WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3309 จ้าววังเทียนฉือปรากฏาย!
ตอนที่ 3,309 : จ้าววังเทียนฉือปรากฏาย!
“อาวุโสฟ้าลี้ลับ…”
หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ หลู่จี้ ศิษย์พี่รองของต้วนหลิงเทียน ก็ออกตัวมองกล่าวกับชายชราด้วยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง “การประลองบนสังเวียนอัจฉริยะวันนี้ รู้กันไปทั่วทั้งวังเทียนฉือ…”
“หากอาวุโสไม่อยากให้หานอวิ๋นจิ่นตกตาย ไฉนไม่ห้ามมันมิให้ก้าวขึ้นสังเวียนประลองแต่แรก?”
“อีกทั้งหลังประลองไปสักพักตอนมันแลดูกำลังมีเปรียบไฉนท่านไม่ออกมา ท่านกลับออกมาสอดมือตอนมันแพ้พ่ายศิษย์น้องเล็กข้าจนใกล้ตาย…เรื่องนี้กล่าวไปมันฟังดูไม่ค่อยจะดีกระมัง?”
ขณะกล่าวประโยคท้าย สีหน้าหลู่จี้ก็มืดลงแลดูถมึงทึงนัก
ถึงแม้ศิษย์วังเทียนฉือคนอื่นๆจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาที่ใช้มองจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับก็เผยความไม่พอใจออกชัด
ด้านชายชราไม่พูดตอบอะไร เพียงมองต้วนหลิงเทียนสลับกับหลู่จี้ผ่านๆ ค่อยยกมือขึ้นหมายช่วยหานอวิ๋นจิ่นสืบต่อ
“ใต้เท้าฟ้าลี้ลับ…”
ทว่าทันใดนั้นเองอาวุโสตำหนักลองกระบี่ที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการประลองเป็นตายบนสังเวียนอัจฉริยะวันนี้ ได้ประสานมือโค้งคารวะให้ชายชรา พลางกล่าวออกมาว่า “การประลองเป็นตายวันนี้มีนัดหมายแน่ชัด ถูกต้องตามกฏ และมีตัวข้าเป็นสักขีพยาน…”
“วันนี้หากคนที่พ่ายแพ้มิใช่หานอวิ๋นจิ่น แต่เป็นต้วนหลิงเทียน…ใต้เท้าฟ้าลี้ลับคงไม่คิดสอดมือเข้ามายุ่งกระมัง?”
อาวุโสฉิน ผู้อาวุโสของตำหนักลองกระบี่ก็ออกตัวกล่าวกับชายชราด้วยสีหน้าน้ำเสียงจริงจัง แม้ในแววตามันจะเต็มไปด้วยความหวั่นเกรง แต่ก็ยังเลือกที่จะออกหน้ากล่าว
“ต่อหน้าข้า ถึงตาให้เจ้าพูดแล้วหรือ?”
ชายชราเหลือบไปมองอาวุโสตำหนักลองกระบี่เล็กน้อย จากนั้นไม่มีใครแลเห็นว่ามันลงมืออย่างไร แต่ปรากฏพลังไร้สภาพมหาศาลขุมหนึ่งทะลวงผ่านอากาศฉับไว ซัดกระแทกเข้าร่างอาวุโสตำหนักลองกระบี่อย่างจัง ทำให้ร่างคนเซถลาล่าถอยไปในอากาศหลายก้าวใหญ่…
“อั๊ค—”
หลังจากล่าถอยไปหลายก้าวใหญ่ อาวุโสตำหนักลองกระบี่ที่ร่างโงนเงนมือกุมอก ก็กระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ ลมหายใจของมันคล้ายอิดโรยลงทันตา คนเสมือนสูญสิ้นเรี่ยวแรง
ฟืด! ฟืด! ฟืด! ฟืด!
…
เห็นฉากเรื่องราวดังกล่าว เหล่าศิษย์วังเทียนฉือหลาคนก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ “เฮ่อ อีหร็อบนี้ดูท่าจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับคิดจะช่วยหานอวิ๋นจิ่นให้ได้จริงๆ”
“หานอวิ๋นจิ่นนั่นกล่าวไปมันก็ติดตามจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นศิษย์อัจฉริยะที่ทำให้จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับภาคภูมิใจที่สุด ไหนเลยจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับจะทนมองมันตกตายไปต่อหน้าต่อตาได้เล่า..”
