WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3310 คนบ้านเดียวกันจากโลกเก่า
ตอนที่ 3,310 : คนบ้านเดียวกันจากโลกเก่า
“พี่หลิงเทียน”
หลังต้วนหลิงเทียนลงจากสังเวียนอัจฉริยะและกลับมารวมกลุ่ม เขาก็สังเกตเห็นว่าท่าทีของฮ่วนเอ๋อไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่
“ฮ่วนเอ๋อ เจ้าอย่าได้ห่วงไปหลังจบเรื่องวันนี้ ข้าจะไปตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาที่ตั้งคุกหมื่นพันธนาการนั่นเอง”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปปลอบฮ่วนเอ๋อ ด้วยเขารู้ดีว่าตอนนี้ในใจฮ่วนเอ๋อกำลังกลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่
หลังได้เห็น โหยวเฟิงอวี้ จ้าววังเทียนฉือปรากฏกาย นับประสาอะไรกับฮ่วนเอ๋อ กระทั่งเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่บิดาบังเกิดเกล้าของฮ่วนเอ๋อสมควรถูกจับขังไว้ในคุกหมื่นพันธนาการของวังเทียนฉือขึ้นมา
ท้ายที่สุดแล้วบิดาของฮ่วนเอ๋อ ก็ถูกขุนเขากระบี่ฟ้า ขุมกำลังระดับสวรรค์ของจี้เมี่ยเทียนตัดสัมพันธ์และส่งมอบตัวให้จ้าววังเทียนฉือ เพราะปฏิเสธการหมั้นหมายกับบุตรีของจ้าววังเทียนฉือ…
“อื้อ”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สีหน้าฮ่วนเอ๋อก็ค่อยๆสงบลง
“ฮ่าๆๆๆ! ศิษย์น้องเล็ก ข้าว่าแล้วว่าอย่างหานอวิ๋นจิ่นต้องไม่ใช่ตัวอะไรสำหรับเจ้าแน่!”
หงเฟยระเบิดเสียงหัวเราะดังร่า ขณะเดียวกันมันก็นำแหวนพื้นที่ออกมายื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง
“นี่คือ?”
ต้วนหลิงเทียนอดแปลกใจไม่ได้ ด้วยไม่รู้ว่าหงเฟยมอบอะไรให้เขา
“หึหึ…ศิษย์น้องเล็ก ในนั้นก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ผลึกอมตะจอมราชัน 2,500,000 ก้อนเท่านั้นเอง”
หงเฟยฉีกยิ้มกว้างด้วยความลำพองใจ
“หืม? ผลึกอมตะจอมราชัน 2,500,000 ก้อน”
ต้องบอกเลยว่าต้วนหลิงเทียนตกใจกับจำนวนผลึกอมตะที่หงเฟยกล่าวออกมาจริงๆ
ถึงแม้เขาจะเข้าร่วมวังเทียนฉือมาได้สักพักแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ไปรับทรัพยากรบ่มเพาะที่แจกต่อเดือน ทั้งไม่ได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกับใคร เพราะตอนนี้การบ่มเพาะพลังของเขาไม่จำเป็นต้องใช้ผลึกอมตะใดๆ กระทั่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับผลึกอมตะ
อย่างไรก็ตาม เขายังทราบดีว่าผลึกอมตะจอมราชัน 2,500,000 ก้อนมีความหมายอย่างไร…
ผลึกอมตะจอมราชันจำนวน 2,500,000 ก้อนนี้ สามารถนำไปซื้อหาโอสถอมตะหรือผลไม้อมตะที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะพลังของจอมราชันอมตะได้ไม่น้อย!
