WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3312 ผู้คุม
ตอนที่ 3,312 : ผู้คุม
“เอ๋? ศิษย์พี่หญิงมิใช่ว่าใช้กฏแห่งความตายมาตั้งแต่แรกหรือ?”
ไม่ว่าจะหูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ โอวหยางฉีเฟยหรือหงเฟย พอได้ยินคำพูดของหลู่จี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองถามหลู่จี้กันหมด
เห็นได้ชัดว่าทุกคนเองพึ่งจะรู้เรื่องนี้
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเรา…พึ่งจะเปลี่ยนมาใช้กฏแห่งความตาย ก็หลังจากนางกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะแล้วนั่นล่ะ”
ถูกทุกคนมองมาด้วยสายตาสงสัย หลู่จี้ก็คลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยออกด้วยใบหน้าที่เริ่มฉายให้เห็นถึงความคิดถึง “พวกเจ้าจะไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติ…เพราะตอนนั้นอาจารย์ยังไม่ได้รับพวกเจ้ามาเป็นศิษย์”
“ในตอนนั้นคนที่อยู่กับอาจารย์ก็มีแค่ข้ากับศิษย์พี่หญิงใหญ่เท่านั้น…”
หลู่จี้กล่าว
“อะไร!? ศิษย์พี่หญิงใหญ่พึ่งจะเปลี่ยนมาใช้กฏแห่งความตายหลังจากเป็นศิษย์อัจฉริยะงั้นเหรอ?”
หงเฟยได้แต่มองหลู่จี้ด้วยความตกตะลึง “ศิษย์พี่รอง ท่านจะบอกพวกเราว่า…กฏแห่งความตายที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่เพียงแต่จะเข้าใจความลึกซึ้งทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่สามารถสผานหลอมรวมความลึกซึ้งได้ถึง 3 ประการนั่น…นางพึ่งจะมาริเริ่มทำความเข้าใจมัน หลังจากนางกลายเป็นศิษย์อัจฉริยะเช่นนั้นหรือ!?”
หงเฟยตกใจมาก
เป็นธรรมดาว่าไม่ใช่แค่หงเฟยเท่านั้นที่ตกใจ ไม่ว่าจะหูเหมย เวิ่นหว่านเอ๋อ หรือโอวหยางฉีเฟยก็แลดูตกใจกันหมด
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เพราะเขาไม่เคยพบเจอศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ว่าจึงไม่รู้จักนาง
ทว่ากับหงเฟยและคนอื่นๆมันต่างกัน
ทั้งหมดรู้จักและเห็นซึ้งถึงพลังฝีมือศิษย์พี่หญิงใหญ่ดี
“ก่อนที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเราจะเข้าใจกฏแห่งความตายถึงระดับนี้…อันที่จริงนางเข้าใจความลึกซึ้งทุกประการของกฏแห่งน้ำถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดแล้ว…เรื่องนี้พวกเจ้าคงไม่รู้มาก่อนสินะ?”
หลู่จี้กล่าวสืบต่อ
และคำพูดประโยคนี้ของหลู่จี้ไม่เพียงแต่จะทำให้พวกหงเฟยกับศิษย์คนอื่นตกตะลึงเท่านั้น ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออดหันหน้ามามองสบตากันไม่ได้ ก่อนจะแลเห็นความตกตะลึงในสายตาของกันและกัน
‘ศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นดั่งมังกรเทพยดาเห็นหัวไม่เห็นหางสำหรับข้า…ถึงกับบรรลุความลึกซึ้งของกฏแห่งน้ำถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมด ก่อนจะบรรลุกฏแห่งความตายถึงระดับนั้น?’
เดิมทีต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่า การที่เขาสามารถบรรลุความลึกซึ้งของกฏมิติทั้งหมดถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ ก็นับว่าประสบผลสำเร็จมากแล้ว
แต่มาตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแต่เขาที่ประสบความสำเร็จระดับนี้
‘อย่างไรเสียเพราะผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด ข้าถึงสามารถบรรลุกฏมิติได้ในเวลาอันสั้น…แต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ว่ากลับมีความเข้าใจถึงระดับนี้ ที่แท้นางไปประสบโชควาสนาโดยบังเอิญอันใดมากันแน่?’
คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกนับถือศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ไม่เคยพบเจอขึ้นมาหลายส่วน
หลังจากเหินร่างเดินทางกันไปอีกสักพัก ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็กลับมาถึงเขตที่พักอาศัยในด่านของฉือหล่าง ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันกลับ
ต้วนหลิงเทียนก็กลับมายังที่พักพร้อมฮ่วนเอ๋อ
“พี่หลิงเทียน”
พอกลับมาถึง ฮ่วนเอ๋อ ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ฮ่วนเอ๋อ ข้าจะลองถามศิษย์พี่ 6 ดู ว่าหากคิดจะสมัครเป็นผู้คุมของคุกหมื่นพันธาการต้องทำอย่างไรบ้าง”
ต้วนหลิงเทียนย่อมคาดเดาความคิดของฮ่วนเอ๋อได้ หลังจากคลี่ยิ้มบางๆ ก็ใช้ลูกแก้ววิญญาณหงเฟยเป็นสื่อในการใช้ยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณ ติดต่อไปสอบถามเรื่องราวจากหงเฟยทันที ว่าหากคิดจะสมัครเป็นผู้คุมคุมหมื่นพันธนาการต้องทำอย่างไร
จึงทราบว่าหากเป็นศิษย์อัจฉริยะแล้ว ถ้าอยากทำงานเป็นผู้คุมมันก็ง่ายนิดเดียว แค่ไปลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไว้เท่านั้น
หากมีตำแหน่งงานว่างลงเมื่อใด ก็จะถูกจัดเวรให้ทันที
ผู้คุมคุกหมื่นพันธนาการบางคนก็มีธุระต้องออกไปทำ บ้างก็จะเก็บตัวบ่มเพาะอย่างสันโดษ ถึงตอนนั้นตำแหน่งผู้คุมย่อมว่างลงอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้ต้องรับผู้คุมที่สมัครมาไปทำหน้าที่แทน
“ฮ่วนเอ๋อ ข้าจะพาเจ้าไปสมัครเป็นผู้คุมคุกหมื่นพันธนาการ”
หลังจากสอบถามเรื่องสถานที่ๆต้องไปก่อนจะลงทะเบียนแจ้งความประสงค์จากหงเฟยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พาฮ่วนเอ๋อเดินทางออกจากสถานที่พัก และไปยังเกาะลอยฟ้าอีกเกาะของวังเทียนฉือทันที
จากนั้นก็เหินร่างเดินทางไปยังตำหนักหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ห่างไกล
ตำหนักหลังนี้หากให้เทียบกับตำหนักลองกระบี่แล้ว นับว่าตั้งอยู่ห่างไกลกว่ากันมาก เรียกว่าเขาไม่เห็นเงาผู้คนผ่านไปมาแถวนี้เลย
ฟิ้ววว…
สายลมหมุนหอบหนึ่งพัดผ่าน หอบหิ้วใบไม้เกลื่อนพื้นที่นิ่งสงบให้ปลิดปลิวขึ้นมาวุ่นวาย
“ที่นี่…คือตำหนักหมื่นพันธนาการหรือ?”
