WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3288
WSSTH ตอนที่ 3,288 : เผ่ามังกรโลหิต จี้เฉวียน!
บางทีอาจเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนตั้งหน้าตั้งตาฟังเรื่องราวของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนที่ตนเล่า เมิ่งห่าวซวนจึงรู้สึกดีกับต้วนหลิงเทียนมากขึ้น
หลังจากนั้นพอได้พูดคุยกันไปสักพัก ก็เริ่มสนิทกันมากกว่าเดิม
“น้องชายหลิงเทียน ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าที่ถูกขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือท่าน…มิทราบว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว ท่านพอจะทราบสถานการณ์ในปัจจุบันของศิษย์พี่ใหญ่ข้าหรือไม่?”
บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าสนิทกับต้วนหลิงเทียนในระดับหนึ่งแล้ว เมิ่งห่าวซวนอยู่ๆก็เปลี่ยนเรื่อง และถามถึงเรื่องละเอียดอ่อนดังกล่าวออกมาตรงๆ
“คุกหมื่นพันธนาการ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหรี่งทันที เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้ยินเรื่องคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือ แม้เขาจะอยู่ในวังเทียนฉือแล้ว กระทั่งลองไปตรวจสอบที่ทาง และหลอกถามศิษย์คนอื่นเพื่อหาเบาะแสสถานที่ๆบิดามารดาฮ่วนเอ๋อถูกจับขังไว้ทั้งเดือน แต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย
เขากับฮ่วนเอ๋อก็ไม่กล้าถามศิษย์ที่มีสถานะสูงๆด้วย
คนฐานะต่ำก็ไม่รู้อะไรเลย
ต้วนหลิงเทียนก็คิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว เขาจึงวางแผนว่า รอให้อยู่ในด่านของฉือหล่างอีกสักพัก จากนั้นค่อยเลียบๆเคียงๆถามฉือหล่างดูทีเดียว เพราะฉือหล่างในฐานะที่เป็นถึง 1 ใน 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามของวังเทียนฉือ ต้องรู้แน่ว่าบิดามารดาฮ่วนเอ๋อถูกขังไว้ที่ไหน
เดิมทีเขาเองก็คิดว่าต้องรอสืบจากฉือหล่าง จึงจะรู้ว่าสถานที่ๆบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อถูกขังไว้เป็นที่ไหน แต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้มารู้ชื่อสถานที่ๆบิดามารดาของฮ่วนเอ๋อถูกขุมขังจากศิษย์ของขุนเขากระบี่ฟ้า ในสถานที่ทดสอบจอมราชันอมตะสมญานามซะได้!
“พี่เมิ่ง ท่านแน่ใจหรือว่าศิษย์พี่ใหญ่ของท่านถูกขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม สองตาที่มองเมิ่งห่าวซวนยังทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง
“เรื่องนี้เป็นอาจารย์ของข้าบอกมา…”
เมิ่งห่าวซวนกล่าว “อาจารย์ของข้าก็คือจักรพรรดิอมตะกระบี่ซ่อน ที่รู้จักกันดีในนาม ‘ผู้เฒ่ากระบี่ซ่อน’ ของขุนเขากระบี่ฟ้า…ที่จริงกล่าวไปแล้วอาจารย์ของข้ากับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ก็เสมือนเส้นทางพาดทับกันมาครั้งหนึ่ง”
ขณะกล่าวเรื่องนี้ออกมา สีหน้าเมิ่งห่าวซวนก็เต็มไปด้วยความภูมิใจ
“โอ้?”
ต้วนหลิงเทียนมองเมิ่งห่าวซวนด้วยความสนใจ “เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”
ในสายตาเขา ลองเมิ่งห่าวซวนบอกมาว่าอาจารย์ของมีจุดตัดกับอาวุโสฟงชิงหยางแบบนี้ หมายความว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้จักและมีไมตรีต่อกันบางอย่าง
“ในอดีตตอนที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ยังไม่ได้เป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ท่านได้เดินทางท่องไปทั่วสารทิศ ท้าประลองกับมือกระบี่ที่ร้ายกาจมากมาย…อาจารย์ของข้าก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกท้า และแพ้พ่ายต่อใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”
เมิ่งห่าวซวนกล่าว
พออีกฝ่ายกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปพักหนึ่ง และถามแทรกขึ้นมาทันที “พี่เมิง…ท่านคงไม่ได้จะบอกว่า เส้นทางพาดทับของท่าน…คือการพ่ายแพ้จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางเฉยๆ ไม่ใช่เพราะรู้จักกันอะไรแบบนั้นหรอกนะ?”