“ศิษย์พี่ 6 ทำไมอยู่ๆท่านถึงได้มอบผลึกอมตะมากมายขนาดนี้ให้ข้าเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนงุนงง และไม่ได้ยื่นมือไปรับแหวนแต่อย่างใด ด้วยไม่รู้ว่าศิษย์พี่ 6 มอบสิ่งนี้ให้เขาเนื่องในโอกาสอะไร
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้ารับไว้เถอะ ไม่ต้องเกรงใจอันใด”
ตอนนี้เองโอวหยางฉีเฟย ศิษย์พี่ 5 ของต้วนหลิงเทียนก็กล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นท่าทาง ‘ไม่มีความชอบไม่รับปูนบำเหน็จ’ ของต้วนหลิงเทียน “เจ้าอ้วนนี่วันนี้มันตื่นแต่เช้า เร่งรุดมายังสังเวียนอัจฉริยะก่อนที่เจ้ากับหานอวิ๋นจิ่นจะมาถึงแล้วสู้กัน มันตั้งตัวเป็นเจ้ามือเปิดรับแทง จนได้ผลึกอมตะจอมราชัมาทั้งสิ้น 5,000,000 ก้อน!”
“และเจ้าอ้วนยังเลือกรับแทงแต่ข้างหานอวิ๋นจิ่นอีกด้วย…กล่าวได้ว่า ไม่เพียงแต่มันจะไม่เสียผลึกอมตะสักก้อน แต่ยังได้ผลึกอมตะกลับมาเต็มกระบุง
โอวหยางฉีเฟยกล่าว “อีกทั้งผลึกอมตะที่มันให้เจ้าไป นั่นก็แค่ครึ่งหนึ่งของผลึกอมตะที่เจ้าอ้วนได้รับมาเปล่าๆในวันนี้เท่านั้น…เจ้าสมควรได้มันแล้ว”
“ศิษย์น้อง 6 ผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ย่อมถือว่ามีส่วนร่ววม…ผลึกอมตะจำนวนครึ่งหนึ่งที่เจ้ามอบให้ศิษย์น้องเล็กนั้นข้าไม่แตะ เนื่องจากศิษย์น้องเล็กเป็นคนลงแรงกำจัดหานอวิ๋นจิ่น เช่นนั้นข้าไม่ขออะไรมาก แค่เอาส่วนของเจ้ามาให้พี่สาวคนนี้ 500,000 ก้อนก็พอ”
หูเหมยหันไปมองจ้องหงเฟยตาวาว กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส
“อั้ยศิษย์พี่หญิง 3! ท่านคิดจับหมาป่ามือเปล่าหรือ!?”
หงเฟยโพล่งออกมาอย่างไม่ยินยอม
“ทำไม? ไม่เต็มใจ? หากเจ้าไม่จ่าย ก็อย่าได้โทษพี่สาวที่จักไปประลองชี้แนะให้เจ้าแบบหนักหน่วงสัก 2-3 รอบ…พอดีข้ายังจำได้ว่าก่อนที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่จะออกไปครั้งล่าสุด ศิษย์พี่หญิงใหญ่ได้ฝากฝังให้ข้าช่วยเคี่ยวกรำเจ้ามากๆ เจ้าจักได้ไม่อ่อนปวกเปียก”
รอยยิ้มมากเสน่ห์คลี่กางบนใบหน้าหูเหมย อย่างไรก็ตามหงเฟยไม่มีอารมณ์ชื่นชอมรอยยิ้มสดใสมากด้วยเสน่ห์ของนาง เพียงคลี่ยิ้มขื่นขมกล่าวโอดครวญปานหญิงม่ายเสียบุตรชายคนเดียว “ศิษย์พี่หญิง 3 ไฉนท่านไม่ชักมีดมาจ้วงพุงข้าเลยเล่า?”