ตำหนักหมื่นพันธนาการ เป็นตำหนักที่มีไว้รับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับคุกหมื่นพันธนาการทั้งมวล ใครก็ตามที่คิดจะไปลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เพื่อทำงานที่คุก ก็จำต้องมาที่นี่ก่อน
แน่นอนว่ายังไม่ใช่การลงทะเบียน แต่มาเพื่อรับสิทธิ์ในการลงทะเบียน
เนื่องจากคุกหมื่นพันธนาการจำกัดไว้ว่าผู้ที่จะรับงานได้ก็มีแต่ศิษย์อัจฉริยะเท่านั้น…และทั่ววังเทียนฉือก็มีศิษย์อัจฉริยะอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 100 คน ทำให้ที่นี่เปลี่ยวร้างเหลือเกิน
“ช่างวังเวงเสียจริง”
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวพึมพำออกมา ก่อนจะพาฮ่วนเอ๋อเดินเข้าไปหุดหน้าประตูตำหนัก พอมองไปที่ประตูเขาก็ว่ามันเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะ ทั้งมีไยแมงมุมอันเขื่องคลี่กางแผ่ขยายเต็มประตู สภาพราวกับไม่มีใครเฉียดเข้ามาที่นี่นับสิบนับร้อยปีแล้ว
“มีใครอยู่รึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนที่มองไปรอบๆไม่เห็นใคร ก็เริ่มกล่าวถามออกมาเสียงดัง
แอ๊ด…
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ถามออกไปจบคำ ประตูเบื้องหน้าก็แง้มเปิดออกเล็กน้อย จากนั้นเสียงชราก็ดังขึ้นแผ่วๆลอดประตูออกมาว่า “เจ้าคิดสมัครเป็นผู้คุมหรือ?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ
“ป้ายศิษย์อัจฉริยะ”
เสียงชราดังขึ้นอีกรอบ
ได้ยินดังนั้น ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็นำป้ายศิษย์อัจฉริยะออกมาทันที
ทั้งคู่พึ่งจะหยิบป้ายออกมาไม่ทันไร ก็ปรากฏสายลมหอบหนึ่งพัดผ่านมือ จากนั้นป้ายอัจฉริยยะก็ถูกหอบหิ้วผ่านบานประตูที่แง้มเปิดออก เรียกว่ากระบวนการแลดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
“หืม? เจ้าคือต้วนหลิงเทียน? ศิษย์ที่ฉือหล่างพึ่งรับมาไม่นานมานี้รึ? อืม…นับว่ามากพรสวรรค์ยิ่ง”
ครู่ต่อมาเสียงชราก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้เสียงชราดังกล่าวก็ฟังดูแปลกใจอยู่บ้าง พร้อมๆกันนั้นเองป้ายศิษย์อัจฉริยะของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ถูกสายลมหอบหิ้วลอดบานประตูที่แง้มเปิดกลับมาถึงมืออีกครั้ง และยังมีป้ายสีดำสนิทที่ปรากฏแสงรัศมีสีแดงเรืองรองรอบตัวป้าย 2 ป้ายเพิ่มมาด้วย
ด้านหน้าของป้ายดังกล่าวสลักอักษร ‘คุกหมื่นพันธนาการ’ เอาไว้ พอพลิกไปดูด้านหลังก็มีชื่อต้วนหลิงเทียน กับฮ่วนเอ๋อสลักอยู่
“ว่าแต่ยาโถวฉือหย่าชีกลับมาแล้วหรือ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อพลิกป้ายสีดำที่สลักคำคุกหมื่นพันธนาการกับชื่อของตัวเองเอาไว้ชมดู เสียงชราก็ดังขึ้นอีกรอบ
“ฉือหย่าชี?”
ต้วนหลิงเทียนนิ่งไปด้วยความงุนงง
“เจ้าไม่รู้แม้แต่นามของศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเจ้ารึ? มิใช่ว่าพวกเจ้าคิดสมัครมาทำหน้าที่ผู้คุมคุกหมื่นพันธนาการ เพราะคิดมาทำความเข้าใจกฏแห่งความตายในหอเกิดดับเหมือนศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้าหรือไร?”
ถึงแม้ชายชราจะไม่ได้อยู่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน แต่คล้ายมันตระหนักถึงความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนได้ทุกอิริยาบถไม่เว้นสีหน้า ทั้งๆที่ต้วนหลิงเทียนไม่อาจสัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะของอีกฝ่ายเลย
จังหวะนี้ใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสะท้านไปอยู่บ้าง ชายชราผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่?
หอเกิดดับ?
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบอีกข้อมูลจากปากชายชราว่า ในคุกหมื่นพันธนาการมีสถานที่ๆสามารถทำความเข้าใจกฏแห่งความตายเรียกว่าหอเกิดดับอยู่
“ผู้อาวุโส ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านเป็นผู้ใด?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ข้า?”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน เสียงชราก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้า…เป็นคนสมควรตาย เป็นคนที่สมควรตกตายไปนานแล้ว”
ปึง!