“ก็ได้พบเจอประลองกันแล้วแพ้พ่าย ไม่ใช่ว่าก็เสมือนเส้นทางได้พาดผ่านกันแล้วรึ?”
เมิ่งห่าวซวนกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
หากเช่นนี้ถือว่าเส้นทางพาดผ่าน แล้วเขาล่ะเรียกว่าอะไร? เพราะเขาเป็นผู้ที่เคยได้รับสืบทอดมรดกยอดใจกระบี่ที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ในบ้านเกิดเชียวนา?
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนก็ร่วมเดินทางตระเวนหาคนอยู่อีก 2 วันกว่าจะพบเจอบุคคลที่ 3
บุคคลที่ 3 ที่ว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ มาในชุดคลุมสีเทา คิ้วหน้าตาโต ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุร้ายดิบเถื่อน ไม่คล้ายผู้คน
“คนผู้นี้มิใช่มนุษย์”
เมิ่งห่าวซวนส่งเสียงผ่านพลังไปคุยกับต้วนหลิงเทียน ขณะพากันเหินร่างเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงใหญ่
“ข้าว่างั้น”
ตั้งแต่ที่ยังไม่ได้เข้าใกล้อีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้แต่แรกว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างอีกฝ่ายมันดุร้ายและแข็งกร้าวอย่างเป็นธรรมชาติเกินไป ประหนึ่งสัตว์ป่าที่กระหายเลือดตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น นี่ไม่ใช่อะไรที่มนุษย์จะมีได้แน่นอน
“หืม?”
เมื่อเห็นพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 2 เหินร่างเข้าใส่ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่เผยเจตนาหลบหนีแม้แต่นิดเดียว เพียงหยุดร่างลงกลางหาว รอให้ทั้งคู่เข้าใกล้อย่างสงบ
“หึ!!”
และก่อนที่พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 2 จะทันได้เข้าใกล้ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แลดูล่ำสัน ก็พ่นลมสบถเยียบเย็นคำหนึ่ง จากนั้นก็ลงมือออกมาทันที!
แขนขวาที่เต็มไปด้วยกล้ามของมัน อยู่ๆก็สะบัดโบกออกมาฉับไว หลังจากนั้นก็ปรากฏกลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่พุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวน ทิ้งอากาศที่จับตัวแข็งเป็นไอขมุกขมัวเอาไว้ตามรายทาง!
“กฏน้ำแข็งรึ?”
เมื่อเห็นว่ามีไอเย็นยะเยือกแผ่พุ่งโถมมาดั่งคลื่นสมุทร! ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลง จากนั้นร่างก็อันตรธานหายวับไป ไม่ได้แยแสไอเย็นที่โถมมาแม้แต่น้อย!!
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
ด้านเมิ่งห่าวซวนนั้น ทั่วร่างปรากฏรังสีกระบี่สีทองอันแผ่กลิ่นอายแหลมคมหลายสายม้วนวนโคจรรอบกายปานเส้นแสง! สับสะบั้นทุกสิ่งอย่างที่กร้ำกรายได้อย่างง่ายดาย ไอเย็นที่แผ่พุ่งเข้ามาไม่อาจทำอะไรรังสีกระบี่สีทองได้เลย!!
“เจ้าไม่เบาเลยนี่!”
ชายหนุ่มร่างใหญ่มองจ้องไปยังเมิ่งห่าวซวนด้วยความสนใจ เพราะอีกฝ่ายลุยฝ่าม่านไอเย็นของมันเข้ามาโต้งๆ!