อย่างไรก็ตาม แม้จะกล่าวประชดออกไปแบบนั้น แต่หงเฟยก็ได้แบ่งผลึกอมตะจอมราชัน 500,000 ก้อนให้แก่หูเหมยแต่โดยดี
แน่นอนว่าในเมื่อศิษย์พี่หญิง 3 หูเหมยได้รับส่วนแบ่ง ศิษย์พี่รอง หู่จี้ กับศิษย์พี่หญิง 4 เวิ่นหว่านเอ๋อที่อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน มันย่อมไม่อาจไม่มอบส่วนแบ่งออกไป…
“ไม่คิดเลยว่าข้าที่ถ่อมาแต่เช้า แถมวุ่นวายอยู่ตั้งนาน สุดท้ายจักได้ผลึกอมตะจอมราชันแค่ 500,000 ก้อนเท่านั้น…ไฉนข้าถึงได้มีชะตาอาภัพนักนะ…”
หงเฟยคลี่ยิ้มระทม
“ศิษย์พี่ 6 ในเมื่อท่านหาผลึกอมตะเหล่านี้มาด้วยความสามารถ ท่านก็เอาไว้เองเถอะ”
เมื่อเห็นสีหน้าสลดทั้งได้ยินเสียงโอดครวญของหงเฟย ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มแหยๆ ก่อนจะผลักแหวนพื้นที่คืนให้หงเฟย
“ศิษย์น้องเล็ก อย่าได้ตกหลุมพลางมัน! เจ้าอ้วนนั่นถนัดตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเป็นที่สุด!!”
โอวหยางฉีเฟยที่เห็นดังนั้น ก็หัวเราะร่า กล่าวเปิดโปงออกมา “เจ้าอ้วนนี่ ต่อให้มันจะขาดอะไรหลายอย่าง แต่ชีวิตนี้มันไม่เคยขาดผลึกอมตะ! มันแค่แสร้งทำเป็นสลดเรียกร้องความสนใจเท่านั้นล่ะ”
“อั้ย! ศิษย์พี่ 5 ท่าเป็นพยาธิในท้องข้าหรือ ไฉนรู้มากนักล่ะ”
หงเฟยที่หน้าสลดเมื่อครู่หันไปถลึงตามองโอวหางฉีเฟยอย่างขัดใจ ค่อยหันไปพูดกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง “ศิษย์น้องเล็ก ที่ศิษย์พี่ 5 พูดมาถึงจะขัดหูข้าแต่ก็เป็นความจริง…ข้าไม่ขาดแคลนผลึกอมตะเลยจริงๆ”
“เจ้าเอาไปเถอะ”
หงเฟยผลักแหวนพื้นที่กับไปให้ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
“ศิษย์พี่ 6 ผลึกอมตะพวกนี้ไว้ที่ท่านดีแล้ว หากเป็นไปได้รบกวนท่านช่วยหาพวกโอสถอมตะกับผลไม้อมตะที่ส่งเสริมการบ่มเพาะของงจอมราชันอมตะให้ข้าได้หรือไม่? เพราะตอนนี้กฏมิติของข้ายากจะพบพานความก้าวหน้าใดๆ ข้าก็เลยอยากทะลวงให้ถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดที่จะรับมาอยู่ดี
“เอางั้นก็ได้…ถ้างั้นผลึกอมตะพวกนี้ให้ข้าจัดการเอง ข้าจะหาทางซื้อผลไม้อมตะกับโอสถอมตะที่มีประโยชน์กับการบ่มเพาะให้เจ้าเอง”
หงเฟยพยักหน้ารับ ก่อนจะสะบัดมือเก็บแหวนไป
“หลู่จี้!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆกำลังจะเดินทางกลับ ก็ปรากฏร่าง 2 ร่างเหินมาคนละทิศละทาง ก่อนจะหยุดขวางกลุ่มเขาเอาไว้เบื้องหน้า และหนึ่งในนั้นก็กล่าวทัก หลู่จี้ ศิษย์พี่รองของต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
ด้านต้วนหลิงเทียนก็หันไปสนใจผู้มาใหม่ทั้ง 2 ทันที
ใน 2 คนที่มา เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