“จักรรพรดิอมตะฟ้าลี้ลับ จะครอบงำผู้คนเกินไปแล้ว…”
“การจะครอบงำผู้คน ก่อนอื่นต้องมีทุนรอนให้ครอบงำผู้คน…พอดีจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับมีทุนรอนดังกล่าว”
…
จังหวะนี้เหล่าศิษย์ของวังเทียนฉือก็ได้แต่กระซิบกระซาบคุยกัน ด้วยความไม่พอใจกับการกระทำเอาแต่ใจของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ แต่ไม่มีใครกล้ายืนหยัดพูดอกมาตรงๆ กล่าวไปพวกมันไม่กล้าพูดออกมาเสียงดังด้วยซ้ำ
เพราะผู้ใดจะไปรู้ เกิดจักรพรรดิอมตะฟ้าลีลับมีโมโห หันมาซัดเปรี๊ยงเดียวพวกมันตัวแตกตายขึ้นมา จะให้พวกมันไปร้องเรียนกับใคร?
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าหานอวิ๋นจิ่นกำลังจะได้รับการช่วยเหลือจากจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ
และในขณะที่จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับกำลังจะลงมืออีกรอบนั้นเอง
“ฟ้าลี้ลับ ในเมื่อนี่เป็นการประลองเป็นตายไม่ตายไม่เลิกรา…เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้สอดมือเลยเถอะ”
เสียงนุ่มหูฟังดูคลุมเครือยากแยกแยะว่าเป็นหญิงหรือชายกันแน่ พลันดังขึ้นแต่ไกล หากทว่าฟังเหมือนกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ
และพอได้ยินเสียงดังกล่าว ชายชราที่แลดูเอาแต่ใจไม่เห็นหัวใคร ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
จากนั้นมันก็ลดมือลง ก่อนจะหันไปมองความว่างเปล่าทิศทางหนึ่ง พลางกล่าว “คารวะจ้าววัง”
พอเสียงชายชราดังจบคำ ก็ปรากฏร่าง 3 ร่างที่เหินมาแต่ไกลมาหยุดลงกลางฟ้าเหนือสังเวียนอัจฉริยะ
2 คนที่ติดตามร่างที่นำมานั้น ก็คือจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่าง ส่วนอีกคนก็คือจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิง
ส่วนร่างที่นำมา เป็นชายวัยกลางคนมาในชุดคลุมยาวสีขาว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสง่างามปานหยกเสลา แม้คนแลดูเฉยเมยไร้อารมณ์ หากทว่าหว่างคิ้วกลับแผ่พุ่งความน่าเกรงขามออกมาประการหนึ่ง
มันก็คือจ้าววังเทียนฉือ จักรพรรดิอมตะพินิจเอกอุ โหยวเฟิงอวี้
ขณะเดียวกัน มันยังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดา 9 จักรพรรดิอมตะสมญานามแห่งวังเทียนฉือ…ยังลือกันว่าต่อให้จักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือกกับจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับร่วมมือกัน ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน!!
แน่นอนว่าเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น
ทว่าถึงจะเป็นแค่ข่าวลือ แต่พิจารณาจากการที่จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับคารวะทักทายอย่างเคารพ กลายเป็นเรียบๆร้อยๆเชื่อฟังแบบนี้ เห็นทีจะไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอยเสียแล้ว…
“ครู?”
พอเห็นฉือหล่างมาถึง ต้วนหลิงเทียนก็อดแปลกใจไม่ได้
อย่างไรก็ตาม พอหยุดคิดวูบหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักเรื่องราวได้…สมควรเป็นครูของเขาไปหาเหลยอิงจ้าวตำหนักลองกระบี่ และชวนกันไปพบจ้าววังเทียนฉือแต่แรก!
เห็นได้ชัดว่าฉือหล่างคาดไว้แต่แรกว่าจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับจะปรากฏตัวแบบนี้
“ศิษย์ผู้น้อยขอคารวะท่านจ้าววัง!!”