สำหรับด้านต้วนหลิงเทียนนั้น เพราะใช้เคลื่อนมิติหลีกหลบ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จึงไม่อาจมองพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนได้ออก จึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
ทว่าการลงมือของเมิ่งห่าวซวนนั้นตรงไปตรงมา ทำให้มันรับทราบความสูงต่ำของอีกฝ่ายได้ประมาณหนึ่ง
“สหายท่านนี้ใจเย็นก่อน พวกเรามิได้มีเจตนาร้าย”
ในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังจะลงมืออีกครั้ง เมิ่งห่าวซวนก็เร่งกล่าวออกมาเร็วไว “พวกเราเข้ามาหาท่าน เพียงเพราะคิดชวนท่านเข้าสู่ด่านทดสอบย่อยแห่งหนึ่งในสถานที่ทดสอบแห่งนี้”
“อ้อ?”
ได้ยินคำพูดของเมิ่งห่าวซวน ชายร่างสูงใหญ่บึกบึนที่กำลังจะออกกระบวนท่าอีกครั้ง ก็หยุดมือลง ทว่าสายตายังจับจ้องมองต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนไม่วางตา พลังยังคงโคจรพร้อมพรั่ง สภาวะต่อสู้ไม่คลาย สามารถลงมือได้ทุกเวลา
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนไม่แปลกใจอะไร กระทั่งยังเข้าใจความระวังตัวของอีกฝ่าย เลือกที่จะหยุดร่างห่างไกลจากอีกฝ่ายประมาณหนึ่ง จากนั้นก็เผยท่าทีสงบไร้จิตต่อสู้
“ข้ามาจาก ขุนเขากระบี่ฟ้า ขุมกำลังระดับสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียน เมิ่งห่าวซวน”
เมิ่งห่าวซวนที่หยุดมองชายหนุ่มร่างใหญ่ด้วยท่าทางไม่มีพิษมีภัยกล่าวแนะนำชื่อตัวเองรวมถึงความเป็นมาด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัยก่อน ค่อยผายมือไปทางต้วนหลิงเทียนและกล่าวแนะนำออกมา “ส่วนสหายที่มากับข้าด้านนี้คือต้วนหลิงเทียนจากวังเทียนฉือของอู๋หยาเทียน”
“ข้ากับสหายต้วน พวกเราก็พึ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน…ด่านทดสอบที่ว่าเป็นข้าพบเจอโดยบังเอิญ สหายต้วนก็คือคนแรกที่ข้าพบเจอและชักชวนมาได้”
เมิ่งห่าวซวนกล่าว
“ว่านโช่วเทียน เผ่ามังกรโลหิต จี้เฉวียน!”
ชายหนุ่มร่างใหญ่กล่าวออกมาเสียงห้วน แนะนำชื่อและความเป็นมาอย่างกระชับได้ใจความ
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนกับเมิ่งห่าวซวนจึงยืนยันได้ว่า อีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์จริงๆ
ว่านโช่วเทียนนั้นเป็นระนาบเทวโลกที่เหล่าสัตว์อมตะทั้งหลายปกครอง และแทบไม่มีมนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้เลย เรียกว่าเป็นสถานที่ๆมนุษย์อยู่ยากมาก!
“ที่แท้เป็นสหายจี้จากเผ่ามังกรโลหิตอันโด่งดังของว่านโช่วเทียนนี่เอง…ว่าแต่สหายจี้สนใจด่านทดสอบที่ข้าพูดถึงเมื่อครู่หรือไม่?”
เมิ่งห่าวซวนยิ้มถาม
“ใช่”
จี้เฉวียนพยักหน้ารับเบาๆ
ด้วยประการฉะนี้กลุ่มของต้วนหลิงเทียน ก็เลยมีสมาชิกทั้งสิ้น 3 คนแล้ว
“เอาล่ะ พวกเราไปตามหาคนต่อเถอะ อีกแค่ 2 คนพวกเราก็จะได้เข้าไปยังสถานที่ทดสอบนั่นแล้ว”
เมิ่งห่าวซวนกล่าว
ทั้ง 3 ร่วมเดินทางไปด้วยกัน แน่นอนว่ายังคงเว้นระยะห่างกันประมาณหนึ่ง
“เผ่ามังกรโลหิต?”
ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกสนใจจึงส่งเสียงผ่านพลังไปถามเมิ่งห่าวซวน “ข้ารู้แค่ว่าในว่านโช่วเทียนมีเผ่าพันธุ์มังกรดำรงอยู่ และจัดเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ด้วย…แล้วเผ่ามังกรโลหิตนี่มีความเป็นมาอย่างไรบ้างหรือ?”
“น้องหลิงเทียน เผ่ามังกรโลหิตนี้ ท่านจะเข้าใจว่ามันเป็นเผ่าย่อยที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระจากเผ่ามังกรก็ได้…อย่างไรก็ตามแม้จะเป็แค่เผ่าย่อยที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระ แต่ก็มีจักรพรรดิอมตะสมญานามถึง 5 คน และพลังฝีมือก็ไม่ใช่เล่นๆเลย”
เมิ่งห่าวซวนก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับฉับไว “เป็นธรรมดาว่าถึงแม้จะเป็นเผ่าพันธุ์ย่อยที่แยกตัวออกมาเป็นอิสระของเผ่าพันธุ์มังกร แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามังกรโลหิตกับเผ่ามังกรก็ค่อนข้างระหองระแหงมาก”
“เห็นว่าเผ่ามังกรของว่านโช่วเทียน ไม่ยอมรับว่าเผ่ามังกรโลหิตเป็นหนึ่งในสายพันธุ์มังกรของพวกมัน”
หลังได้ยินคำพูดดังกล่าวของเมิ่งห่าวซวน ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ทั้ง 3 เหินร่างตระเวนไปเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก
หลังจากผ่านไปอีก 5 วัน ในที่สุดก็พบเจออีก 2 คน และทั้งคู่ก็ไม่ได้มาจากขุมกำลังระดับสวรรค์แต่อย่างใด หนึ่งในนั้นมาจากขุมกำลังระดับหนึ่ง ส่วนอีกคนเป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัด
“เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้พวกเราก็มีครบ 5 คนแล้ว…เช่นนั้นพวกเราเดินทางไปยังสถานที่ตั้งด่านทดสอบย่อยกันเลยเถอะ”
เมิ่งห่าวซวนหันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆด้วยรอยยิ้ม หลังรวบรวมคนได้ครบ 5 คนตามกำหนด
ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
และตอนนี้ 5 คนก็เหินร่างรวมกลุ่มกันไม่ได้เว้นระยะห่างแต่อย่างใด เพราะทั้ง 5 ได้ตกลงร่วมกันแล้วว่าจะไปยังด่านทดสอบย่อย หากมีใครอุตริเปิดฉากลงมือ ไม่พ้นได้ตกเป็นเป้าสังหารของอีก 4 คนที่เหลือทันทีแน่!
“อยู่นั่นไง”
ภายใต้การนำทางของเมิ่งห่าวซวน ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ได้พุ่งดิ่งลงทะเลสาบบแห่งหนึ่ง จากนั้นดำลงน้ำไปไม่ทัรไร ก็พบว่าก้นทะเลสาบจุดหนึ่ง มีประตูมหึมาที่แลดูเก่าแก่โบราณ 5 บานลอยเหนือก้นทะเลสาบเล็กน้อย
“ประตูทั้ง 5 บานต้องใช้คนทั้ง 5 เปิดออกพร้อมกัน…ข้าเคยใช้ความเร็วสูงสุด จนเสมือนมีเงาเปิดประตูทั้ง 5 บานพร้อมๆกัน แต่กลับไม่อาจเปิดมันได้”
เมิ่งห่าวซวนกล่าว “มีแต่ต้องเป็นคนจริงๆเท่านั้นถึงจะเปิดประตูได้ เพราะหลังไปยืนหน้าบานประตู…มันจะมีพลังสายหนึ่งแผ่ออกมาตรวจสอบผู้ที่จะเปิดประตู”
ในขณะที่ห่าวซวนควบเสียงผ่านพลังส่งตรงถึงหูทั้ง 4 คน มันก็ไม่อยู่เฉย เลือกจะเหินร่างไปหยุดลอยใกล้ๆประตูบานหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่น ก็ไม่ได้ยืนเฉยเลือกจะลอบไปอยู่เบื้องหน้าประตูอีก 4 บานคละประตูเช่นกัน
และไม่ทันที่ทั้ง 5 จะแตะประตูอะไร เพียงแค่ลอยหน้าประตู น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ก็เริ่มสั่นไหว ปานกำลังจะเดือดพล่าน!