ผู้ที่เอ่ยทัก หลู่จี้ ศิษย์พี่รองของเขาก็คือผู้หญิง นางสวมหมวกไม้ไผ่ มาในชุดคลุมลมดำหลวมโครก ปกปิดรูปร่างทั้งใบหน้าครึ่งบนเอาไว้ ยามย่ำเท้าเหยียบอากาศเข้ามา แลดูแผ่วพลิ้วประหนึ่งย่ำบงกชข้ามบึง หากทว่าความเร็วท่าร่างกลับไม่ใช่ชั่วจริงๆ
สำหรับอีกคน ก็เป็นชายหนุ่มแลดูมอซอในชุดคลุมสีเทาสีหมอง เอวห้อยน้ำเต้าแขวนไว้ลูกหนึ่ง ผมหยักศกถูกปล่อยสยายปรกบ่า ให้ความรู้สึกสบายๆคล้ายไม่สนใจภาพลักษณ์
นอกจากนั้นคนมักเอื้อมมือไปจับพลองยาวที่เหน็บไว้ข้างเอวอีกข้าง ให้ความรู้สึกแลคล้ายอันธพาลอยู่บ้าง
“หลิวไป๋เฟิ่ง ซุนชิง?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองผู้มาใหม่ทั้ง 2 ด้วยความสนใจ เสียงหงเฟยก็ดึงขึ้นข้างหูต้วนหลิงเทียน “ศิษย์น้องเล็ก สตรีนางนี้เรียกว่าหลิวไป๋เฟิ่ง ส่วนเจ้าหนุ่มมอซอคลุมเทานั่นเรียกว่าซุนชิง”
“หลิวไป๋เฟิ่ง? ซุนซิง?”
ต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็ไม่ใช่เด็กใหม่ที่พึ่งเข้ามาวังเทียนฉือ และไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรในวังเทียนฉืออีกต่อไป เขาย่อมเคยได้ยินชื่อของทั้งคู่มาแล้ว กระทั่งชื่อเสียงทั้งคู่ยังดังประหนึ่งฟ้าร้องในหู
หลิวไป๋เฟิ่งนั้นมีชื่อเสียงรวมถึงพลังฝีมือทัดเทียมกับ หลู่จี้ ศิษย์พี่รองของเขา และนางก็เป็น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ซุนชิง คนนี้ ก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดา 5 ศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือ พลังฝีมือสูงกว่าหลิวไป๋เฟิ่งกับหลู่จี้
“หลิวไป๋เฟิ่งเป็นศิษย์ของจักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก ส่วนซุนชิงเป็นศิษย์เพียงหนึ่งเดียว ของจักรพรรดิอมตะหอนฟ้า”
หงเฟยพูดต่อ
จักรพรรดิอมตะวิเวกเย็นเยือก เป็น 1 ใน 3 จักรพรรดิอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดของวังเทียนฉือ ชื่อเสียงทัดเทียมกับจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับ และภายในวังเทียนฉือแห่งนี้ พลังฝีมือของนางก็เป็นรองแค่จ้าววังเทียนฉือเพียงผู้เดียวเท่านั้น
สำหรับจักรพรรดิอมตะหอนฟ้านั้น พลังฝีมือไม่แน่ชัด
‘ได้ยินมาว่าจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าของวังเทียนฉือ เคยเป็นสุนัขสวรรค์ที่ติดตามข้างกายยจักรพรรดิอมตะ 3 ตาหยางเจี่ยนแห่งอวี้หวงเทียน…ไม่ทราบว่าจักรพรรดิอมตะ 3 ตา หยางเจี่ยนที่ว่า จะใช่เทพเอ้อหลาง ในตำนานที่บ้านเกิดในโลกเก่าของข้าหรือไม่…’
ต้วนหลิงเทียนค่อนข้างอยากรู้เรื่องนี้ไม่น้อย
ด้วเหตุนี้เขาจึงพลอยรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกกับศิษย์เพียคนเดียวของจักรพรรดิอมตะหอนฟ้าขึ้นมา
“ศิษย์น้องเล็ก นี่คือ…”