“คารวะท่านจ้าววัง!”
ในขณะที่จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับประสานมือโค้งคารวะผู้มาใหม่ เหล่าศิษย์วังเทียนฉือโดยรอบพอรู้สึกตัวก็เร่งประสานมือโค้งคารวะออกไปด้วยความเคารพทันที
ยังมีศิษย์วังเทียนฉือหลายคนตื่นเต้นจนออกอาการให้เห็นชัด ทำราวกับพวกมันได้พบพานเทพเจ้าอย่างไรอย่างนั้น “ไม่คิดเลยว่า ข้าจักได้เห็นท่านจ้าววังเทียนฉือของพวกเรากับตา!”
“ข้าเองก็อยู่ในวังเทียนฉือมาพันกว่าปีแล้ว แต่นี่นับเป็นครั้งแรกจริงๆที่ข้าได้พบเห็นท่านจ้าววัง”
“เหอๆ เจ้าแค่พันกว่าปี ส่วนข้าเข้าวังเทียนฉือมา 4,000 กว่าปี แต่นี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่ข้าได้พบเห็นท่านจ้าววังกับตา!”
“เช่นนี้มิใช่พวกเราต้องขอบคุณต้วนหลิงเทียนกับหานอวิ๋นจิ่นแล้วหรือ?”
“ไม่! หากจะขอบคุณผู้ใด ก็ต้องขอบคุณจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับเถอะ! หากจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับไม่ลำเอียงสอดมือเข้ามาแทรกแทรงการประลองวันนี้ ต่อให้ท่านจ้าววังอาจจะมาชมดูเรื่องราวอยู่ ท่านก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวออกมา”
…
เหล่าศิษย์วังเทียนฉือหลายคนกระซิบคุยกันด้วยความยินดี เพราะสำหรับพวกมันแล้วนี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้พบเจอจ้าววังเทียนฉือตัวเป็นๆ!
“ฟ้าลี้ลับ เจ้ามีความเห็นอื่นใดในคำพูดของข้าหรือไม่?”
ท่ามกลางสายตาของทุกคน จ้าววังเทียนฉือก็เอ่ยถามจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับออกไปอีกครั้ง
ถึงแม้น้ำเสียงยามกล่าวจะฟังดูสงบเฉยเมย แต่มันก็สงบเฉยเมสำหรับคนอื่น แต่กับจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ คำพูดนี้มันมีพลังอำนาจเด็ดขาดประการหนึ่ง พาลให้บังเกิดความรู้สึกยำเกรงไม่กล้าต่อต้าน
ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะเอ่ยออกเสียงเข้มว่า “ในเมื่อท่านจ้าววังกล่าวเช่นนั้น ข้าน้อยย่อมไม่มีความเห็นเป็นอื่น”
พอกล่าวจบคำ ชายชราก็ป้องมือประสานโค้งคารวะให้โหยวเฟิงอวี้อีกครั้ง “ท่านจ้าววัง หากท่านไม่มีใดแล้ว ข้าน้อยขอตัวลาไปก่อน”
“อืม”
พอโหยวเฟิงอวี้ขานรับเสียงเบา ร่างชราก็สั่นไหวก่อนจะทิ้งไว้เพียงภาพติดตา ส่วนเจ้าตัวกลายเป็นประกายแสงวาบหนึ่งเหินร่างลับหายไปในชั่วพริบตา
“เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ?”