หลังจากประตูเบื้องหน้าก็ปิดลงเสียงดัง และเสียงของชายชราก็เงียบหายไปโดยสมบูรณ์
ต้วนหลิงเทียนลองเรียกหาชายชราอีกหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ
เขาลองแผ่สำนึกเทวะออกไปหมายตรวจสอบหาตำแหน่งของชายชราโดยไม่รู้ตัว แต่พบว่าสำนึกเทวะของเขาไม่อาจแผ่เข้าไปด้านในตำหนักได้เลย ราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นตั้งตระหง่านขวางไว้ ปิดกั้นด้านนอกกับด้านในให้กลายเป็นโลกสองใบที่แตกต่าง!
“ผู้อาวุโส เช่นนั้นผู้น้อยทั้ง 2 ขอตัวลา”
แม้ชายชราจะไม่ได้ตอบคำอะไร แต่ในเมื่อได้ป้ายผู้คุมมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็คร้านอยู่ที่นี่สืบไป จึงหันไปชวนฮ่วนเอ๋อเพื่อไปจากที่นี่ทันที “ฮ่วนเอ๋อ พวกเราไปที่คุกหมื่นพันธนาการกันเถอะ”
หากคิดจะทำหน้าที่ผู้คุมคุกหมื่นพันธนาการ สิ่งแรกต้องทำคือมายังตำหนักหมื่นพันธนาการเพื่อรับป้ายผู้คุมก่อน! เมื่อได้ป้ายผู้คุมแล้ว จึงจะสามารถไปลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ทำหน้าที่ผู้คุมในคุกหมื่นพันธนาการได้!
เมื่อตำแหน่งผู้คุมว่างลง ทางนั้นจะติดต่อมาเพื่อให้ไปทำหน้าที่เป็นผู้คุมทันที
คุกหมื่นพันธนาการนั้นตั้งถัดจากสังเวียนอัจฉริยะมาประมาณหนึ่ง มันเป็นเกาะขนาดมหึมาลอยอยู่บนฟ้า
และมองไปปราดเดียวก็แลเห็นภูเขาลูกมหึมาบนเกาะลอยฟ้าดังกล่าว แถมภูเขาลูกนี้ยังกินอาณาบริเวณแทบจะทั่วทั้งเกาะลอยฟ้าอยู่แล้ว! และที่สะดุดตาเขาก็คือ ภูเขาลูกมหึมานี้กลับมีโซ่ตรวนขนาดใหญ่นับพันหมื่นสาย กระจายตัวกันออกไป ปกคลุมขุนเขาลูกเขื่องเอาไว้ ราวกับจะพันธนาการภูเขาลูกนี้เอาไวว้อยย่างไรอย่างนั้น!
นอกจากนั้นภูเขาลูกเขื่องเบื้องหน้า ไม่ว่าจะมองไปจุดไหนก็เห็นลวดลายอักขระอันซับซ้อนยากจะมองออกมากมายแน่นขนัดไปหมด
ราวกับมีตัวอักษรนับหมื่นพันวิ่งเรียงเป็นเส้นสายสลับวนไปเวียนมาพันกันวุ่นวายนับล้านๆเส้น เห็นแล้วชวนให้ลายตายากชมมองได้นาน
“คุกหมื่นพันธนาการ!”
และบริเวณด้านหน้าภูเขาลูกนี้ กลางเขาพลันปรากฏำว่า คุกหมื่นพันธนาการ ลอยแน่นิ่งอยู่ ไฉนที่บอกว่ามันลอยแน่นิ่งอยู่ ก็เพราะศิละที่ถูกแกะสลักเป็นอักษร 4 คำดังกล่าว ได้ถูกโซ่ตรวนนับร้อยพันเส้นขึงตรึงเอาไว้กลางอากาศ
และบริเวณตรงกลางด้านหน้าของภูเขาลูกเขื่อง ก็มีประตูขนาดใหญ่โตที่แลแล้วสมควรเป็นทางเข้าปรากฏอยู่ ตัวประตูยังงดงามหรูหราคล้ายไม่ได้นำไปสู่ถ้ำลึกในภูเขา แต่เป็นพระราชวังอันวิจิตรหลังหนึ่ง!