เมื่อหลิวไป๋เฟิ่งกับซุนชิงมาถึง หลู่จี้ ก็เริ่มผายมือแนะนำทั้งคู่ให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อรู้จักทันที สำหรับคนอื่นๆนั้นรู้จักกับทั้ง 2 คนมานานแล้ว
หลังจากนั้น หลู่จี้ ก็ทำการแนะนำต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อให้หลิวไป๋เฟิ่งกับซุนชิงรู้จัก
“ศิษย์น้องหลิงเทียน ศิษย์น้องหญิงฮ่วนเอ๋อ”
หลิวไป๋เฟิ่งกับซุนชิงก็ยิ้มทักต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อทีละคน และไม่ทราบเพราะพลังของต้วนหลิงเทียนหรือเห็นแก่หน้าหลู่จี้กันแน่ ทั้ง 2 คนจึงแลดูกระตือรือร้นไม่น้อย
“ศิษย์พี่หญิงไป๋เฟิ่ง ศิษย์พี่ซุน”
ต้วนหลิงเทียนก็ทักทายทั้ง 2 กลับทันที
“ต้วนหลิงเทียน ตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน ชื่อเจ้าก็โด่งดังขึ้นมาปานฟ้าร้อง…โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเจ้าตกลงนัดหมายประลองเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่นนั่น กล่วไปตอนนั้นข้าก็เป็นหนึ่งในผู้หลงผิดคิดว่าเจ้าวู่วามรนหาที่ตาย แต่วันนี้เจ้านับว่าได้เบิกเนตรให้ข้าจริงๆ”
หลิวไป๋เฟิ่ง ถอนหาใจเฮือกหนึ่งพลางกล่าว “วันนี้มิใช่แค่ข้า แต่ข้าเกรงวว่าคนอื่นๆก็คงไม่คิดไม่ฝันกันมาก่อนว่าเจ้าจะฆ่าหานอวิ๋นจิ่นได้จริงๆ”
“เพราะสุดท้ายหลายคนที่มาวันนี้ ล้วนเชื่อว่าคนที่จะตายย่อมไม่ใช่หานอวิ๋นจิ่น แต่เป็น…”
หลิวไป๋เฟิ่งพูดถึงจุดนี้ นางก็หยุดลงไม่พูดต่อ
ทว่าต้วนหลิงเทียนกลับต่อคำออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่หานอวิ๋นจิ่น แต่เป็นข้ากระมัง”
“ต้วนหลิงเทียน น่าเสียดายนักที่เจ้าเลือกจะเข้าไปอยู่ในด่านของจักรพรรดิอมตะทุ่งขจีแล้ว ไม่งั้นข้าจะขุดเจ้าพากลับไปอยู่ร่วมด่านของอาจารย์ข้าให้ได้”
ซุนชิงก็กล่าวเสริมออกกมาเคล้าเสียงหัวเราะ
“ข้าหลงคิดว่าผู้ที่จะมาแทนที่หานอวิ๋นจิ่น ไม่พ้นต้องเป็น ซือหม่าอวี้ ศิษย์ของจักรพรรดิอมตะเมฆดุริยะเสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าหานอวิ๋นจิ่นจะถูกฆ่าเสียก่อน…บ้านเกิดเจ้าเรียกว่าอะไรนะซุนชิง พบเฉินเหย่าจินกลางทางใช่ไหม?”
(พบเฉินเหย่าจินกลางทาง เเปลว่าเรื่องกำลังไปด้วยดี เเต่ที่ไหนได้ดันเจออุปสรรค, เฉินเหย่าจินเดิมเป็นโจรป่า แต่หลี่ซื่อหมิ่นเห็นว่ามีความสามารถทั้งมีกำลังคนจึงดึงตัวมาใช้ สุดท้ายทำให้หลี่ซื่อหมิ่นเอาชนะศัตรูที่กำลังได้เปรียบได้)
หลิวไป๋เฟิ่งที่กำลังคุยอยู่กับต้วนหลิงเทียน กล่าวถึงท้ายประโยคก็หันไปมองถามซุนชิงด้วยสงสัย
“ใช่”
ซุนชิงพยักหน้า ใบหน้าเฉยเมยแต่เดิมเริ่มเผยรอยยยิ้มรำลึกความหลัง “พบเฉินเหย่าจินกลางทาง…นี่เป็นคำพูดของบ้านเกิดข้า”
พบเฉินเหย่าจินกลางทาง?
