจริงจังไม่น้อย “อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงตอบคำของอาวุโสวังเทียนฉือหลังข้าเลียบๆเคียงๆถามเรื่องบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อนั้น มันฟังดูห้วนเย็นไร้ปราณียิ่ง สิ่งนี้บอกให้ข้าทราบว่าวังเทียนฉือไม่น่าจะปล่อยให้บิดามารดาของฮ่วนเอ๋ออยู่ดี…”
หลังจูเก่ออวิ๋นกล่าวจบคำ ดวงตาคู่งามดั่งสารทของฮ่วนเอ๋อก็ทอแววกังวลเป็นอย่างมาก
ด้านต้วนหลิงเทียนหลังได้ยินสิ่งที่จูเก่ออวิ๋นบอก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดเช่นกัน
ดูเหมือนว่าถึงแม้บิดามารดาของฮ่วนเอ๋อจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่พ้นทั้งคู่ต้องถูกทรมาณแน่นอน…แค่เขาไม่ทราบว่าวังเทียนฉือกำหนดขอบเขตความรุนแรงไว้แค่ไหน
“พี่หลิงเทียนฮ่วนเอ๋ออยากไปวังเทียนฉือ”
ฮ่วนเอ๋อหันไปมองพูดกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงแววตาแน่วแน่
“ฮ่วนเอ๋อ วังเทียนฉือพวกเราต้องไปแน่…แต่เรื่องนี้พวกเราต้องวางแผนระยะยาว เพาะกระทั่งผู้อาวุโสทั้ง 2 ไปเอง ยังไม่อาจสืบทราบรายละเอียดเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นต่อให้พวกเราไปกันตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อก็เงียบไปทันที เพราะนางก็รู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพูดเป็นความจริง
“หากพวกเจ้าคิดจะไปวังเทียนฉือกันจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส…วังเทียนฉือนั้นปกติแล้วจะเปิดรับสมัครศิษย์สาวกทุกๆรอบ 1,000 ปี และจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่ 12 ปีเท่านั้น ก่อนที่วันรับศิษย์ที่ว่าของวังเทียนฉือจะเวียนมาถึง”
จูเก่ออวิ๋นกล่าว “ทุกคนที่มีอายุต่ำกว่า 1,000 ปีสามารถไปเข้าร่วมบททดสอบเพื่อเข้าสู่วังเทียนฉือได้ และขอเพียงผ่านบททดสอบของพวกมันได้ ก็รับประกันเรื่องที่จะเข้าเป็นศิษย์ได้เลย”
“อีกทั้งหากด่านพลังฝึกปรือแตกต่างกัน รวมถึงผู้คนที่มีอายุแตกต่างกัน ระดับของบททดสอบก็จะแต่งต่างกันไปตามความเหมาะสม…”
“ด้วยพลังฝีมือของพวกเจ้าในวัยเพียงเท่านี้ เรื่องเข้าสู่วังเทียนฉือเรียกว่านอนมาแล้ว…”
จูเก่ออวิ๋นกล่าว
“เข้าเป็นศิษย์วังเทียนฉือหรือ?!”
สองตาฮ่วนเอ๋อทอประกายจ้าทันที
กลับกัน ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วย่นยู่ วิธีแทรกซึมเข้าไปหาข่าวจากภายในเขาก็มีคิดไว้แล้วเช่นกัน แต่เขาก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย เพราะสุดท้ายแล้วเขากับฮ่วนเอ๋อก็พึ่งจะเข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะได้ไม่ทันไร ไม่เพียงแต่จะยังไม่ได้สร้างคุณงามความดีให้นิกาย กระทั่งยังได้รับการช่วยเหลือจากจูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นไปแล้วมากมายด้วย…
คล้ายสังเกตเห็นความลำบากใจของต้วนหลิงเทียนก็ไม่ปาน จูเก่อฟงจึงมองต้วนหลิงเทียนด้วยความชื่นชมทันที ด้านจูเก่ออวิ๋นก็สังเกตเห็นเช่นกัน จึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดเสียว่าการเข้าสู่วังเทียนฉือครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าไปเพื่อเป็นศิษย์ของพวกมันจริงๆ แต่เป็นการแฝงตัวไปสืบข่าวเรื่องบิดามารดาฮ่วนเอ๋อเท่านั้น”
“พวกเจ้ายังคงเป็นศิษย์นิกายกระบี่หมื่นหายนะ รวมถึงเป็นศิษย์สายก้านเจี้ยงและสายม่อเหยียของพวกเราเสมอ…พวกเจ้าสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ”
จูเก่ออวิ๋นกล่าว
“ขอบคุณอาวุโส”
ได้ยินคำพูดของจูเก่ออวิ๋น ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกซาบซึ้งน้ำใจของนางไม่น้อย
“ขอบคุณผู้นำสาย”
ตอนนี้เองฮ่วนเอ๋อ ก็มองกล่าวกับจูเก่ออวิ๋นด้วยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าวันหน้าจะเป็นอย่างไรหรืออยู่ที่ไหน ฮ่วนเอ๋อจะเป็นศิษย์สายม่อเหยียของนิกายกระบี่หมื่นหายนะไปชั่วชีวิต…เรื่องนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
“ข้าก็เช่นกัน”
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ากล่าวคำ ถึงแม้เขาจะไม่ได้อยู่ในนิกากระบี่หมื่นหายนะนานนัก แต่เพราะน้ำใจที่จูเก่อฟงกับจูเก่ออวิ๋นมอบให้ เขาก็เห็นนิกายกระบี่หมื่นหายนะเป็นบ้านเรียบร้อยแล้ว
เป็นบ้านที่เขาสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ!
“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไปเถอะ”
จูเก่ออวิ๋นโยนแหวนวงหนึ่งให้ต้วนหลิงเทียน กล่าวพลางโบกมือว่า “ระหว่างเดินทางกลับ พวกเราสองคนก็ได้ตัดสินใจกันแล้ว ว่าจะปล่อยให้พวกเจ้าเข้าสู่วังเทียนฉือของอู๋หยาเทียน…สิ่งของในแหวนก็มีไว้ช่วยเหลือพวกเจ้ายามคับขัน สมควรมีประโยชน์กับพวกเจ้าไม่น้อย”
หลังจากต้วนหลิงเทียนผูกพันธะครองแหวน จากนั้นก็แผ่สำนึกเทวะส่องภายในตัวแหวนทันที หลังมองไปปราดเดียวเขาก็พบยันต์อมตะเป็นกอง สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
ยันต์อมตะที่จูเก่ออวิ๋นมอบให้ แค่มองเขาก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่ยันต์อมตะธรรมดาๆแน่นอน
“วังเทียนฉือของอู๋หยาเทียนนั่น…ตอนเจ้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกไม่ว่าที่ใด เจ้าสามารถเดินทางไปยังเขตปกครองของวังเทียนฉือได้โดยตรง อาณาเขตของวังเทียนฉือค่อนข้างกว้างขวางมาก แต่เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วเพียงถามคนในพื้นที่ดู เจ้าก็จะพบที่ตั้งวังเทียนฉือได้ไม่ยาก”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะออกเดินทาง จูเก่ออวิ๋นก็กล่าวเตือนทั้งคู่อีกครั้ง