“นั่นสมควรเป็นประตูทางเข้าคุกหมื่นพันธนาการ”
ต้วนหลิงเทียนหันไปพูดกับฮ่วนเอ๋อ
ด้านฮ่วนเอ๋อ ตอนนี้ก็เอาแต่มองคุกหมื่นพันธนาการเบื้องหน้าไม่วางตา แววตายังฉายชัดถึงความตื่นเต้นออกมาอย่างยากจะปกปิด ร่างบางสะท้านสั่นไปเบาๆ คล้ายจะขืนร่างให้ยืนดูเฉยๆไม่ไหวแล้ว
“สงบใจลงหน่อยฮ่วนเอ๋อ…พวกเรากำลังจะเข้าไปแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าววกับฮ่วนเอ๋อด้วยรอยยิ้ม
“อื้อ”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง และหลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆราวๆสิบลมหายใจ น ทั่วร่างทั้งลมหายใจก็เริ่มกลายเป็นสงบกลิ่นอายเย็นชาแผ่ซ่านออกมาจากร่างบางแผ่วๆ ให้ความรู้สึกราวบงกชสีครามกำลังเบ่งบาน…
“ไปกันเถอะ”
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างพาฮ่วนเอ๋อไปยังประตูบานเขื่องที่สมควรเป็นทางเข้าคุกหมื่นพันธนาการ หลังเหินเข้าหาได้ไม่นาน เขาก็พบว่ามีร่างชรา 4 ร่างยืนเฝ้าหน้าประตูทางเข้าเอาไว้
ชายชราทั้ง 4 จับคู่กันแยกไปยืนประกบซ้ายขวาประตู
“ที่นี่คือคุกหมื่นพันธนาการ ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องห้ามเข้า!”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อจะเข้าไปใกล้มากนัก 1 ใน 4 ชายชราก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแววตาดุดัน เอ่ยเตือนออกมาเสียงเข้ม น้ำเสียงหน้าตาทำราวต้วนหลิงเทียนติดหนี้มันอย่างไรอย่างนั้น
ชายชราผู้นี้เส้นผมขนคิ้วทั้งหนวดเคราเป็นสีขาวโพลน แถมผมกับเคราของมันยังฟูฟ่องจนมองแล้วคนคล้ายราชสีห์ขนขาวอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโส พวกเราคือศิษย์อัจฉริยะที่มาสมัครทำหน้าที่ผู้คุม”
ต้วนหลิงเทียนไม่กล่าวอะไรมากความ สะบัดมือเรียกป้ายผู้คุมออกมา ฮ่วนเอ๋อก็เช่นกัน จากนั้นทั้งงคู่ก็ซัดป้ายให้ไปหยุดลอยเบื้องหน้าชายยชราดังกล่าว
ชายชราผู้นั้นก็รับป้ายมาชมดูทันที ตอนตรวจป้ายฮ่วนเอ๋อก็ไม่มีอะไร แต่ตอนพลิกไปเห็นชื่อที่สลักไว้ด้านหลังของป้ายต้วนหลิงเทียน ลูกตามันก็หดเล็กลงทันที
“เจ้า…เจ้าคือต้วนหลิงเทียนรึ!?”
“คนที่พึ่งฆ่า หานอวิ๋นจิ่น ศิษย์คนโตของจักรพรรดิอมตะฟ้าลี้ลับบนสังเวียนอัจริยะไปหยกๆวันนี้ผู้นั้น?”
ชายชรามองถามต้วนหลิงเทียนด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้มันจะไม่ได้ไปชมดูการประลองของต้วนหลิงเทียนกับตาที่สังเวียนอัจฉริยะ แต่ข่าวนี้มันได้แพร่สะพัดไปทั่ววังเทียนฉือดั่งพายุกระหน่ำ แม้แต่มันก็พลอยถูกลมไปด้วย…