หลังโหยวเฟิงอวี้เหลือบมองหานอวิ๋จิ่นที่หวนกลับมาสิ้นหวังผ่านๆ ก็หันมามองทักต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มบางๆ “ฉือหล่างนับว่าโชคดีนัก ที่ได้พบเจอศิษย์ประเสริฐเช่นเจ้า”
“จ้าววัง”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้จ้าววังเทียนฉือเบาๆ เป็นการทักทาย
“ในเมื่อเป็นการประลองเป็นตายไม่ตายไม่เลิกรา เช่นนั้นก่อนจะลงจากสังเวียนอัจฉริยะ…ก็ต้องตัดสินให้รู้ว่าใครอยู่ใครตาย”
หลังจากโหยวเฟิงอวี้เอ่ยวาจาจบคำ ร่างมันก็ไหววูบกลับกลายเป็นเงาเลือน ก่อนจะจางหายไปจากสายยตาของทุกคน
หลังจากที่โหยวเฟิงอวี้จากไปแล้ว ฉือหล่างกับเหลยอิงก็ไม่ได้อยู่ต่อ ทั้งคู่หันหลังแล้วเหินร่างจากไปทันที
“ท่านจ้าววังช่างมากบารมีเหลือเกิน! เพียงกล่าวไม่กี่คำ จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับก็ทำได้แค่จากไปแต่โดยดี!”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว! อย่างไรท่านก็คือจ้าววังเทียนฉือ ผู้นำของขุมกำลังระดับสวรรค์ อันเป็นขุมกำลังระดับแนวหน้าของอู๋หยาเทียน…กล่าวกันว่าท่านจ้าววังไม่เพียงแต่จะผสานรวมความลึกซึ้งของกฏที่ถนัดได้ 3 ประการแล้วเท่านั้น แต่ท่านยังผสานรวมความลึกซึ้งอีก 2 ประการได้อีกชุดด้วย…พลังฝีมือของท่านจ้าววังเรา กล่าวไปในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามของอู๋หยาเทียน ยังจัดว่าอยู่ในระดับต้นๆ!!”
“ถึงแม้จักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับจะร้ายกาจ แต่เมื่อเทียบกับท่านจ้าววังแล้ว ยังด้อยกว่ามาก”
…
หลังจากที่โหยวเฟิงอวี้จ้าววังเทียนฉือจากไปแล้ว เหล่าศิษย์ของวังเทียนฉือทั้งหลายก็ยังจมอยู่กับความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของมัน ยากจะดึงสติกลับมาได้อยู่นาน
จนกระทั่งเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดหนึ่งดังขึ้น พวกมันค่อยดึงสติกลับมาได้
“อ๊าคคค—”
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยอยู่บนฟ้า มองหานอวิ๋นจิ่นด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นเพียงหนึ่งห้วงคิด กิ่งต้นไม้เทพสนหลิวก็รัดพันร่างมันจนแหลกเหลว จบชีวิตหานอวิ๋นจิ่นลงแต่เพียงเท่านี้
“ศิษย์พี่ใหญ่!!”
จ้าวจี้เลี่ย กับอู๋ฉวนที่มาด้วยกันกับหานอวิ๋นจิ่น หน้าเปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง
เดิมทีตอนที่พวกมันเห็นอาจารย์มาถึง ก็พากันดีใจเพราะคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่พบหนทางรอดสายหนึ่งแน่นอนแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีกับจักรพรรดิอมตะไร้ใจจะไปนำพาจ้าววังเทียนฉือมาได้แบบนี้!
ด้วยมีจ้าววังเทียนฉืออยู่ทั้งคน ต่อให้อาจารย์ของมันอยากจะสอดมือเข้ามาแทรกแซงการประลองเป็นตายแค่ไหน ก็ไม่อาจกระทำได้
เรียกว่าตั้งแต่วินาทีที่พวกมันเห็นจ้าววังเทียนฉือมาถึง พวกมันก็คาดเดาชะตากรรมของศิษย์พี่ใหญ่ได้แล้ว
แต่ตอนนี้พอมาเห็น หานอวิ๋นจิ่น ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกมันถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา พวกมันก็รู้สึกยากจะทำใจยอมรับอยู่บ้าง
หานอวิ๋นจิ่นนั้นแม้กับคนนอกจะร้ายกาจ กระทั่งพฤติกรรมบางอย่างก็ทำให้หลายคนไม่พอใจ แต่มันก็นับว่าดูแลคนของตัวเองดีมาก พอมันต้องมาตายแบบนี้ ก็มีหลายคนที่เสียใจทั้งร่ำไห้เพื่อมัน
“จบแล้ว…”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนฆ่าหานอวิ๋นจิ่น เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาชมดูเรื่องราวก็รู้สึกใจสั่นไปอย่างบอกไม่ถูก
อย่างไรก็ตาม หลาคที่ตระหนักเรื่องราวได้ พอกลับมาครองสติครบถ้วนอีกครั้งก็ได้แต่มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวาดกลัว กล่าวพึมพำออกมาอยย่างไม่อยากจะเชื่อ “ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ เป็นเพียงจอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบจริงๆหรือ?”
“จอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบสามารถเข่นฆ่าจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดที่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ครบทุกประการ กระทั่งเห็นธรณีประตูการผสานรวมความลึกซึ้ง 2 ประการแล้ว? เรื่องพรรค์นี้หากข้าไม่ได้มาเห็นกับตา ถึงฆ่าข้าให้ตายข้าก็ไม่มีวันเชื่อ”
“ใช่ ผู้ใดจะไปคิดคาดว่ากระทั่งด่านพลังฝึกปรือห่างกันมากมาย แต่คนที่ด่านพลังอ่อนด้อยกว่าเช่นมัน กลับฆ่าคนที่ด่านพลังเหนือกว่ามากได้”
“หลังจบศึกวันนี้ไป ต้วนหลิงเทียนนั่นก็จะเท่ากับเข้ามาแทนที่หานอวิ๋นจิ่น และกลายเป็น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา…กล่าวได้ว่าบัดนี้ศิษย์ในด่านของฉือหล่าง ก็สามารถติดอยู่ใน 5 อันดับศิษย์อัจฉริยะได้ถึง 2 คน!”
“อั้ย จักรพรรดิอมตะทุ่งขจีฉือหล่างจัดว่าเป็นผู้ชนะในชีวิตตัวจริง! ไม่เพียงมีบุตรีพรสวรรค์สะท้านฟ้า แต่ยังมีศิษย์ที่ติดอันดับ 5 ศิษย์อัจฉริยะถึง 2 คน!”
…
เสียงกระซิบกระซาบของเหล่าผู้ที่มาชมดูเรื่องราวดังขึ้นระงม และตอนนี้หลายคนก็กล่าวทำนองฉือหล่างช่างประสบความสำเร็จในชีวิตนัก
แน่นอนว่าเสียงกระซิบกระซาบโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนก็จับใจความได้ไม่น้อย และทำให้เขาบังเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ไม่เคยพบเคเจอมาก่อน ที่แท้ร้ายกาจถึงขนาดไหนกันแน่ถึงทำให้ผู้คนพากกันกล่าวชื่นชมกันหนาหูแบบนี้ ‘ศิษย์พี่หญิงใหญ่…เป็นคนแบบไหนกันแน่?’
ในปัจจุบันเขาได้รู้เรื่องราวบางส่วนของศิษย์พี่หญิงใหญ่นั้น ไม่ว่านางจะเป็นคนที่ไม่อาจล้อเล่นด้วยได้ มีพลังฝีมือถึงขั้นฆ่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม รวมถึงชอบตำหนิศิษย์น้องที่ไม่ขยันฝึกปรือ…
อย่างไรก็ตามทั้งหมดคือการฟังมาอีกที ไม่ได้พบเจอศิษย์พี่หญิงใหญ่สักครั้ง
“หึ!”
ท่ามกลางเหล่าศิษย์วังเทียนฉือ พอเห็นต้วนหลิงเทียนกลับไปรวมตัวกับกลุ่มศิษย์ของฉือหล่างได้ไม่ทันไร สตรีในชุดสีขาวที่สวมผ้าปิดปาก อันเป็นสตรีที่มันมักฝันถึงยามหลับ ไม่เพียงเหินร่างไปยืนข้างต้วนหลิงเทียนอย่างชิดใกล้ ยังกุมมือต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างสนิมสนม เหลยจวิ้นก็พ่นลมสบถเสียงเย็นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
‘ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนมันจะร้ายกาจถึงขนาดนี้…’
‘ดูเหมือนต่อไปคิดจะกำจัดมันก็ยากแล้ว’
‘แต่ตอนนี้ข้าจำต้องเก็บตัวเงียบสักพัก รอให้เรื่องตู๋กูเหวินกับตู๋กูหวู่ผ่านไปสักพักก่อน…ค่อยหาวิธีจัดการมันต่อ’