หากมีใครอยู่ด้านบนทะเลสาบ ไม่พ้นต้องตกใจแน่เพราะทะเลสาบแต่เดิมที่เคยยสงบ ตอนนี้เสมือนมันถูกต้มจนเดือดแล้วจริงๆ!
ประตูทั้ง 5 บานที่อยู่ก้นทะเลสาบก็เริ่มเปิดออกทีละบาน จากนั้นก็มีพลังขุมหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากประตูแต่ละบาน และปกคลุมร่างคนทั้ง 5 หน้าประตูเร็วไว!
พริบตาต่อมาร่างคนทั้ง 5 หน้าประตูก็อันตรธานหายไปทันที!
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนที่พบว่าเบื้องหน้ากลายเป็นมืดมิดไปครู่หนึ่ง พอเห็นแสงสว่างอีกครั้ง เขาก็มองสำรวจไปรอบๆทันที จึงพบว่าตัวเองถูกส่งมายังพื้นที่ปิดสนิทแห่งหนึ่ง คล้ายห้องเล็กๆทรงสี่เหลี่ยมจัดตุรัส และไม่ทันไรเขาก็พบว่ามีแรงกดดันมหาศาลกำลังกดทับเข้าร่าง! ประหนึ่งสายน้ำเชี่ยวโถมถันเข้าร่างเขาจากทุกทิศทาง!!
เขาลองใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานพลังมิติเพื่อต้านทานรับมือแล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร แรงกดดันพลังมหาศาลดังกล่าวมันบดขยี้พลังของเขาได้อย่างง่ายดายนัก!
“ที่นี่นับว่าเหมาะยิ่งนักที่เจ้าจะใช้หลอมสารัตถะต้นไม้เทพสนหลิว!”
ตอนนี้เองเสียงของวารีเทพชำระโลกาพลันดังขึ้นเข้าหู ทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันที
“แล้วจะหลอมมันอย่างไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“เจ้านั่งขัดสมาธิลงไปก่อน จากนั้นข้าจะชักนำสารัตถะที่พฤกษาเทพดูดกลืนมาจากต้นไม้เทพสนหลิวและผสานมันเข้ากับร่างกายของเจ้า…จากนั้นเจ้าก็ทำตามวิธีที่ข้าจะบอกเพื่อหลอมเกลาสารัตถะที่ว่าให้เป็นของเจ้าโดยสมบูรณ์”
วารีเทพชำรโลกากล่าว
“ได้”
ต้วนหลิงเทียนตอบ ไม่รอช้าทิ้งตัวลงนั่งจุ้มปุ๊กบนพื้นห้องทันที
หลงจากนั้นทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏแสงพลังสีขาวห่อหุ้มเอาไว้โดยยสมบูรณ์
แรงกดดันอันน่ากลัวโดยรอบก็กระหน่ำเคี่ยวกรำเข้ามาไม่หยุด
ทุกวินาทีที่แรงกดดันด้านนอกโถมกระหน่ำเข้ามา แสงสีขาวที่ว่าก็เสมือนถูกบีบอัดให้ผสานเข้าไปในร่างต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็ทะลักออกมาใหม่ก่อนจะถูกบีบอัดหายเข้าร่างไปอีกครั้ง…ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นรอบแล้วรอบเล่าอย่างไม่รู้จบ
‘ที่แท้สารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวที่พฤกษาเทพกำเนิดชีพ ก็หลอมได้ด้วยวิธีนี้…น่าทึ่งจริงๆ’
‘รู้สึกเหมือนร่างกายข้ากำลังบังเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง…’
ขณะที่หลอมสารัตถะของต้นไม้เทพสนหลิวถูกหลอมให้ผสานเข้าสู่ร่างกาย ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเคลิบเคลิ้มอยู่บ้าง