บ้านเกิด?
ได้ยินคำพูดของซุนชิง ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลง หันไปมองถามซุนชิงทันที “ศิษ์พี่ซุน ท่าน…หรือว่าท่านจะเป็นคนของดาวเหยียนหวง ในระนาบเหยียนหวงที่เป็นระนาบโลกียะใช่ไหม?”
“หืม?”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ซุนชิงก็อึ้งไปทันที “เจ้ารู้จักดาวเหยียนหวงด้วยรึ? เจ้า…นี่เจ้าคงไม่ใช่ว่ามาจากดาวเหยียนหวงเหมือนกันหรอกนะ?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ให้ตายเถอะ! เรื่องจริงหรือเนี่ย!?”
ซุนชิงมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วสายตาลุกวาว “ศิษย์น้องต้วนเจ้ามาจากยุคไหนกัน? เมื่อราวๆ 200 กว่าปีก่อนข้าเคยกลับไประนาบเหยียนหวงทั้งดาวเหยียนหวงครั้งหนึ่ง…แต่พบว่าอะไรๆมันก็เปลี่ยนไปหมดสิ้นแล้ว”
“ข้าเกิดในปี ค.ศ. 2000 นะ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
จากนั้นคล้ายต้วนหลิงเทียนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันไปมองถามซุนชิงว่า “ศิษย์พี่ซุน แล้วปีนี้ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว”
“ข้าอายุ 800 กว่าปี”
ซุนชิงตอบ
“อายุ 800 กว่าปี…หมายความว่าแก่กว่าข้า 500 กว่าปี”
สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกาย “ศิษย์พี่ซุน เช่นนั้นท่านก็เกิดราวๆปี ค.ศ. 1,500? ยุคราชวงศ์หมิงกระมัง?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ค่อนสนใจศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์มากสักเท่าไหร่ตอนยังอยู่ในโลกเก่า แต่ก็ยังพอรู้ว่าในช่วงปีค.ศ. 1500 นั้นอยู่ช่วงราชวงศ์หมิงครองราชย์
“ใช่แล้ว!!”
ซุนชิงพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “ข้าไม่คิดเลยยว่าที่แท้เจ้าไม่เพียงแต่จะเป็นคนที่ขึ้นสวรรค์มา แต่ยังเป็นคนในบ้านเกิดของข้ากับท่านอาจารย์อีก”
“ศิษย์พี่ซุนอาจารย์ของท่าน จักรพรรดิอมตะหอนฟ้า…หรือจะเป็นสุนัขสวรรค์ที่มักติดตามอยู่ข้างกายจักรพรรดิอมตะ 3 ตาหยางเจี่ยน ที่ผู้คนบนโลกเรียกว่าเทพเอ้อหลาง?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ใช่”
ซุนชิงพยักหน้า “อาจารย์ของข้าเดิมทีก็อยู่ที่อวี้หวงเทียน และอยู่กับอาจารย์ลุงหยาง…อย่างไรก็ตามพอดีทั้งคู่มีเรื่องทะเลาะกันเล็กน้อย อาจารย์ข้าจึงเลือกย้ายมาลงหลักปักฐานที่วังเทียนฉือ”
“เมื่อหลายปีก่อน ข้าบังเอิญพบเจอมรดกตกทอดของท่านอาจารย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในระนาบโลกียะ จากนั้นจึงได้รู้ว่าที่แท้โลกนี้มีเทพเซียนจริงๆ ทั้งมรดกที่ว่าก็ได้ส่งสัญญาณแจ้งเตือนออกไป ข้าจึงถูกท่านอาจารย์ไปรับตัวมาอยู่ที่วังเทียนฉือ…เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นข้ารู้สึกเสมือนกับฝันไปขนาดไหน”